วีระชาติ ศรีบุญมา |
นายภักดี โพธิศิริ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยในงานสัมมนา “ความร่วมมือในการป้องปรามการทุจริตและการบังคับใช้กฎหมายธุรกิจสถาบันการ เงิน” ว่า ปัญหาการทุจริตสถาบันการเงินขณะนี้ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะลดน้อยลง คาดว่าในปี 2553 นี้ยังน่าจะมีเพิ่มขึ้นอีก
นายภักดี กล่าวว่า ในปี 2551 มีเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคดีทุจริตในสถาบันการเงิน 56 เรื่อง คิดเป็น 30% ของคดีทั้งหมดที่ร้องเรียนมายังป.ป.ช. เพิ่มขึ้นจากปี 2550 ที่มีเรื่องร้องเรียน 24 เรื่อง
ทั้งนี้ จากคดีทุจริตสถาบันการเงินดังกล่าวที่ป.ป.ช. ตรวจสอบ พบว่าเป็นเรื่องการกระทำผิดคนเดียวประมาณ 50% ส่วนอีก 50% เป็นเรื่องที่กระทำร่วมกันหลายคน และถ้าดูในรายละเอียดจะพบว่า 25% เป็นเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับคณะกรรมการสถาบันการเงิน อีก 25% ร้องเรียนผู้บริหารสถาบันการเงิน และอีก 50% ร้องเรียนผู้ปฏิบัติงาน
“ขณะนี้มีปัญหาอยู่ว่าการติดตามทรัพย์สินยังทำได้น้อย โดยเฉพาะทรัพย์สินที่ไปเกี่ยวข้องหรืออยู่ในต่างประเทศ จึงต้องร่วมกันแก้ไข” นายภักดี กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ไทยได้เตรียมปรับปรุงแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องภายในประเทศ เพื่อจะ ได้สามารถลงนามในอนุสัญญา สหประชาชาติว่าด้วยการต่อต้านการทุจริต (UNCAC) แล้ว
ทั้งนี้ หากรัฐให้ความสำคัญและเร่งพิจารณากฎหมายเหล่านี้ให้เร็วขึ้น ก็จะทำให้ไทยลงนามในสัตยาบัน UNCAC ได้ทันภายในปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ซึ่งจะช่วยให้การติดตามทรัพย์ในคดีทุจริตที่เกี่ยวข้องในต่างประเทศทำได้ดี ขึ้น
อนุสัญญา UNCAC กำหนดให้ประเทศสมาชิก 134 ประเทศ ต้องให้ความร่วมมือในการดำเนินคดีทุจริต คือ 1.ให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในการจับกุมผู้กระทำผิด ที่เข้าไปอยู่ในประเทศสมาชิกได้ 2.สามารถประสานงานติดตามนำทรัพย์สินจากคดีทุจริตคืนได้ และ 3.ช่วยขยายนิยามคำว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐในการสืบคดี และให้เกี่ยวข้องไปถึงหน่วยงานทั้งของภาครัฐและเอกชนด้วย
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการทุจริตในสถาบันการเงินมักแก้ไขยาก ทางที่ดีควรมุ่งป้องกัน เพิ่มมาตรการในการตรวจสอบทรัพย์สินของบุคลากรที่นอกเหนือจากผู้บริหารระดับ สูงหรือกรรมการผู้จัดการ โดยอาจจะตรวจถึงระดับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องการรับจ่าย โอนเงินด้วย