สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ป.ป.ช.ให้ปลัดคลังแจงคดีย้ายซี9ไม่เป็นธรรมอีก 19มี.ค.

ประชาชาติธุรกิจ


นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงผลการพิจารณาคดีกล่าวหาคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ อดีตเลขาธิการสำนักงานข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) นายศุภรัตน์ ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังและอดีตอธิบดีกรมสรรพากร และพวก กระทำผิดเนื่องจากโยกย้ายข้าราชการระดับ 9 ของกระทรวงการคลังอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งป.ป.ช.เคยมีมติไปวันที่ 13 มกราคมว่าบุคคลทั้ง 2 มีความผิดวินัยร้ายแรง แต่ทั้งนี้ บุคคลทั้ง 2 ได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมว่า คุณหญิงทิพาวดีได้ทำหนังสือขอความเป็นธรรมมา 4 ฉบับ แต่ทุกฉบับเป็นการโต้แย้งกระบวนการไต่สวนของป.ป.ช.ทั้งสิ้น ไม่มีการยื่นพยานหลักฐานเพิ่มเติมเข้ามา ต่างกับกรณีนายศุภรัตน์ที่ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมมา 3 ฉบับ ที่ปรากฏว่ามีการอ้างอิงพยานหลักฐานใหม่เป็นเอกสารหลายประการ แต่เนื่องจากนายศุภรัตน์มิได้ระบุว่าเอกสารเหล่านั้นเป็นหลักฐานใหม่และมี ความสำคัญต่อการไต่สวนคดีนี้หรือไม่ ป.ป.ช.จึงมีมติให้เชิญนายศุภรัตน์มาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อป.ป.ช.และนำเอกสาร ที่อ้างว่าเป็นพยานหลักฐานมามอบใหม่ ในวันที่ 19 มีนาคมนี้ "หากป.ป.ช.เห็นว่าหลักฐานที่นายศุภรัตน์นำมายื่นเป็นหลักฐานใหม่ก็ จำเป็นจะต้องเริ่มกระบวนการไต่สวนในคดีนี้ใหม่ทั้งหมด แต่หากไม่เห็นว่าเป็นหลักฐานใหม่ก็จำเป็นจะต้องยืนมติตามเดิมคือมีความผิด ทางวินัยร้ายแรง โดยจะทำหนังสือถึงผู้บังคับบัญชาให้ปลดออกหรือไล่ออกนายศุภรัตน์ ภายในเวลา 30 วันตามกฎหมาย" นายกล้านรงค์ กล่าว ผู้สื่อข่าว"มติชนออนไลน์"รายงานเมื่อวันที่ 12 มีนาคมว่า คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มีมติให้นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล ปลัดกระทรวงการคลังเข้าชี้แจงเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ในวันพฤหัสบดี 19 มีนาคมกรณีนายศุภรัตน์ร้องขอความเป็นธรรมในคดีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติว่า นายศุภรัตน์ ขณะที่ดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมสรรพากรมีความผิดทั้งทางวินัยและอาญา ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  กรรีแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร  4 คนไม่ชอบด้วยกฎหมาย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาเห็นว่า หนังสือร้องขอความเป็นธรรมของนายศุภรัตน์มี เอกสารหลักฐานที่อาจจะเป็นพยานหลักฐานใหม่หรือไม่เคยมีการต่อสู้ในชั้นไต่ สวนของ ป.ป.ช.มาก่อน แต่ยังไม่ชัดเจนประกอบกับนายศุภรัตน์ขอเข้าชี้แจงด้วยวาจา จึงมีมติเรียกนายศุภรัตน์เข้าชี้แจงด้วยวาจาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อประกอบการพิจารณาของคณะกรรมการ ป.ป.ช.ต่อไป อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติยืนยันความผิดของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์อดีตเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน(ก.พ.)และอดีตรัฐมนตรีประจำสำนัก นายกรัฐมนตรีว่า ผิดวินัยร้ายแรงเพราะเห็นว่า หนังสือร้องขอความเป็นธรรมของคุณหญิงทิพาวดีไม่มีพยานหลักฐานใหม่   ดัง นั้นหลังจากนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช.จะส่งเรื่องให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ซึ่งเป้นต้น สังกัดของคุณหญิงทิพาวดีตอนเกษียณอายุเพื่อ อ.ก.พ.