จาก ประชาชาติธุรกิจ
บทบรรณาธิการ

---

หาก พิจารณาจากข้อมูลที่ นายประสิทธิ์ บุญเฉย นายกสมาคมชาวนาไทย ออกมาให้ข่าวว่า ขณะนี้กำลังมีขบวนการที่นายทุนต่างชาติ จองซื้อที่นาในภาคกลางประมาณ 3-4 แสนไร่ ภาคเหนือประมาณ 3 แสนไร่ และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกประมาณ 1 แสนไร่ ต้องถือเป็นเรื่องที่น่าตกใจ พร้อมกับคำถามที่ว่า เหตุใดแต่ละภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงไม่ทราบปัญหา หรือหามาตรการป้องกันการเข้ามาถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรในลักษณะดังกล่าว

แม้ ในอีกด้านหนึ่ง นายอลงกรณ์ พลบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะออกมาปฏิเสธข่าวพร้อมกับยืนยันว่า ที่ผ่านมารัฐบาลไทยมีนโยบายและกฎหมายชัดเจนในการควบคุม ไม่อนุญาตให้ต่างชาติเข้ามาซื้อ หรือเช่าที่ดินเพื่อทำนา หรือทำปศุสัตว์ ทั้งในรูปแบบส่วนบุคคลหรือนิติบุคคล เช่นเดียวกับที่ นายวิทยา บูรณศิริ ส.ส.อยุธยา พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ว่า ยังไม่ทราบเรื่องชาวต่างชาติเข้ามาซื้อที่นาใน จ.พระนครศรีอยุธยา แต่กำลังตรวจสอบในพื้นที่อยู่นั้น

แต่ดูเหมือนกระแสข่าวก็ยังเกิด ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลที่ก่อนหน้านี้ นายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรฯ เคยอ้างถึงการเข้ามาซื้อที่ดินแปลงใหญ่เพื่อทำการเกษตรในภาคกลาง การออกมาให้ข้อมูลของข้าราชการใน จ.เชียงราย รวมถึงการออกมารับลูกโดย พ.ต.ท. ประวุฒิ วงศ์ศรีนิล ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ซึ่งระบุถึงกรณีที่มีชาวต่างชาติร่วมทุนโดยใช้ตัวแทน หรือนอมินี เป็นคนไทยซื้อที่นาว่า DSI จะลงตรวจสอบโดยเร็วๆ นี้ว่ามีการถือครองจริงหรือไม่ และสัดส่วนเท่าไหร่

โดยข้อเท็จจริง แล้ว กฎหมายไทย ตลอดจนนโยบายของรัฐบาลมีความชัดเจนมาตลอดว่า ไม่อนุญาตให้มีการลงทุนซื้อขายที่ดินเพื่อทำกิจกรรมการเกษตรโดยชาวต่างชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้ามาครอบครองพื้นที่เกษตรกรรมในภาคกลาง ซึ่งที่ผ่านมารัฐบาลได้ใช้งบประมาณจัดการในด้านชลประทาน สนับสนุนการเกษตรโดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกข้าว ซึ่งเป็นพืชส่งออกที่สำคัญของประเทศไทยมาตลอด

กรณีที่เรื่องดังกล่าว เริ่มมีข้อสังเกตว่า อาจมีขบวนการที่กลุ่มทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนเพื่อครอบครองที่ดินเพื่อการ เกษตรนั้น ในทางปฏิบัติ กรมที่ดิน หรือหน่วยงานของกระทรวงเกษตรฯ ก็มีมาตรการในการควบคุมพื้นที่เพื่อการเกษตรอยู่แล้ว เช่นเดียวกับข้อกฎหมายที่กลุ่มทุนต่างประเทศจะเข้ามาดำเนินธุรกิจ แม้จะร่วมทุนถือครองหุ้นได้ 49% (ต้องมีคนไทยถือหุ้น 51%) แต่ก็ไม่สามารถซื้อหรือถือครองกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้ ขณะเดียวกันหากมีกลุ่มคนไทย หรือเจ้าของที่ดิน ที่สนับสนุนให้ต่างชาติถือครองที่ดิน ก็จะเข้าข่ายผิดกฎหมาย โทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับ 100,000-1,000,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ดัง นั้นจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะวางกรอบในการควบคุม เพราะกฎหมายก็มีรองรับอยู่อย่างชัดเจน ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าหน้าที่ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องจะเอาจริงมากน้อยเพียงใด รวมถึงคนในชุมชนที่จะต้องร่วมกันสอดส่อง แทนที่จะละเลย หรือร่วมรู้เห็นเป็นใจกับขบวนการยึดครองที่ดินการเกษตร เหล่านั้นเสียเอง