จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
"ประสิทธิ์"เผย"เลบานอน-ไต้หวัน-ซาอุ"ยึด"สุพรรณฯ-อยุธยา -กำแพงเพชร"แปลงขนาดใหญ่จ้างสูงทำนาดูแล ด้านพนง.ชี้โทษคุกถึง3ปีปรับถึง1ล้าน ยึดคืน
กรมสอบสวนคดีพิเศษ(หรือดีเอสไอ) นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย เดินทางเข้าพบ พ.ต.ท.ปกรณ์ สุชีวะกุล พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อมอบข้อมูลเกี่ยวกับกรณีต่างด้าวเข้ามาเช่าที่ดินและจ้างชาวนาไทย ปลูกข้าวทำนาและส่งข้าวกลับประเทศ
นายประสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ประสานเครือข่ายชาวนาให้ร่วมหาข้อมูลแต่มีอุปสรรคเพราะชาวนาที่ได้รับการ ว่าจ้างจากต่างด้าวในรูปบริษัทไม่กล้าให้ข้อมูล ขณะนี้จึงยังไม่ได้ข้อมูลแท้จริงว่ามีเนื้อที่เท่าไหร่ถูกต่างชาติเข้ามา ครอบครอง เพียงแต่ได้ข้อมูลว่าพื้นที่คนต่างด้าวเข้ามาเช่าใช้ประโยชน์พบมากใน จ.สุพรรณบุรี อยุธยา และกำแพงเพชร
โดยเช่าหรือซื้อขายกันเป็นแปลงขนาดใหญ่ 200-300 ไร่ และเพื่อไม่ให้ถูกคนไทยต่อต้านหรือคัดค้าน บริษัทต่างด้าวจะว่าจ้างชาวนาไทยเป็นลูกจ้างปลูกข้าวและดูแลที่นา โดยเสนอเงินเดือนให้คนละไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท โดยมีนายหน้าผู้ประสานงานเป็นทีมงานใหญ่เข้ามาติดต่อ จากนั้นเมื่อได้ผลผลิตจะจัดส่งข้าวออกไปยังประเทศต้นทางของเจ้าของที่ดินชาว ต่างชาติ ซึ่งข้อมูลที่พบขณะนี้เป็นนายทุนชาวเลบานอน ไต้หวัน และซาอุดิอาระเบีย
นายประสิทธิ กล่าวอีกว่า ขั้นตอนการเข้ามาถือครองที่นาของคนต่างด้าวจะกระทำใน 2 ลักษณะ คือซื้อแล้วแต่ยังไม่โอนชื่อหรือทำสัญญาขายฝากหรือจำนอง มีกำหนดระยะเวลาตามที่ตกลงกัน เมื่อครบกำหนดไม่มาไถ่ถอนที่นาจะหลุดจำนอง ในส่วนของกลุ่มนายหน้าที่เข้ามาติดต่อซื้อหรือเช่าที่นาให้กับคนต่างด้าว เป็นกลุ่มใหญ่ เนื่องจากนายหน้าจะได้ค่าตอบแทนเป็นเปอร์เซ็นต์ตามขนาดที่นา บางคนจะได้รับค่าตอบแทนเป็นค่าจ้างดูแลที่ดินด้วย
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ตนนำมามอบให้ดีเอสไอเป็นรายละเอียดในการเจรจาของเช่าหรือซื้อที่นา ซึ่งต้องการให้ดีเอสไอสอบสวนขยายผล เพื่อป้องกันความเสียหายจะเกิดขึ้นกับประเทศไทยในอนาคต หากต่างด้าวเข้ามาถือครองที่นาปลูกข้าวของไทย
พ.ต.ท.ปกรณ์ กล่าวว่า ดีเอสไอจะเข้าตรวจสอบการทำธุรกิจของต่างด้าวในรูปของการจดทะเบียนตั้งบริษัท โดยให้คนไทยถือหุ้นร้อยละ 51 ส่วนคนต่างด้าวถือหุ้นร้อยละ 49 หากมีการแจ้งเท็จโดยหุ้นส่วนคนไทยเป็นเพียงตัวแทนเชิดจะผิด พ.ร.บ.ธุรกิจคนต่างด้าว ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 1,000,000 บาท ส่วนที่ดินที่มีการซื้อขายจะถูกยึดคืน
ทั้งนี้ หากผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีต่างด้าวเข้ามาถือครองที่ดินทำนาในประเทศไทย มีมูลความจริง ดีเอสไอจะเสนอให้คณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) รับเป็นคดีพิเศษ
