สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

สธ.แนะกันโรคไข้หวัดใหญ่2009

จาก โพสต์ทูเดย์

สาธารณสุขออกคำแนะนำไข้หวัดพันธุ์ใหม่หลังแพร่ระบาดในรร.

หมายเหตุ : กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศเรื่องไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ฉบับที่ 6 โดยมีรายละเอียดดังนี้ 

ปัจจุบันการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด เอ(เอช1เอ็น 1) กำลังขยายตัวไปทั่วโลก  และขณะนี้ประเทศไทยพบการระบาดภายในประเทศแล้ว  ซึ่งแม้ว่าผู้ป่วยโรคนี้มีอาการไม่รุนแรง ใกล้เคียงกันกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์เดิมที่เกิดขึ้นตามปกติ อย่างไรก็ตามการแพร่ระบาดจะเป็นไปอย่างรวดเร็ว  เนื่องจากเป็นเชื้อสายพันธุใหม่  คนทั่วไปไม่มีภูมิต้านทานโรค

สถานศึกษาเป็นแหล่งชุมชนกลุ่มหนึ่งที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดการระบาด  และนำไปสู่การแพร่กระจายเชื้อโรคออกไปสู่ชุมชนได้  ดังนั้นเพื่อความาปลอดภัยของนักเรียน ครู อาจารย์ และเพื่อป้องกันการระบาดในสถานศึกษา กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำสถานศึกษาในการควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ดังต่อไป นี้

1. คำแนะนำทั่วไปสำหรับสถานศึกษา : 

*เผยแพร่ความรู้เรื่องโรคแก่นักเรียน นิสิต นักศึกษา  เพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองติดโรค  หรือแพร่โรคไปยังคนรอบข้าง

*แนะนำให้นักเรียน  นิสิต นักศึกษา  ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้  ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยเนื้อตัว เป็นต้น  หยุดเรียนและพักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก (ควรให้ผู้ป่วยนอนแยกห้อง)  หรือหากมีอาการป่วยมาก  ควรรีบไปรับการตรวจรักษาจากแพทย์

*ก่อนเริ่มการเรียนในแต่ละวัน  ควรตรวจสอบจำนวนนักเรียน หากพบเด็กขาดเรียนมากผิดปกติ (ตั้งแต่ 3 คน ในห้องเรียนเดียวกัน)  ขอให้ตรวจสอบสาเหตุ หากสงสัยว่าเด็กขาดเรียนจากอาการของไข้หวัดใหญ่  ให้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่  เพื่อสอบสวนและควบคุมโรคได้ทันการณ์

*สังเกตอาการ เด็กนักเรียนในห้องเรียน  หากพบเด็กป่วยด้วยอาการของไข้หวัดใหญ่ เช่น  มีไข้  ไอ  เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยเนื้อตัว ฯลฯ  เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้กับผู้อื่น  ควรให้เด็กป่วยสวมหน้ากากอนามัย  หรือใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าเช็ดหน้าปิดปากจมูกทุกครั้งที่ไอจาม และแยกเด็กป่วยให้อยู่ห้องพยาบาล  รวมทั้งติดต่อให้ผู้ปกครองพากลับบ้าน เพื่อให้การดูแลรักษาเบื้องต้นและพักผ่อนที่บ้าน  แต่หากเด็กมีอาการมากควรต้องรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษา

*หากมีนักเรียน นิสิต นักศึกษาที่เดินทางกลับจากต่างประเทศ จากการศึกษาหรือหาประสบการณ์การทำงานและท่องเที่ยว  ควรแนะนำให้เฝ้าติดตามอาการของตนเองอย่างใกล้ชิดเป็นเวลา  7  วัน  โดยในระยะ 3 วันแรกควรพักอยู่ที่บ้านก่อนไปโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือสถานศึกษา หรือเข้าร่วมกิจกรรมอื่น ๆ  และขอให้สถานศึกษาพิจารณาผ่อนปรนการลงทะเบียนหรือการเข้าเรียนเป็นเวลาอย่าง น้อย 3 วัน แก่นักเรียน  นิสิต  นักศึกษา ซึ่งอาจอยู่ระหว่างการพักเฝ้าติดตามอาการอยู่ที่บ้าน หรือระหว่างได้รับการดูแลกรณีป่วยหลังเดินทางกลับจากต่างประเทศ

2.  คำแนะนำกรณีพิจารณาปิดสถานศึกษา

ในการพิจารณาปิดสถานศึกษาเพื่อการชะลอการแพร่ระบาดของโรค  ควรกำหนดกระบวนการมีส่วนร่วมที่มีใช้ดุลยพินิจร่วมกันระหว่างผู้บริหารและ คณะกรรมการสถานศึกษา เจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่  รวมทั้งเครือข่ายผู้ปกครอง  โดยพิจารณาข้อมูลทางวิชาการ ผลการสอบสวนโรคและปัจจัยเกี่ยวข้องอย่างรอบคอบ 

