สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

การประเมินภาษี

การประเมินภาษี

ต้องขออภัยผู้อ่านอีกคำรบหนึ่ง เพราะมีความผิดพลาดทางเทคนิค ทำให้ข้อเขียนของคุณกิติพงศ์ อุรพีพัฒนพงศ์ ไม่ปะติดปะต่อ แต่ฉบับหน้ามาแน่ครับ

ผมจึงนำคำพิพากษาฎีกาที่ 2579/2550 ซึ่งห้างหุ้นส่วนจำกัด กุหลาบขาว เป็นโจทก์ยื่นฟ้องกรมสรรพากรกับพวกเป็นจำเลย มาเป็นกรณีศึกษากันก่อน

โจทก์เป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยประกอบกิจการรับเหมาก่อสร้าง จำเลยที่ 2 เป็นเจ้าพนักงานประเมิน ได้แจ้งการประเมินให้โจทก์ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม สำหรับเดือนภาษี มี.ค. เม.ย. ก.ค. ส.ค. พ.ย. และ ธ.ค. 2543 รวมเป็นเงิน 1,048,188 บาท โจทก์อุทธรณ์การประเมินจำเลยที่ 3 ถึงที่ 5 ซึ่งเป็นคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามี การซื้อขายสินค้าและชำระสินค้ากันจริง จึงไม่สามารถนำภาษีซื้อมาหักในการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มได้ กรณีไม่มีเหตุอันควรผ่อนผันหรืองดเบี้ยปรับให้ยกอุทธรณ์ระหว่างพิจารณาคดี โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานในวันชี้สองสถาน

คดีนี้ศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถานวันที่ 24 ม.ค. 2548 เจ้าพนักงานศาลนำหมายนัดชี้สองสถานไปส่งให้ทนายโจทก์วันที่ 27 ต.ค. 2547 แต่ไม่พบ จึงปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล ถือว่าโจทก์ได้ทราบ วันนัดชี้สองสถานโดยชอบแล้ว โจทก์จะต้องยื่นบัญชีระบุพยานก่อนวันนัดชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่โจทก์เพิ่งยื่นบัญชีระบุพยานในวันที่ 24 ม.ค. 2548 ซึ่งเป็นวันนัดชี้สองสถานโดยมิได้ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยาน จึงเป็นการยื่นบัญชีระบุพยานที่เกินกำหนดเวลา ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ จึงชอบด้วยข้อกำหนดคดีภาษีอากรแล้ว

การที่โจทก์อ้างว่ายื่นคำร้องลงวันที่ 6 ส.ค. 2547 พร้อมคำร้อง ขอขยายเวลายื่นคำฟ้องขอให้ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารจำนวน 8 ฉบับ ถือเป็นการยื่นบัญชีระบุพยาน เห็นว่าบัญชีระบุพยานกับคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารเป็นคนละส่วน กัน ทั้งตามข้อ 17 ของข้อกำหนดคดีภาษีอากร พ.ศ. 2547 กำหนดให้คู่ความที่ประสงค์จะขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกเอกสารจากผู้ครอบครองต้อง ยื่นคำขอพร้อมกับบัญชีระบุพยาน

ดังนั้น การยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเรียกพยานเอกสารของโจทก์จึงไม่อาจถือเป็นการ ยื่นบัญชีระบุพยานได้ เมื่อคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของศาลภาษีอากรกลางชอบด้วยกฎหมาย คำสั่งของศาลภาษีอากรกลางที่ให้งดสืบพยานโจทก์และพยานจำเลยทั้ง 5 จึงชอบด้วยกฎหมายด้วย เพราะเมื่อศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธินำพยานมาสืบ เมื่อศาลภาษีอากรกลางเห็นว่าคดีวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องสืบพยานโจทก์และจำเลย ทั้ง 5 ศาลภาษีอากรกลางก็มีอำนาจงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้ง 5 ได้

เมื่อเจ้าพนักงานประเมินตรวจสอบพบว่าโจทก์นำใบกำกับภาษี ซื้อมาใช้คำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มโดยมิชอบ จึงเป็นกรณีมีเหตุอันควร เชื่อว่าโจทก์ยื่นแบบแสดงรายการภาษีไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง และเจ้าพนักงานประเมินได้ขออนุมัติประเมินภาษีโจทก์ตามแบบขออนุมัติใช้อำนาจ การประเมินตามมาตรา 88/6 วรรคท้าย แห่งประมวลรัษฎากร

แม้การอนุมัติให้ประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มของโจทก์เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2546 และการแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มไปยังโจทก์เมื่อวันที่ 11 มี.ค. 2546 จะเป็นเวลาภายหลังจากครบกำหนด 2 ปี นับแต่ วันสุดท้ายแห่งกำหนดเวลายื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่มของโจทก์สำหรับ เดือนภาษีดังกล่าว แต่เมื่อยังอยู่ภายในกำหนด 5 ปี นับแต่วันดังกล่าว จึงเป็นการประเมินโดยชอบและอำนาจทำการประเมินภาษีอากรเป็นของเจ้าพนักงาน ประเมินโดยตรง ไม่จำเป็นต้องได้รับมอบอำนาจให้ประเมินเป็นหนังสือจากอธิบดีกรมสรรพากรอีก

หนังสือแจ้งการประเมินภาษีมูลค่าเพิ่มได้ระบุถึงอำนาจตามกฎหมายที่เจ้า พนักงานประเมินใช้ในการประเมินภาษีโจทก์กับระบุ ยอดขายและภาษีขาย ยอดซื้อและภาษีซื้อ ภาษีที่โจทก์ชำระตามแบบแสดงรายการที่ยื่นไว้ เปรียบเทียบกับที่เจ้าพนักงานประเมินตรวจพบ และจำนวนภาษีที่โจทก์ต้องชำระเพิ่ม และได้ระบุถึงสาเหตุในการประเมินไว้แล้วว่า โจทก์นำใบกำกับภาษีปลอมมาใช้ในการเครดิตภาษีมูลค่าเพิ่มมูลค่าสินค้า 383,922 บาท เป็นภาษีมูลค่าเพิ่มจำนวน 26,874.54 บาท

ส่วนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ก็ได้ ให้เหตุผลไว้แล้วครบถ้วน

ทั้งข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ ข้อกฎหมายที่อ้างอิง ข้อพิจารณาและข้อสนับสนุนในการใช้ดุลพินิจ หนังสือแจ้งการประเมินของ เจ้าพนักงานประเมิน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงชอบด้วยมาตรา 37 แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539

จากเวปไซต์โพสต์ทูเดย์

ความคิดเห็น

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

view