กระทรวงพิจารณาไล่ออกหรือปลดออก ผู้สื่อข่าวรายว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2552 ว่า  คุณหญิงทิพาวดี  เมฆสวรรค์   เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน( ก.พ. ) มีความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรี(ครม.)หรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง  ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 85 วรรคสอง กรณีการแต่งตั้งแต่งตั้งรองอธิบดีกรมสรรพากร 4 คนไม่ชอบด้วยกฎหมาย นอกจากนั้นคณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังมีมติว่า คณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรอง อธิบดีกรมสรรพากร(นักบริหาร 9 ) ประกอบด้วย นายสมใจนึก เองตระกูล  ปลัดกระทรวงการคลัง ขณะนั้น เป็นประธานคณะกรรมการ  นายสมหมาย ภาษี   อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง รองปลัดกระทรวงการคลังขณะนั้น นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  อธิบดีกรมสรรพากร ขณะนั้น(ปัจจุบันเป็นปลัดกระทรวงการคลัง)  นายวีระ  ไชยธรรม  ที่ปรึกษาระบบราชการสำนักงาน ก.พ.  มีมูลเป็นความผิดทางอาญา  ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  ประกอบมาตรา 83  ส่วนนายเมธี  ภมรานนท์ ผู้แทน ก.พ. ใน อ.ก.พ.กระทรวงการคลัง ซึ่งในขณะกระทำผิดได้พ้นจากราชการไปแล้ว ไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน มีมูลเป็นความผิด ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  ประกอบมาตรา 86 นอกจากนี้นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการด้วย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า  เรื่องดังกล่าวสืบเนื่องจากคณะกรรมการ ป.ป.ช. ได้รับเรื่องกล่าวหา คุณหญิงทิพาวดี เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ก.พ. ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีมีหนังสือสำนักงาน ก.พ. แจ้งเวียนไปยังส่วนราชการโดยปรับปรุงหลักเกณฑ์วิธีการและขั้นตอนการคัดเลือก ข้าราชการพลเรือนสามัญที่จะแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักบริหาร 9  และกำหนดคุณสมบัติของผู้เข้ารับการคัดเลือกไม่เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี  และกล่าวหา นายสมใจนึก เองตระกูล   ปลัดกระทรวงการคลัง  กับพวก  ในฐานะคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง นักบริหาร 9 (กระทรวงการคลัง) ดำเนินการคัดเลือกบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากรโดยมิชอบ  ซึ่งคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีคำสั่งแต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน  เพื่อดำเนินการไต่สวนข้อเท็จจริงเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2550มี นายภักดี  โพธิศิริ กรรมการ ป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวน  คณะกรรมการ ป.ป.ช.  ได้พิจารณาสำนวนการไต่สวนข้อเท็จจริงของคณะอนุกรรมการไต่สวนแล้ว  ปรากฏรายละเอียดข้อเท็จจริงดังนี้ 1.กรณีกล่าวหา คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์  เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ก.พ. ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์  ขณะดำรงตำแหน่งเลขาธิการ ก.พ.  ได้นำเสนอเรื่องระบบนักบริหารระดับสูงต่อคณะรัฐมนตรี เพื่อขอความเห็นชอบและอนุมัติให้นำระบบดังกล่าวมาใช้ในราชการพลเรือนไทย โดยสำนักงาน ก.พ. จะจัดทำบัญชีของผู้มีสิทธิได้รับการเสนอชื่อเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนัก บริหารระดับสูงกลุ่มที่ 1 (นักบริหาร 9) จากผู้ที่ผ่านการฝึกอบรมหลักสูตรเตรียมนักบริหารระดับสูง และผ่านการประเมินสมรรถนะของนักบริหาร  โดยผู้ที่ผ่านการประเมินจะมีชื่ออยู่ในบัญชีนักบริหาร และบัญชีจะมีอายุ 2 ปี  ซึ่งคณะรัฐมนตรี ในการประชุมเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2543 มีมติเห็นชอบให้สำนักงาน ก.