สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดเส้นทางหนี เจ้าพ่อ-นักการเมืองไทย

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ปานใจ ปิ่นจินดา


ปกติ สถิติการหนีออกนอกประเทศ มักจะเป็นเรื่องของผู้ที่ต้องการหนีหนี้ หนีความผิดในคดีความต่างๆ

แต่ ยุคนี้นักการเมืองทั้งหลายก็อยู่ในข่ายต้องเตรียมตัวเรื่อง "ลี้ภัย" ให้ดี เพราะอิทธิฤทธิ์ของศาลฎีกา แผนกคดีอาญานักการเมืองซึ่งพิจารณาคดีแบบ "เคาะโป้งเดียวจอด" ไม่มีก๊อกสอง ก๊อกสาม ให้รอลุ้น

"ผมเชื่อว่าเดี๋ยวนี้มีนักการเมืองไทยหลายคนที่เตรียมแผนการหนีเอาไว้ไม่ น้อย เพราะศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองมีศาลเดียว อย่างเวลาขึ้นศาลทั่วไปก็มีศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา ใครโดนก็กล้าไปฟัง แต่นี่มีศาลเดียว ใครจะกล้าไป ฟังแล้วมันหนาวไหม

มันก็เลยทำให้คนต้องเตรียมตัว หลายคนที่ไปตระเวนดูบ้านพักในต่างประเทศแล้ว อย่างในฝรั่งเศส อังกฤษ หรือจะเป็น บอสตันก็มี" คือคำอธิบายปรากฏการณ์ดังกล่าวโดยเจ้าพ่อจอมแฉ อย่าง “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์”

เพียงเปิดคำถามแรกว่าเขาหนีกันอย่างไร เสี่ยชูวิทย์ตอบได้ทันควันว่าเรื่องจะหนีออกนอกประเทศนั้นง่ายกว่าที่คิดเยอะ

 “เส้นทางหนีออกจากประเทศแบบไม่ให้มีคนรู้มีเยอะมาก แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรด้วย แต่ปัญหาที่จะต้องตอบให้ได้ก่อนจะออกเดินทางคือ ออกไปแล้วจะไปไหนต่อ จะไปอยู่ที่ไหน”

 @ ประสบการณ์หนี "ตัวจริง"
 
 แม้จะไม่มีประสบการณ์ "หนีออกนอกประเทศ" แต่ตรงข้ามกันตรงที่เขาได้เคยผ่านประสบการณ์ "แอบเข้าประเทศ" โดยทางการไม่รู้ต่างหาก

"ตอนนั้น ผมไปออสเตรเลีย ก็มีเพื่อนพ้องโทรมาส่งข่าวว่าผมโดนหมายจับ ตอนนั้นอยู่ที่สิงคโปร์แล้ว ก็ต้องตั้งหลักที่นั่นก่อน หาทางหนีทีไล่ แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจนั่งเครื่องมาลงภูเก็ต ก่อนจะใช้เส้นสายที่มีกลับเข้ามาในประเทศแบบไม่ต้องผ่าน ตม." ชูวิทย์เล่า

แม้ว่าหลังจากกลับเข้าเมืองไทยได้แล้ว ชูวิทย์ก็ติดต่อขอมอบตัวกับตำรวจอยู่ดี แต่ที่ใช้วิธีหลบเข้ามาก็เพื่อเตรียมตัว เตรียมการให้พร้อมก่อนจะเข้ามอบตัวเท่านั้น

ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้ชูวิทย์ เล่าได้เป็นฉากๆ ถึงเส้นทางหนีของเหล่าเจ้าพ่อ และนักการเมือง


 @ หนีทางไหน ปลอดภัยตำรวจ

ถ้าแค่คิดจะ "หนี" โดยยังไม่ต้องพูดถึงจุดหมายปลายทางนั้น ชูวิทย์ บอกว่าเหนือจรดใต้ก็ไปได้ทั้งนั้น สุดแต่ความสะดวกของแต่ละคน

ถ้าสะดวกจะเร้นกายออกนอกประเทศผ่านตะเข็บชายแดนแถบภาคเหนือก็ไปได้ทางรอย ต่อแถวเชียงราย แม่ฮ่องสอน ซึ่งเดินทางต่อไปจนถึงคุนหมิงเลยก็ยังได้