สถานการณ์ ก (A) :  พบว่ามีนักเรียน หรือนิสิต นักศึกษา เป็นผู้ป่วยยืนยันโรคว่าเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1 เอ็น 1)  จำนวน 1 ราย หรือกลุ่มเล็ก ซึ่งทุกคนมีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศที่เป็นพื้นที่การระบาดของโรค  ซึ่งแสดงว่าติดเชื้อจากต่างประเทศ และไม่ใช่การแพร่เชื้อภายในประเทศ

แนวทางการดำเนินการ :

*ไม่จำเป็นต้องปิดสถานศึกษา

*ควรแจ้งผู้ปกครองให้รีบนำผู้ป่วยไปรับการวินิจฉัยโรคและการรักษาจากแพทย์

*หากแพทย์ผู้รักษาอนุญาตให้ผู้ป่วยกลับไปพักรักษาตัวที่บ้าน  ขอให้หยุดเรียนและอยู่กับบ้านหรือหอพัก เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันหลังวันเริ่มป่วย เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ และกลับเข้าเรียนได้เมื่อหายป่วยแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง

สถานการณ์ ข (B)  :  พบว่ามีนักเรียน หรือนิสิต นักศึกษา  เป็นผู้ป่วยยืนยันว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอช1เอ็น 1)  จำนวน 1 ราย หรือกลุ่มเล็ก และไม่มีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศที่เป็นพื้นที่ระบาดของโรค  ซึ่งแสดงว่าติดเชื้อภายในประเทศ  และมีการแพร่เชื้อเกิดขึ้นในชุมชนภายในประเทศ

แนวทางการดำเนินการ :

*ควรพิจารณาปิดสถานศึกษาที่ผู้ป่วยศึกษาอยู่  โดยอาจปิดเฉพาะห้องเรียนที่มีผู้ป่วย  ปิดทั้งชั้นเรียน  หรือทั้งโรงเรียน  ตามความจำเป็น

*ระดับประถมศึกษา  มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา  ควรปิดเป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ

*ศูนย์เด็กเล็กและสถานรับเลี้ยงเด็ก  อาจจำเป็นต้องปิดเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน  เพื่อให้พ้นระยะที่เด็กเล็กจะแพร่โรคให้ผู้อื่นได้  ซึ่งมักจะมีระยะเวลานานกว่าผู้ใหญ่

*ระดับอุดมศึกษา  ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อพิจารณาปิดสถานศึกษาเป็นกรณีไป

*กรณีผู้สัมผัสโรคที่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยยืนยัน มิได้อยู่สถานศึกษาเดียวกันกับผู้ป่วยรายแรก แต่มีกิจกรรมร่วมกันนานพอสมควร เช่น เป็นเพื่อนร่วมชั้นที่คลุกคลีใกล้ชิด แข่งกีฬาหรือรับน้องร่วมกัน ฯลฯ ภายใน 7 วัน นับจากวันสุดท้ายที่ผู้ป่วยมีอาการป่วย

** หากผู้สัมผัสโรครายนั้นมีอาการป่วย  ให้หยุดเรียนไว้ก่อนและรีบไปพบแพทย์  ถ้าผลตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่า ไม่เป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่  ไม่ต้องปิดโรงเรียน

**หากผู้สัมผัสโรครายนั้นมีอาการป่วย และผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการยืนยันว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด  เอ  (เอช1 เอ็น 1)  ขอให้พิจารณาปิดโรงเรียนที่ผู้สัมผัสโรครายนี้เรียนอยู่ด้วย โดยใช้เกณฑ์การปิดสถานศึกษาเช่นเดียวกับข้างต้น

สถานการณ์  ค (C) : พบว่ามีนักเรียนหรือนิสิต นักศึกษา เป็นผู้ป่วยยืนยันว่าเป็นโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิด  เอ  (เอช1 เอ็น 1)  เป็นกลุ่มใหญ่ และผู้ป่วยไม่มีประวัติเดินทางมาจากต่างประเทศที่เป็นพื้นที่การระบาด ซึ่งแสดงว่ามีการระบาดอย่างกว้างขวางในสถานศึกษาแล้ว  หรือในชุมชนอาจมีการระบาดด้วยในเวลาเดียวกัน 

แนวทางการดำเนินการ :

