จาก ประชาชาติธุรกิจ

วันนี้ หากจะเรียก บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ เครือ SCG เป็นโรงเรียนสร้างคนก็คงไม่ผิดนัก เพราะองค์กรแห่งนี้ไม่เพียงแต่หล่อหลอมให้พนักงานทุกคน เป็นคนดีเท่านั้น แต่ยังมีโปรแกรมมากมายในการพัฒนาบุคลากรให้เป็นคนเก่งระดับแนวหน้าของประเทศ

ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่หลังเกษียณอายุไปแล้ว คนของปูนใหญ่จะมีบริษัทขนาดใหญ่มาเชื้อเชิญให้ไปร่วมงาน

ใน โอกาสครบรอบ 25 ปี หลักสูตร MDP (Management Development Program) "ประชาชาติธุรกิจ" ได้มีโอกาสลงพื้นที่ไปสังเกตการณ์การอบรมแบบ เข้มข้นของหลักสูตรนี้ ณ โรงแรมดุสิต หัวหิน ทำให้เห็นเบื้องหลังความสำเร็จของเครือ SCG ที่ให้ค่ากับคนเหนือสิ่งอื่นใด

"มนูญ สรรค์คุณากร" ผู้อำนวยการสำนักงานการบุคคลกลาง บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) บอกด้วยความภาคภูมิใจว่า ไม่ว่าเศรษฐกิจจะวิกฤตขนาดไหน สิ่งที่ซีอีโอย้ำกับทุกคนเสมอ คือห้ามตัดงบประมาณด้านการพัฒนาบุคลากร ซึ่งทุกปีทาง SCG จะจัดงบฯในการพัฒนาบุคลากรไว้ประมาณ 1,200 ล้านบาท

สำหรับหลักสูตร MDP ถือเป็น หลักสูตรแรกในการพัฒนาระดับแมเนจเมนต์ของเครือ SCG ที่ได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มีผู้ผ่านการอบรมทั้งหมด 1,100 คน รุ่นที่อยู่ระหว่างการอบรมนี้เป็นรุ่นที่ 25 ซึ่งถ้าจะมองเรื่องประโยชน์ที่องค์กรได้รับนั้นมากมาย เพราะสิ่งที่ผู้เข้ารับการอบรมได้ไม่ใช่แค่เรื่องของความรู้เท่านั้น แต่สามารถ นำตัวอย่างความสำเร็จต่างๆ ไปปรับใช้ ในการทำงานได้ ที่สำคัญกว่านั้น คนที่ได้มาเรียนจะได้เครือข่ายข้ามธุรกิจ เมื่อต้องประสานงานหรือโยกย้ายฐาน ก็จะมีคนที่รู้จักอยู่ในธุรกิจนั้น

ซึ่ง หากดูจากผลประกอบการ 6 เดือนของบริษัทที่จะประกาศเร็วๆ นี้จะเห็นได้ชัดเลยว่า ผลของการพัฒนาคนทำให้บริษัท ยังมีกำไรทั้งๆ ที่ยอดขายลดลง เพราะ ทุกคนจะช่วยกันคิดอินโนเวชั่นใหม่ๆ ในการ ลดคอสต์ค่าใช้จ่าย ช่วยกันทำงานเพื่อให้องค์กรได้ประโยชน์สูงสุด

เดิมที ปูนใหญ่จะผลิตและขายเฉพาะซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง โรงงานมีกำลังการผลิตเท่าไหร่ก็ขายหมด เพราะคู่แข่งขันไม่มี แต่หลังจากปี 2520 เริ่มมีคู่แข่งขันเข้ามาในตลาด ผู้บริหารในยุคนั้นก็เริ่มคิดแล้วว่าจะจัดการธุรกิจอย่างไร นั่นคือต้อง cross-function ทุกหน่วยต้องพึ่งพาอาศัยกัน ดังนั้นสิ่งที่สำคัญทุกคนต้องเข้าใจกระบวนการจัดการธุรกิจ ไม่ใช่ฉันมีหน้าที่ผลิต ก็ผลิตอย่างเดียว ทำอย่างไรจะให้ ทุกคนมีความรู้ในลักษณะ cross-function ในปี 2522 บริษัทจึงเปิดหลักสูตรนี้ขึ้น

ในปีแรกของการเปิดอบรมหลักสูตร MDP คุณชุมพล ณ ลำเลียง บิ๊กบอสยุคนั้นได้ไปขอให้มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดดีไซน์หลักสูตรให้ โดยเนื้อหาการเรียนในช่วงแรกๆ จะมุ่งเน้นเรื่องของ cross-function การให้ความรู้เชิงธุรกิจ ให้ฝ่ายจัดการ ได้เปิดโลกทัศน์

ซึ่งหากจะ เปรียบหลักสูตร MDP ของเครือ SCG ก็จะคล้ายกับหลักสูตร วปอ. ที่คนจะก้าวขึ้นเป็นผู้บริหารต้องเรียน เพราะหลักสูตรนี้จะทำให้บุคลากรของบริษัทมีความรู้เรื่องธุรกิจอย่างแท้จริง โดยแต่ละปีบริษัทจะดูว่ามีเรื่องอะไรที่ต้องโฟกัสเป็นพิเศษ เช่น ในช่วงหลังปี 2540 บริษัทมีการขยายธุรกิจเยอะ ก็จะเน้นเรื่องไฟแนนเชียล

