จาก โพสต์ทูเดย์
รายงานโดย :เรื่อง ลีโอ: |
ขึ้นชื่อว่า “พริกไทย” นั้นไม่ใช่เรื่องแค่เครื่องเทศที่ธรรมดาๆ ด้วยรสชาติที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งร้อน ทั้งหอม ทั้งฉุน
เพื่อนผมคนหนึ่งคลั่งพริกไทยเป็นบ้าเป็นหลัง โดยเฉพาะเวลากินโจ๊กแทนที่จะหนักขิง หนักหมี่กรอบ หรือหนักต้นหอม แต่นี่เล่นโรยพริกไทยเสียจนน้ำโจ๊กเป็นสีพริกไทย มันบอกว่าถ้าไม่ใส่ก็ไม่อร่อยและพริกไทยก็เป็นยาระบายอย่างดีอีกด้วย นี่ขนาดต้มจืดซดน้ำโล่งๆ มันยังโรยพริกไทยเสียฉุนกึกกันเล้ย
ลำพังตัวผมก็ใช่เล่นกินแกงเลียงเมื่อใดถ้าไม่ใส่พริกไทยเม็ดโขลกลง ไปในครก ผมก็ไม่กิน ผมว่ารสชาติมันช่างไม่เอาอ่าวเอาทะเลเอาเสียเลย หรือถ้าวันไหนที่นึกอยากจะกินผัดฉ่าขึ้นมา ถ้าขาดเม็ดพริกไทยสดไปผมยังพลิกกลับไปเป็นผัดพริกแกงแทนเลย เพราะขืนผัดฉ่าโดยขาดเม็ดพริกไทยสดไปละก็ขายหน้าแย่ และผมเองนั่นแหละที่จะกินไม่ลงเสียเอง
แม้แต่ไข่เจียวร้อนๆ ถ้าเกิดขวดพริกไทยป่นอยู่ใกล้ๆ ก็เป็นอันต้องหยิบมาเหยาะๆ ให้อร่อยเหาะกันไปเลย เสียดายที่บ้านไม่ได้ปลูกพริกไทยไม่งั้นละก็ได้เมนูใหม่เป็นไข่เจียวใบพริก ไทยแทนใส่ใบโหระพาเป็นแน่!
แม้แต่อาหารฝรั่งไม่ว่าชาติไหนๆ ก็ล้วนมีพริกไทยเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยเสมอเช่นกัน เออ...พูดแล้วก็แปลก ทั้งๆ ที่ในยุโรปซึ่งมีภูมิอากาศไม่เหมือนกับทางตะวันออกจึงปลูกพริกไทยไม่ได้ แต่เมื่อลองพลิกตำราอาหารของฝรั่งขึ้นมาก็มักจะมีเจ้าพริกไทยมาร่วมแจมอยู่ ด้วยไม่น้อย แถมบนโต๊ะอาหารยังมีขวดพริกไทยเคียงคู่กับเกลือป่นอีกต่างหากแน่ะ....
ด้วยความหลงใหลในรสชาติของพริกไทยนี่แหละ เริ่มทำให้ผมเริ่มค้นหาข้อมูลความเป็นมาเป็นไปของเจ้าพริกไทย และจากข้อมูลที่ได้ก็ยิ่งทำให้ผมหลงใหลพริกไทยมากขึ้นชนิดที่เอาอะไรมาแลกก็ ไม่ยอม
อันว่าเรื่องราวประวัติศาสตร์ของพริกไทยนั้นมีมานานแล้วในยุโรป ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโน่น ซึ่งเมื่อสมัยสองพันปีกว่านั้นราคาค่อนข้างแพงมาก และเป็นสิ่งที่หายากยิ่งกว่าทองคำเสียอีก และผู้ที่จะได้ลิ้มรสของพริกไทยได้นั้นก็เฉพาะผู้ที่มีอันจะกินเท่านั้น
แต่พริกไทยจะเข้าไปสู่ยุโรปเมื่อใดนั้น ไม่มีหลักฐานที่แน่นอน มีอยู่ครั้งเดียวที่ปรากฏหลักฐานของพริกไทยในยุโรป นั่นก็คือ เมื่อกษัตริย์อลาริค ทรงตีกรุงโรมแตก เมื่อ ค.ศ. 408 ซึ่งเมื่อทรงตีได้แล้ว ชาวโรมก็มาขอร้องให้ปล่อยกรุงโรมให้เป็นอิสระ กษัตริย์อลาริคก็เลยมีข้อเสนอให้ชาวโรมแลกกับความอิสระด้วยทองคำ นอกจากนั้นก็ยังมีเงิน เสื้อ 4,000 ตัว และที่เล่นเอาชาวโรมถึงกับอึ้งก็คือพริกไทยจำนวน 3,000 ปอนด์ เพราะลำพังเงินทองก็พอหาได้ เสื้อผ้าเราก็มีฝีมืออยู่แล้ว แต่พริกไทยนี่สิมันช่างหาได้ยากเย็นเสียจริง และนี่ก็คือประวัติที่ปรากฏความสำคัญของเครื่องเทศที่ชื่อว่าพริกไทยเป็น ครั้งแรกในประวัติศาสตร์