แต่คุนหมิงในความเห็นของชูวิทย์นั้น มีปัญหาอยู่บ้าง คือ "ไปได้แต่อยู่ไม่สบาย" ปราศจากความทันสมัย สะดวกสบาย แบบที่คุ้นชินในประเทศไทย

ส่วนใครที่คิดอยากไปทางภาคอีสานผ่านทางด่านตรวจคนเข้าเมือง หนองคาย-ลาว ก็ง่ายแสนง่าย ไม่ต่างอะไรกับ เซเว่นอีเลฟเว่น เพราะถ้ารู้จักคนก็สามารถเข้าออกได้ 24 ชั่วโมง แบบไม่ต้องผ่าน ตม. ซึ่งจากเมืองปากเซก็สามารถทะลุไปถึงเมืองดานัง ประเทศเวียดนาม

“ถ้าจะอยู่เวียดนาม พูดถึงอาหารการกินก็โอเค ไม่แย่นัก แต่ถ้าอยากได้ความสะดวกสบายแบบที่เคยได้รับในเมืองไทย ก็ต้องทำใจหน่อย” ชูวิทย์กล่าว

สำหรับภาคใต้ ชายหาดโดยทั่วไป ภูเก็ต กระบี่ ระนอง ว่าเรือจากตรงไหนก็ได้ แถมไม่จำเป็นต้องถึงขนาดออกนอกประเทศก็ได้ เพราะมีเกาะแก่งมากมายให้หลบซ่อนตัวแบบไม่ต้องลำบากลำบน

แต่จุดที่ชูวิทย์แนะนำให้เป็นเส้นทางที่ง่ายสะดวกสบายที่สุด หากจะใช้เป็นเส้นทางหนีออกไปกบดาน คือ จ.ชลบุรี ทั้งสาเหตุที่ใกล้จาก กทม.แค่ 2 ชั่วโมงถึง แถมฝั่งทะเลตะวันออกก็สามารถนั่งเรือเข้าออกได้สะดวก... โดยบอกว่าถ้ามีเหตุให้ต้องหนี ตัวเขาจะเลือกเริ่มต้นที่ชลบุรี

 @ จุดหมายปลายทาง "หนี"

"อย่างที่บอก ว่าแค่จะออกนอกประเทศนั้นง่ายแสนง่าย แต่ปัญหาที่ต้องคิดก่อนไปก็คือ จะไปไหนต่อต่างหาก ที่ต้องคิดและเตรียมพร้อมให้ดี"

ว่าแล้วชูวิทย์ก็เริ่มแจกแจงเส้นทางที่คนนิยมซึ่งมีมากมายหลายแบบให้จิ้มเลือกได้ตามงบประมาณตลอดจนไลฟ์สไตล์ของผู้หนี

หากถนัดในการเสี่ยงโชคอยู่แล้ว แน่นอนว่า "บ่อน" คือ ทางเลือกที่ง่ายที่สุด เพราะจำนวนบ่อนบริเวณชายแดนนั้นไม่ใช่น้อยๆ ขอแค่เป็นนักเล่นตัวจริง เงินถึงจริง เจ้าของบ่อนแทบจะส่งราชรถมารับตั้งแต่จากกรุงเทพฯ กันเลยทีเดียว

"หนีไปอยู่ที่กาสิโนตามตะเข็บชายแดนรับประกันได้ว่าไม่มีใครจับ เพราะอิทธิพลบ่อนมันครอบคลุมอยู่แล้ว ยิ่งเป็นลูกค้ามือหนัก บ่อนยิ่งชอบ ให้ไปรับถึงที่เลยยังได้ นั่งอยู่บนรถเฉยๆ พอถึงด่านก็ไม่ต้องลงรถ ไม่ต้องตรวจบัตร ไม่ต้องต่อแถว ไม่ต้องใช้พาสปอร์ตก็เข้าออกได้" ชูวิทย์เล่า

ถ้าไม่ถนัดเสี่ยงโชค โดยเป็นคนรักสงบ ชอบดื่มด่ำธรรมชาติ คำแนะนำคือให้ไปอยู่ "เกาะ" เหมาะสมที่สุด ไม่ต้องบากบั่นไปไกลถึงต่างประเทศ แค่หนีไปอยู่เกาะก็ได้ผลแล้ว จะเป็นเกาะส่วนตัวของพวกพ้องก็มีแต่คนกันเองที่ไว้ใจได้ ขอแค่มีคนเป็นหูเป็นตาให้ ก็อยู่ได้อย่างวางใจ นัยว่าพักร้อนไปด้วยในตัว