พ. นำระบบนักบริหารระดับสูงดังกล่าวมาใช้ในราชการพลเรือน  โดยในระยะแรกให้ใช้บัญชีเพื่อการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนักบริหาร 9 ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2544   ต่อมาคุณหญิงทิพาวดี  ได้ดำเนินการกำหนดหลักเกณฑ์ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 0701/ว 9 ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2544  เวียนแจ้งส่วนราชการต่าง ๆ  เพื่อดำเนินการตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว  โดยกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนเพื่อแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งระดับ 9 เพิ่มเติม นอกเหนือจากหลักการที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ  และจากหลักเกณฑ์ตามหนังสือเวียน ว.9  ดังกล่าวทำให้มีผู้ที่ได้รับความเสียหาย(นายไพรัช สหเมธาพัฒน์ อดีตข้าราชการกรมสรรพากร)ได้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง  จนในที่สุดศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษาว่า การที่สำนักงาน ก.พ. กำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมให้ผู้ผ่านการอบรมหลักสูตรนักบริหารระดับสูงที่ ก.พ. รับรอง รวมทั้งให้ส่วนราชการที่มีตำแหน่งว่างสามารถเสนอชื่อข้าราชการให้สมัครเข้า รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนักบริหารระดับสูง (ผู้บริหาร 9) ได้ด้วยนั้น เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการเลือกสรรผู้บริหารระดับสูง กลุ่มที่ 1 (นักบริหาร 9) ไม่ชอบด้วยมติคณะรัฐมนตรี และการกำหนดหลักเกณฑ์เพิ่มเติมดังกล่าว ไม่เป็นธรรมแก่ผู้ที่มีชื่ออยู่ในบัญชีผู้ผ่านการประเมินสมรรถนะหลักทางการบ ริหาร ดังนั้น หลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญดังกล่าวตามหนังสือสำนัก งาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 0701/ว9  ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2544  จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า ผลจากการกระทำของคุณหญิงทิพาวดีเมฆสวรรค์ ตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ได้สร้างความเสียหายแก่คณะรัฐมนตรี และระบบราชการในด้านการบริหารงานทรัพยากรบุคคลอย่างร้ายแรง ส่งผลเสียหายอย่างใหญ่หลวงในด้านข้อกฎหมาย ทำให้เกิดการยกเลิกเพิกถอนหลักเกณฑ์ ตามหนังสือสำนักงาน ก.พ.ว.9 และคำสั่งทางการปกครอง (คำสั่งกระทรวงการคลัง) ที่ออก โดยอาศัยหลักเกณฑ์ดังกล่าว ทำให้สถานภาพความเป็นข้าราชการและการปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในตำแหน่งของผู้ ที่เกี่ยวข้องได้รับความกระทบกระเทือนอย่างร้ายแรง  การกระทำของ คุณหญิงทิพาวดี   จึงเป็นความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง  ฐานปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ มติคณะรัฐมนตรีหรือนโยบายของรัฐบาล อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรง  ตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 85 วรรคสอง 2.กรณีกล่าวหา คณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนัก บริหาร 9 (กระทรวงการคลัง) ว่า ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ  หรือโดยทุจริต ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า คณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนัก บริหาร 9 (กระทรวงการคลัง) ประกอบด้วย  นายสมใจนึก เองตระกูล    นายสมหมาย ภาษี    นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล    นายวีระ  ไชยธรรม  และนายเมธี  ภมรานนท์  ผู้แทน ก.พ. ใน อ.ก.พ.กระทรวงการคลัง  กรรมการชุดดังกล่าว  ได้ดำเนินการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนสามัญเพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนัก บริหาร 9 (กระทรวงการคลัง)  และพิจารณาคัดเลือกข้าราชการฯ เพื่อแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร  จำนวน  4  อัตรา โดยมีผู้สมัครเข้ารับการคัดเลือก จำนวน  10  ราย มีคุณสมบัติครบถ้วน 9 ราย ซึ่งกรมสรรพากร ได้เสนอรายชื่อ 5 ราย