* แนะนำให้นักเรียน  นิสิต นักศึกษา  ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ คือ มีไข้  ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ปวดเมื่อยเนื้อตัว เป็นต้น  หยุดเรียนและพักรักษาตัวที่บ้านหรือหอพัก (ควรให้ผู้ป่วยนอนแยกห้อง)  หรือหากมีอาการป่วยมาก  ควรรีบไปรับการตรวจรักษาจากแพทย์

* ควรพิจารณาปิดสถานศึกษาที่ผู้ป่วยศึกษาอยู่  เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วัน  โดยปิดเฉพาะห้องเรียนที่มีผู้ป่วย  ปิดทั้งชั้นเรียน  หรือทั้งโรงเรียน  ตามความจำเป็น

3.  คำแนะนำการทำความสะอาดในสถานศึกษา

เชื้อไวรัสนี้จะอยู่ในเสมหะ น้ำลาย น้ำมูก ของผู้ป่วย และแพร่ไปยังผู้อื่น โดยผู้ป่วยไอจามรดโดยตรง หรือรับเชื้อทางอ้อมผ่านทางมือหรือสิ่งของเครื่องใช้ที่ปนเปื้อนเชื้อ  เช่น ลูกบิดประตู โทรศัพท์ แก้วน้ำ ฯลฯ โดยมือที่เปื้อนเชื้อไปขยี้ตา แคะจมูก หรือใส่เข้าปาก  เชื้อจะสามารถอยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือพื้นผิวได้ประมาณ 2 ชั่วโมง ดังนั้น เพื่อป้องกันการแพร่กระจายเชื้อ จึงควรทำความสะอาดพื้นผิวต่างๆ โดยเฉพาะพื้นผิวที่มีผู้สัมผัสจำนวนมาก เช่น โต๊ะเรียน ลูกบิดประตู โทรศัพท์ ราวบันได ฯลฯ โดยการใช้น้ำผงซักฟอกทั่วไปเช็ดทำความสะอาด อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง  ภายในห้องควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทได้สะดวก และแสงแดดส่องได้ทั่วถึง

4.  คำแนะนำสำหรับผู้ป่วย  ผู้ปกครอง และผู้ดูแลผู้ป่วยที่บ้าน

ผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ จะมีอาการไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยเนื้อตัว อ่อนเพลีย เจ็บคอ ไอ คัดจมูก น้ำมูกไหล  เบื่ออาหาร บางรายอาจมีอาการอาเจียนและท้องเสียร่วมด้วย  ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาการจะทุเลาขึ้นตามลำดับ คือ ไข้ลดลง ไอน้อยลง รับประทานอาหารได้มากขึ้น และหายป่วยภายใน 5-7 วัน  ยกเว้นบางรายอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนทำให้เกิดปอดบวม มีอาการหอบเหนื่อย หายใจลำบาก และเสียชีวิตได้ ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ  หรือ ผู้ป่วยที่มีโรคเรื้อรังประจำตัว 

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง ( เช่น ไข้ไม่สูงมาก ตัวไม่ร้อนจัด ไม่ซึม  และพอรับประทานอาหารได้)  สามารถรักษาตัวที่บ้านได้  ผู้ป่วย  ผู้ปกครอง และผู้ดูแลผู้ป่วยควรปฏิบัติดังนี้

* ผู้ป่วยควรหยุดเรียน และพักอยู่กับบ้านหรือหอพัก เป็นเวลาอย่างน้อย 7 วันหลังวันเริ่มป่วย เพื่อให้พ้นระยะการแพร่เชื้อ  และกลับเข้าเรียนได้ เมื่อหายป่วยแล้วอย่างน้อย 24 ชั่วโมง 

* แจ้งทางโรงเรียนทราบ เพื่อจะได้ร่วมเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในสถานศึกษา และป้องกันควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที

* ให้ผู้ป่วยรับประทานยาลดไข้ เช่น พาราเซทามอล  (ห้ามใช้ยาแอสไพริน)  และยารักษาตามอาการ เช่น ยาละลายเสมหะ ยาลดน้ำมูก ตามคำแนะนำของเภสัชกรหรือสถานบริการทางการแพทย์ หรือคำสั่งของแพทย์

**ไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส  ไม่จำเป็นต้องรับประทานยาปฏิชีวนะ ยกเว้นพบเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อน ต้องรับประทานทานยาให้หมดตามที่แพทย์สั่ง 

·       เช็ดตัวลดไข้ ด้วยน้ำสะอาดที่ไม่เย็น

·       ดื่มน้ำสะอาดและน้ำผลไม้มากๆ งดดื่มน้ำเย็นจัด

·       พยายามรับประทานอาหารอ่อน ๆ รสไม่จัด เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม ไข่ ผัก และผลไม้ให้พอเพียง