แต่เกิดสมมติว่าเป็นคนกลัวน้ำ ไม่อยากลงเรือ ก็สามารถหลบอยู่ตามป่าเขา อุทยานต่างๆ ก็ได้ประสิทธิผลและอารมณ์ไม่ต่างกัน

"ผมบอกได้เลยว่าบางคนที่บอกว่าหนีออกนอกประเทศไปแล้วนั้น จริงๆ น่าจะยังอยู่ในไทย เพียงแค่ไม่ปรากฏตัวให้เห็นเท่านั้น แล้วก็ปล่อยข่าวหลอก ว่าออกนอกประเทศแล้ว เพื่อลดแรงเสียดทานของตำรวจว่าต้องค้นหาตัวให้เจอ"

ข้อควรจำ หากใครสมัครใจอยากจะไปติดเกาะ ชูวิทย์ เตือนว่าส่วนมากตามเกาะแก่งหรือป่าเขา มักจะขาดแคลนสัญญาณโทรศัพท์มือถือ เพราะฉะนั้นโทรศัพท์ดาวเทียม คือ สิ่งจำเป็นที่ต้องเตรียมหาซื้อไปไว้ใช้ติดต่อกับโลกภายนอกโดยตรวจจับไม่ได้ ด้วยว่าอยู่ที่ไหน ซึ่งหาซื้อง่ายมากควักกระเป๋าจ่ายเพียง 5 หมื่นบาทก็มีไว้ในครอบครองได้แล้ว

แต่สำหรับตัวชูวิทย์เองนั้น หากต้อง “หนี” เขาก็ขอหนีด้วยวิธีที่สะดวกสบาย โดย “เรือสำราญ” คือทางเลือกของผู้ชายที่ชื่อ ชูวิทย์

“ใครมีเงินหน่อย ผมแนะนำให้ไปล่องเรือสำราญ เพราะมันเป็นวิธีหนีที่สนุกสนานมาก ได้เที่ยวรอบโลก มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน สามารถกบดานอยู่บนเรือเป็นเดือนๆ รับรองไม่มีทางโดนจับ เพราะคนไทยไม่ชอบไปเที่ยวแบบนี้ จึงยากที่จะโดนคนพบเห็น”

สนนราคาของการหนีไปกับเรือสำราญนี้ชูวิทย์บอกว่ามีเงิน 3 แสนก็ไปได้ แต่หากจะขออยู่แบบหรูสบายสุดๆ ก็พกไปสัก 5 แสนกำลังดี เผื่อชอปปิงเลือกซื้อของฝากกลับบ้าน พร้อมกับบอกอีกว่า จุดขึ้นเรือที่สิงคโปร์ น่าจะสะดวกที่สุด

 @ หนีไว้ก่อน ดีกว่าต้องนอนในคุก
ทั้งสามวิธีที่ชู วิทย์แนะนำมานั้น เป็นการเร้นตัวออกจากปัญหาเป็นการชั่วคราว เนื่องจากเห็นว่าสังคมไทยเป็นสังคมที่สามารถพูดคุยกันได้ เจรจากันได้ แต่การที่จะสามารถมีอำนาจในการเจรจาได้ แน่นอนว่า “คุณต้องอยู่นอกคุก”

"หลักการคือ หนีไว้ก่อน ไม่ว่าจะหนีอะไร ให้หนีไว้ก่อนแล้วค่อยมาคุย มาตกลงกัน" เพราะถ้าเกิดยอมติดคุกไปเสียแล้ว ก็หาหนทางที่จะไปเจรจาต่อได้ยาก

.. หากว่าหนีเจ้าหนี้ ก็ต้องหนี เพื่อประวิงเวลา เพิ่มอำนาจในการต่อรอง ลดจำนวนเงินที่ต้องชดใช้

.. หากว่าหนีคดี ไปเหยียบเท้าใครเข้า ก็ต้องประคองสถานการณ์ สบช่องก็ดอดเข้าเจรจากับเจ้าทุกข์นอกรอบ ผ่อนหนักเป็นเบา

.. หากว่าหนีคำตัดสินโทษ กรณีนี้อาจต้องไปนานหน่อย เพราะคงไม่ใช่ว่าเจรจากันได้ง่ายๆ