นอก จากนั้นในหลักสูตร MDP ยังให้ น้ำหนักกับเรื่องของการเสริมสร้างความเป็นผู้นำองค์กรให้กับพนักงานในระดับ ผู้จัดการ โดยแต่ละรุ่นจะมีผู้เข้าอบรมประมาณ 55 คน ซึ่งจะคัดเลือกจากทุกกลุ่มธุรกิจของเอสซีจี

"มนูญ" บอกว่า ในปีนี้โครงสร้างหลักสูตร MDP จะครอบคลุมธุรกิจ ทั้งด้านการผลิต การตลาด การเงิน การบุคคล และเทคโนโลยี เพื่อเตรียมความพร้อมของพนักงานที่จะก้าวขึ้นสู่ผู้นำองค์กรในอนาคตให้มี ความเข้าใจภาพรวมธุรกิจ ความสัมพันธ์ของแต่ละหน่วยงานในองค์กร

สิ่ง ที่เน้นในการอบรมหลักสูตรนี้อีกประการหนึ่ง คือเรื่องของการแสดงความคิดเห็นถึงสิ่งที่เรียนรู้และการนำไปประยุกต์ใช้กับ งานจริง ดังนั้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา จึงได้มีการปรับปรุงหลักสูตร เติมเรื่องของ Project-based Assignment เพื่อให้ผู้เข้าอบรมได้ฝึกสิ่งที่เรียนรู้กับโครงการจริง

ช่วงเวลา 8 เดือนในการอบรมหลักสูตรนี้ SCG จึงไม่ใช่ได้เพียงบุคลากรระดับแมเนจเมนต์ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ยังได้ดาวดวงใหม่ที่ฉายแววสว่างสุกใส ได้รู้จักพนักงานแต่ละคนว่าเด่นอย่างไร

สำหรับหัวข้ออบรมในปีนี้ ประกอบด้วย 1.Financial Management and Control 2.Management of Technology 3.Leadership and Change 4.Strategic Marketing Management 5.Strategic Management 6.Operational Excellence&Information Resources Management

"มนูญ" บอกต่อไปว่า ในปีนี้ได้ให้โจทย์ทางวอร์ตันหากรณีศึกษามาฉายภาพให้ ผู้เข้าอบรมได้ภาพรวมในการทำธุรกิจที่ชัดเจนทางวอร์ตันจึงใช้กรณีศึกษาของไน กี้ ซึ่งเป็นกรณีศึกษาที่มีการสอนนักเรียนที่ ต่างประเทศ ฉายภาพเป็นซีรีส์ ตั้งแต่ยุคแรกๆ ที่ฟิลลิป ไนท์ ซึ่งเป็นนักบาสเกตบอล ร่วมกับเพื่อนก่อตั้งบริษัทไนกี้ผลิตรองเท้าขาย ในช่วงแรกขายดิบ ขายดี แต่พอผ่านไประยะหนึ่งเริ่มมีคู่แข่งทั้งอาดิดาส รีบอค ต่างเข้ามาตีตลาดในอเมริกา

เวลานั้นไนกี้ย่ำแย่เพราะโครงสร้างการ บริหารจัดการองค์กรมีลักษณะรวมศูนย์การตัดสินใจไว้ที่ผู้บริหาร 3 คนเท่านั้น ตรงนี้ จึงเป็นที่มาของเรื่อง Leadership และการดีไซน์องค์กรใหม่เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด เป็นตอนจบกรณีศึกษาไนกี้ภาคแรก

จากนั้นมีการนำเรื่องของไนกี้มาฉายภาพต่อในภาค 2

"หลังจากธุรกิจย่ำแย่ ฟิลลิป ไนท์ ตัดสินใจลาออกจากบริษัทไปอยู่เมืองจีน 2 ปี แล้วมองไนกี้ในลักษณะ Out side in"

"มนู ญ" เล่าอย่างน่าติดตามว่า ในช่วงที่ฟิลลิป ไนท์ อยู่เมืองจีน เขาได้เห็นการทำธุรกิจโดยใช้เอาต์ซอร์ซิ่ง เขาจึงนำรูปแบบการทำธุรกิจลักษณะนี้มาใช้

ไนกี้จึงเป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจโดยใช้เอาต์ซอร์ซอย่างจริง

สิ่ง ที่น่าสนใจอีกประการหนึ่งของไนกี้ คือกระบวนการสร้างแบรนด์ที่เน้นพรีเซ็นเตอร์ที่เป็นเบอร์หนึ่งของโลก ไม่ว่านักฟุตบอล นักบาส นักกอล์ฟ ทุกคนใส่ไนกี้ลงสนามหมด วันนี้แบรนด์ ไนกี้จึงเป็นเบอร์หนึ่งของโลก

นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ ในห้องเรียนที่ผู้อำนวยการสำนักงานการบุคคลกลาง เครือ SCG หยิบมาเล่าให้ฟัง

แต่ อย่างไรก็ตาม "มนูญ" บอกว่า ความสำเร็จของหลักสูตร MDP ในวันนี้มิได้การันตีสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นเพื่อให้ก้าวทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอนาคต การอบรมในรุ่นที่ 26 จึงได้ตั้ง คณะกรรมการขึ้นมาร่างหลักสูตรใหม่ จะเป็นอย่างไรต้องติดตามต่อไป