และสมัครด้วยตนเอง 4 ราย คณะกรรมการคัดเลือกฯ ได้ประชุมพิจารณาแล้ว มีมติเห็นสมควรให้แต่งตั้งผู้สมัครที่กรมสรรพากรเสนอ จำนวน 4 ราย ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร โดยมิได้ปฏิบัติตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ด่วนที่สุด ที่ นร 0701/ว 9  ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2544 ที่กำหนดให้คณะกรรมการคัดเลือกฯ  พิจารณาคัดเลือกผู้ที่เหมาะสมสำหรับตำแหน่งที่จะแต่งตั้ง จำนวนไม่เกิน 3 ชื่อต่อ 1 ตำแหน่ง พร้อมทั้งระบุเหตุผลของความเหมาะสมของบุคคลในแต่ละตำแหน่งเพื่อเสนอให้ผู้มี อำนาจสั่งบรรจุตามมาตรา 52  แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 พิจารณา   และต่อมากระทรวงการคลัง ก็ได้มีคำสั่งแต่งตั้งบุคคลดังกล่าวให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร ตามที่เสนอ ในเรื่องนี้ได้มีผู้สมัครที่ได้รับความเสียหายจากการพิจารณาคัด เลือกดังกล่าว ฟ้องคดีต่อศาลปกครองกลาง ซึ่งต่อมาศาลปกครองสูงสุด ได้มีคำพิพากษา โดยเห็นว่า คณะกรรมการคัดเลือกฯ  ดำเนินการคัดเลือกไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในหนังสือสำนักงาน ก.พ.  ด่วนที่สุด ที่ นร 0701/ว 9  ลงวันที่ 15 สิงหาคม 2544  ทั้งไม่เป็นไปตามกระบวนการเลือกสรรนักบริหารเพื่อการแต่งตั้งตามมติคณะ รัฐมนตรี นอกจากนี้  มีการกระทำในลักษณะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สมัครจนได้รับการคัดเลือก ให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากร จากพฤติการณ์ของคณะกรรมการคัดเลือกดังกล่าว เชื่อว่าการดำเนินการคัดเลือกเพื่อแต่งตั้งบุคคลให้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรม สรรพากร (นักบริหาร 9 ) ครั้งนี้ ได้มีการกำหนดตัวบุคคลที่สมควรแต่งตั้งไว้เป็นการล่วงหน้าแล้ว อันไม่เป็นธรรแก่ผู้ฟ้องคดีและผู้สมัครด้วยตนเองรายอื่น จึงทำให้คำสั่งแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งรองอธิบดีกรมสรรพากรดังกล่าวไม่ชอบ ด้วยกฎหมาย คณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้วเห็นว่า  การกระทำของ นายสมใจนึก เองตระกูล   นายสมหมาย ภาษี  นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  และนายวีระ  ไชยธรรม  มีมูลเป็นความผิดทางอาญา  ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  ประกอบมาตรา 83  ส่วนนายเมธี  ภมรานนท์  ซึ่งในขณะกระทำผิดได้พ้นจากราชการไปแล้ว ไม่มีฐานะเป็นเจ้าพนักงาน มีมูลเป็นความผิด ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานกระทำความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157  ประกอบมาตรา 86  นอกจากนี้นายศุภรัตน์  ควัฒน์กุล  ยังมีมูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรง ฐานทุจริตต่อหน้าที่ราชการด้วย คณะกรรมการ ป.ป.ช. จึงมีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังผู้บังคับบัญชา  เพื่อพิจารณาโทษทางวินัย และไปยังอัยการสูงสุด  เพื่อดำเนินคดีอาญากับผู้ถูกกล่าวหาดังกล่าว ในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี ตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542  มาตรา 92 และมาตรา 97 แล้วแต่กรณี ต่อไป
view