แต่สำหรับใครก็ตามที่ต้องหนีนาน อาจจะถึงขั้นจำต้องอยู่นอกประเทศตลอดชีวิตเลยนั้น “ยุโรปตะวันออก” คือจุดหมายที่ชูวิทย์แนะนำ

อาทิ ประเทศโปแลนด์ รวมถึงบริเวณที่เคยเป็นเยอรมันตะวันออก เชโกสโลวะเกีย โดยเฉพาะประเทศฮังการี กำลังเป็นที่นิยมในหมู่ผู้หนีคดีทั้งหลาย ด้วยว่าค่าครองชีพยังไม่สูงมาก แถมเรื่องความโปร่งใสก็ยังไม่ใช่ประเด็นสำคัญ หากว่ามีคอนเนคชั่นดีๆ เงินถึง ก็สามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายลดหลั่นกันไปตามแต่กำลังทรัพย์

สำหรับราคาค่าหนีแบบ "วันเวย์ ทิคเก็ต" ตีตั๋วเที่ยวเดียวชนิดไปไม่กลับนั้น ชูวิทย์ เคาะเครื่องคิดเลขออกมาได้ที่ประมาณ 2 ล้านเหรียญยูเอส หรือราวๆ 70 ล้านบาท แต่หากใครหอบลูกจูงหลาน หนีกันไปแบบยกครัว คร่าวๆ ที่ต้องเตรียมไว้ให้อุ่นใจคือเป็นร้อยล้านบาท เพราะต้องมองไปถึงอนาคตการศึกษาของลูกหลานด้วย

อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้มีแผนที่จะหนี นอกจากจะต้องเตรียมตัววางแผน เตรียมเงินให้พร้อมแล้ว สิ่งที่ขาดไม่ได้คือต้อง "เตรียมใจ" ให้พร้อมที่จะต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ซึ่งประเด็นนี้เสี่ยชูวิทย์ เตือนด้วยน้ำเสียงไม่ล้อเล่นเลยว่า "ระวังเหงา"

"คนไทยที่ไปส่วนมากเป็นคนติดสังคม ก็เตือนไว้ก่อนเลยว่าระวังจะเหงา ผมเคยเห็นคนที่เป็นพ่อค้าที่หนีหนี้ไปอยู่ต่างประเทศ พูดภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ สื่อสารกับใครไม่รู้เรื่อง วันทั้งวันก็อยู่แต่ในบ้าน ไม่รู้จักใคร พูดกับใครไม่ได้ มันทรมานนะ" ชูวิทย์เตือนทิ้งท้ายด้วยความหวังดี

หน่วยข่าวทหารชี้ "เขมร-ลาว" ยอดฮิต
 แหล่งข่าวนาย ทหารที่เคยปฏิบัติงานในศูนย์รักษาความปลอดภัย (ศรภ.) เผยว่า เส้นทางหลบหนีออกนอกประเทศที่นิยมกันมากจะออกทางกัมพูชาและลาวเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะกัมพูชาจะมีด่านเถื่อนหลายด่าน และมีหลายช่องทางที่สามารถเดินทางออกไปได้ ทั้งทางบกและทางน้ำ เช่น จ.จันทบุรี ตราด สระแก้ว ในภาคตะวันออก และจังหวัดในเขตอีสานใต้อีกหลายจังหวัด

"วิธีการผ่านด่านพวกนี้ ขอให้มีคนของประเทศนั้นๆ มารับก็ใช้ได้แล้ว อาจจะต้องจ่ายเจ้าหน้าที่ประจำด่านเสียหน่อย ทั้งลาวทั้งเขมรเป็นแบบนี้" แหล่งข่าว ระบุ

อดีตนายทหารฝ่ายข่าว ยังระบุว่า นอกจากจะหนีออกทางด่านเถื่อนแล้ว ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่นิยมกันมาก คือออกไปกับรถตู้ของบ่อนการพนันตามแนวชายแดน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นฝั่งเขมร เช่น ปอยเปต ที่ติดกับตลาดโรงเกลือ จ.สระแก้ว ถ้าเป็นผู้ต้องหาคดีไม่สำคัญ ก็สามารถติดไปกับรถของบ่อนการพนันได้เลย โดยทำทีไปเล่นพนัน เมื่อผ่านเข้าไปได้แล้วก็หาทางหนีต่อไป