ส่วนทางด้านตะวันออกเรื่องของพริกไทยมีบันทึกอยู่ในจารึกเป็นภาษา สันสกฤตว่า “ทองเดินทางมายังเราเพื่อขนเอาเจ้าเมล็ดเล็กๆ ที่ผงของมันดมเข้าจะต้องส่งเสียงก้องทางจมูก ท่าเรือมูซิริสเป็นที่ที่ส่งมันออกไปแลกกับทอง” เจ้าเมล็ดฉุนกึกที่ว่าคงไม่ต้องเดาให้ปวดหมอง เพราะมันก็คือพริกไทยนั่นเอง และคงไม่ผิดถ้าจะบอกว่าพริกไทยนั้นมีค่าเสียยิ่งกว่าทอง
นับว่าเป็นโชคดีของชาวตะวันออกที่มีเครื่องเทศมากมาย โดยเฉพาะพริกไทยเอาไว้โกยเอาทองจากตะวันตก ชนิดที่ว่ากองเรือนับพันลำบุกบั่นจากยุโรปมาทำการค้าและหาเครื่องเทศ ซึ่งนั่นก็คือพริกไทย
แต่เมื่อถึงยุคมืดในยุโรป การนำเอาพริกไทยไปขายก็เกือบจะไม่มี เพราะเจอทั้งการรุกราน ทั้งโรคระบาด ตลอดจนการปล้นพวกที่ค้าขายทั้งทางเรือและทางบกไปยังยุโรป ทำให้พริกไทยขาดหายไปในช่วงนั้น แต่เมื่อยุโรปเริ่มพื้นตัว พริกไทยก็ฟื้นตาม และจากสงครามครูเสดที่ผ่านมา พลเมืองก็รู้จักพริกไทยกันทั่วไป โดยนักรบนำเอามาจากตะวันออก และรู้จักนำเอาพริกไทยมาปรุงอาหารกันจ้าละหวั่น
เรียกว่าไม่ว่าจะเดินทางมาตะวันออกด้วยวิธีใด ยามกลับไปจะต้องแบกเอาพริกไทยติดตัวไปด้วย เพราะว่าน้ำหนักเบา ขายง่ายแถมยังมีราคาสูงลิ่ว
เชื่อมั้ยว่าในเยนัว ประเทศอิตาลีก็ยังเคยมีการจ่ายพริกไทยให้ทหารเป็นเบี้ยเลี้ยงแทน แล้วบรรดาทหารเหล่านั้นก็แอบปลื้มกว่าได้เบี้ยได้อัฐเสียอีก
ว่ากันว่ากองเรือโปรตุเกสที่นำโดยวาสโกดากามา มุ่งหน้ามาทางตะวันออก เมื่อค.ศ. 1499 ตามด้วยกองเรือสเปน ฮอลแลนด์ อังกฤษ ทั้งหมดนี้เดินทางมาสู่อินเดีย จีน และอาหรับ ก็เพื่อแย่งชิงดินแดนอันอุดมไปด้วยพริกไทยนั่นเอง
แม้ในปัจจุบันพริกไทยก็ยังมีบทบาทกับอาหารเกือบทุกชาติ ในบ้านเรานั้นหากินไม่ยาก เพราะภูมิอากาศนั้นเหมาะสมกับการปลูกพริกไทย แถมยังปลูกง่ายและบางปีก็มีราคาสูงลิบลิ่วทีเดียว โดยเฉพาะทางภาคตะวันออกและภาคใต้นั้นนิยมปลูกกันมากที่สุด
ความมหัศจรรย์ของพริกไทยยังไม่หมด ด้วยความฮอตยังต่อยอดไปถึงการออกแบบผลิตภัณฑ์ หรือที่ใส่พริกไทย ที่สร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตปีหนึ่งๆ งดงามไม่น้อยทีเดียว และเชื่อไหมว่ากระปุกใส่พริกไทยเล็กๆ เนี่ยแหละที่บ่งบอกรสนิยมของสถานที่นั้นๆ ได้ดีทีเดียว
ทีนี้คุณจะเชื่อผมหรือยังล่ะครับว่า ขึ้นชื่อว่า “พริกไทย” นั้นธรรมดาซะที่ไหน เฮอะ เฮอะ!