·       นอนพักผ่อนมากๆ ในห้องที่อากาศไม่เย็นเกินไป และมีอากาศถ่ายเทสะดวก

·    ป้องกันการแพร่กระจายเชื้อให้ผู้อื่นด้วยการสวมหน้ากากอนามัย  ปิดปาก และจมูก เวลาไอหรือ จามด้วยกระดาษทิชชูหรือแขนเสื้อของตนเอง ล้างมือด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจลบ่อยๆ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีใกล้ชิดกับผู้ที่อยู่ร่วมบ้านหรือร่วมห้อง (หากเป็นไปได้ ควรให้ผู้ป่วยนอนแยกห้อง)  รับประทานอาหารแยกจากผู้อื่น หรือใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน  ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัว เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ หลอดดูดน้ำ  ร่วมกับผู้อื่น

·       หากอาการป่วยรุนแรงขึ้น  เช่น หายใจลำบาก หอบเหนื่อย  อาเจียนมาก ซึม  ควรรีบไปพบแพทย์ทันที

5.  คำแนะนำสำหรับผู้ปกครองในการดูแลบุตรหลาน

* ควรติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ และคำแนะนำต่างๆ จากกระทรวงสาธารณสุขและสถานศึกษาเป็นระยะ

* แนะนำพฤติกรรมอนามัยให้แก่บุตรหลาน เช่น รักษาสุขภาพให้แข็งแรง โดยการออกกำลังกาย นอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การป้องกันการติดเชื้อไวรัส โดยการล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ การใช้ช้อนกลางในการรับประทานอาหารร่วมกัน การรับประทานอาหารปรุงสุกใหม่

·   แนะนำให้เด็กหลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย ที่มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่

·   หากบุตรหลานของท่านมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ มีน้ำมูก เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย  ให้ใช้กระดาษทิชชูปิดปากและจมูก และทิ้งลงถังขยะ และขอให้แจ้งทางโรงเรียนทราบ เพื่อจะได้ร่วมเฝ้าระวังโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ในสถานศึกษาและป้องกัน ควบคุมโรคได้อย่างทันท่วงที

·   ปฏิบัติกิจกรรมในชีวิตประจำวันให้เป็นปกติเท่าที่จะเป็นไปได้  ถึงแม้ว่าจะมีการปิดสถานศึกษาหรือมีการระบาดของโรค

·   หมั่นพูดคุยกับบุตรหลาน ให้รู้เรื่องราวเกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่นี้บ้าง และตอบคำถามที่เด็กสงสัยเท่าที่เด็กในแต่ละวัยจะเข้าใจได้

·   หากเด็กมีความรู้สึกกลัวหรือกังวล  ควรแนะนำให้ระบายความรู้สึกของตนเองออกมา  และตอบคำถาม  รวมทั้งปลอบโยนให้คลายกังวล

·   เด็กมักจะต้องการความรู้สึกปลอดภัยและความรัก  หากบุตรหลานของท่านมีความกังวล ท่านควรให้ความใส่ใจมากเป็นพิเศษ

·   ดูแลมิให้บุตรหลานของท่านหมกมุ่นกับข้อมูลข่าวสารสถานการณ์ของโรคไข้หวัด ใหญ่สายพันธุ์ใหม่มากเกินไป จนเกิดความกลัวหรือวิตกกังวลจนเกินเหตุ

6.  คำแนะนำสำหรับด้านการบริหารจัดการอื่นๆ เมื่อเกิดโรคในสถานศึกษา

·    ควรจัดทำแนวทางปฏิบัติ สำหรับครู/อาจารย์ เมื่อมีการระบาดของโรค เช่น การแนะนำนักเรียนและผู้ปกครอง  การติดตามนักเรียนในชั้นเรียนที่ป่วย  เป็นต้น

·    ควรจัดระบบการสื่อสารทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง/นักเรียน

·    มีผู้ประสานงานหลักของโรงเรียน เพื่อติดต่อประสานกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

7.  แหล่งข้อมูลการติดต่อ เพื่อปรึกษากับเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่

1. กรุงเทพมหานคร  ติดต่อได้ที่  กองควบคุมโรค สำนักอนามัย กรุงเทพมหานคร โทรศัพท์ 02-245-8106,  0 2-246-0358 และ 02-354-1836

2. ต่างจังหวัด  ติดต่อได้ที่ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกแห่ง

ท่านสามารถติดตามข้อมูลและรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข   www.moph.go.th  และหากมีข้อสงสัย สามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์ปฏิบัติการ กรมควบคุมโรค หมายเลขโทรศัพท์ 02-590-3333  และศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์  กระทรวงสาธารณสุข หมายเลขโทรศัพท์  02-590-1994   ตลอด 24 ชั่วโมง

view