ส่วนกลุ่มผู้ต้องหาสำคัญหรือนักการเมืองนั้น แหล่งข่าวทางทหาร บอกว่า การหลบหนีออกนอกราชอาณาจักรไม่ใช่เรื่องยาก เพราะคนเหล่านี้มีเส้นสายมากมาย เพียงแต่จะไม่ผ่านด่านศุลกากร หรือด่านชายแดนถาวรให้มีหลักฐาน แต่จะผ่านทางด่านเถื่อน หรือมีเรือมารอรับ ซึ่งขบวนการที่มารับก็เป็นคนไทยทั้งนั้น  รับไปแล้วก็พาไปส่งตามโรงแรมหรูในเครือข่าย

"พอข้ามไปได้แล้วก็อยู่สบาย อย่าไปก่อคดีขึ้นอีกก็แล้วกัน ทางประเทศเหล่านั้นก็มักไม่ทำอะไร แม้จะรู้ว่าอยู่ในประเทศของเขาก็ตาม"

เครือข่าย "ทักษิณ" ใช้เกาะช้างเป็นฐาน
 แหล่งข่าวผู้นี้ ยังให้ข้อมูลอีกว่า ถ้าจะจำกัดวงเฉพาะนักการเมืองสาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หากจะหนีเข้ากัมพูชาก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่ข้ามไปที่เกาะช้าง จากนั้นก็จะมีคนมารับ นั่งเรือสปีดโบตไปไม่นานก็เข้าเขตกัมพูชาแล้ว ที่สำคัญรีสอร์ทใหญ่ๆ บนเกาะช้างล้วนเป็นอาณาจักรของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพราะซื้อในชื่อคนอื่นเอาไว้หลายแห่ง

ส่วนเส้นทางการหลบหนีไปทางพม่ากับมาเลเซีย แหล่งข่าว กล่าวว่า ทางพม่าไม่เป็นที่นิยม เพราะชายแดนด้านที่ติดกับไทยเป็นเขตอิทธิพลของชนกลุ่มน้อย ทั้งว้า และกะเหรี่ยง เฉพาะกะเหรี่ยงก็มีถึง 3 กลุ่มแล้ว ฉะนั้นโอกาสที่จะประสานงานติดต่อจะยากกว่า และโอกาสพลาดมีสูง อีกทั้งค่าใช้จ่ายก็สูง เพราะไม่ใช่พื้นที่ที่รัฐบาลทหารพม่าควบคุมได้ทั้งหมด ขณะที่มาเลเซีย การจะข้ามไปได้ต้องพูดภาษามลายูคล่อง ซึ่งก็ยากสำหรับคนไทย

"เท่าที่เคยมีข้อมูลด้านการข่าว ส่วนใหญ่บุคคลสำคัญบ้านเราก็จะหนีเข้าทางเขมร ด้วยเหตุผลอย่างที่บอกคือมีช่องทางหลายช่อง ทั้งทางบกและทางทะเล ซ้ำยังมีบ่อนกาสิโนมากมายที่สามารถแฝงตัวไปกับนักเล่นพนันได้เลย หน้าตาคนไทยกับคนเขมรก็คล้ายๆ กัน ทำให้ยากแก่การตรวจจับ ที่ผ่านมาหลังการปฏิวัติเมื่อปี 2534 นักการเมืองชื่อดังคนหนึ่งก็หนีออกนอกประเทศทางฝั่งเขมร แล้วต่อเรือไปสิงคโปร์ ก่อนจะขึ้นเครื่องบินไปยุโรป หรือลูกชายของนักการเมืองชื่อดังที่โดนคดีอาญาก็หนีไปทางเขมรเช่นกัน" แหล่งข่าวระบุ

"นกรู้" หนีออกนอกก่อนมีหมายจับ
 อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวที่เคยทำงานใน ศรภ. บอกว่า ถึงที่สุดแล้วหากมีเส้นสายทางการเมือง ก็สามารถหนีออกนอกประเทศผ่านทางช่องทางปกติได้ โดยหนีไปก่อนที่จะถูกออกหมายจับ เพราะถ้ายังไม่มีหมายจับ จะผ่านด่านไหนก็ย่อมได้ รู้ว่าตำรวจจะออกหมายจับพรุ่งนี้ ก็หนีเสียตั้งแต่วันนี้ หลายกรณีก็เป็นเช่นนั้น

view