สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

จุฑามาศจ่อถูกเชือด ศาลมะกันชี้2โปรดิวเซอร์ ติดสินบนททท.จริง

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์



รอยเตอร์/แอลเอไทมส์/เอเยนซีส์ – สองสามีภรรยาโปรดิวเซอร์ดังฮอลลีวู้ด ถูกคณะลูกขุนศาลชั้นต้นสหรัฐฯตัดสินว่า กระทำความผิดจริงในข้อหาจ่ายสินบนเป็นมูลค่ากว่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 62 ล้านบาท) ให้แก่นางจุฑามาศ ศิริวรรณ ผู้ว่าการททท.ของไทยในขณะนั้น เพื่อให้ได้รับสิทธิจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติที่กรุงเทพฯ ตลอดจนข้อตกลงอย่างอื่นๆ “วีระศักดิ์” ระบุในกรอบความร่วมมือระหว่างประเทศ  เมื่อศาลอเมริกาตัดสิน ผู้ต้องหาคดีนี้ผิดจริง ก็ต้องนำข้อมูล มาใช้ตัดสินเจ้าหน้าที่รัฐที่ร่วมกระทำผิดในประเทศไทย

       
       ตามคำฟ้องของคณะอัยการสหรัฐฯ จากการจ่ายสินบนหลายๆ ครั้งในระหว่างปี 2545 ถึง 2550 โปรดิวเซอร์สองสามีภรรยา คือ เจอรัลด์ กรีน วัย 77 ปี และ แพทริเซีย กรีน วัย 52 ปี ก็ได้รับสัญญาจัดจ้างต่างๆ จากรัฐบาลไทย ทั้งเพื่อการจัดเทศกาลดังกล่าว ตลอดจนในด้านอื่นๆ ซึ่งทำให้มีเงินมากกว่า 13.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ราว 466 ล้านบาท) ไหลเข้าสู่บริษัทหลายๆ แห่งของทั้งสองคน
       
       สามีภรรยาคู่นี้ถูกตัดสินว่ามีความผิดตั้งแต่เย็นวันศุกร์(11) จากคณะลูกขุนในนครลอสแองเจลิส ในความผิดหลายๆ ข้อหาตั้งแต่ สมคบคิดกระทำความผิด, ติดสินบนเจ้าหน้าที่ต่างประเทศ, และฟอกเงิน แต่ข่าวการตัดสินนี้เพิ่งได้รับการรายงานอย่างกว้างในวันจันทร์ สำหรับแพทริเซียยังถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานหนีภาษีอีกด้วย
       
       ผู้ช่วยอัยการสหรัฐฯ บรูซ เซียร์บี แถลงว่า ศาลนัดหมายกำหนดระวางโทษจำเลยทั้งสองในวันที่ 17 ธันวาคม โดยที่เมื่อพิจารณาจากแนวทางปฏิบัติเกี่ยวกับการระวางโทษแล้ว พวกเขาอาจถูกลงโทษจำคุกกันคนละไม่ต่ำกว่า 10 ปี ขณะที่ทนายความของทั้งคู่แถลงว่าจะยื่นอุทธรณ์ต่อไป
       
       เจอรัลด์ กรีน เป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่อง “ซัลวาดอร์” ปี 2529 ของผู้กำกับชื่อก้อง โอลิเวอร์ สโตน และในช่วงหลังๆ มานี้ก็เป็นผู้อำนวยการสร้างฝ่ายบริหารให้แก่ภาพยนตร์เรื่อง “เรสคิว ดอว์น” ปี 2549 ที่นำแสดงโดย คริสเตียน เบล ส่วน แพทริเซีย กรีน เคยช่วยโปรดิวซ์รายการโชว์ทางโทรทัศน์หลายรายการ เป็นต้นว่า หนังซีรีส์ชุด “ไชน่า บีช” ในทศวรรษ 2520
       
       สามีภรรยาตระกูลกรีนถูกฟ้องร้องในศาลชั้นต้นสหรัฐฯคราวนี้ ว่ากระทำผิดตามรัฐบัญญัติพฤติการณ์ทุจริตในต่างประเทศ (Foreign Corrupt Practices Act) ซึ่งเป็นกฎหมายที่ทำให้การที่ชาวอเมริกันไปติดสินบนพวกเจ้าหน้าที่ต่าง ประเทศ กลายเป็นความผิดที่ถูกดำเนินคดีในสหรัฐฯได้
       
       ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่มีการใช้กฎหมายฉบับนี้มาฟ้องร้องบุคคลใน ธุรกิจบันเทิง และทำให้เกิดความหวั่นผวากันในฮอลลีวู้ดว่า ทางการสหรัฐฯอาจจะไล่ล่าติดตามบุคคลแวดวงบันเทิงอเมริกันคนอื่นๆ ที่กระทำความผิดในต่างแดนเช่นกัน
       
       เจอโรม มูนีย์ ทนายความฝ่ายจำเลยพยายามต่อสู้คดีโดยแก้ต่างว่า สามีภรรยาคู่นี้ได้ทำให้เทศกาลภาพยนต์นานาชาติที่กรุงเทพฯ กลายเป็นงานใหญ่ที่มีคนดังๆ ในวงการเข้าร่วม เป็นต้นว่า นักแสดงดัง ไมเคิล ดักลาส
       
       แต่คณะอัยการสหรัฐฯชี้ว่า ในการทำความตกลงกับฝ่ายรัฐบาลไทยด้วยวิธีทุจริตติดสินบนเช่นนี้ จำเลยทั้งสองได้จัดตั้งธุรกิจหลอกๆ ขึ้นมาหลายแห่ง เพื่อซุกซ่อนเงินก้อนใหญ่ที่ได้รับจากสัญญาซึ่งทำกับรัฐบาลไทย
       
       คำฟ้องของอัยการสหรัฐฯระบุว่า เงินสินบนที่จ่ายให้แก่นางจุฑามาศ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยในเวลานั้น มักอำพรางเรียกว่าเป็นค่าคอมมิชชั่นจากการขาย และโอนเข้าสู่บัญชีธนาคารบุตรสาวของนางจุฑามาศ และเพื่อนคนหนึ่ง หรือไม่ก็จ่ายเป็นเงินสดให้แก่นางจุฑามาศโดยตรง
       
       สำนักข่าวรอยเตอร์บอกว่า นางจุฑามาศเองปฏิเสธว่าไม่ได้ทำความผิดอะไร โดยที่รอยเตอร์กล่าวด้วยว่า เธอเป็นผู้ร่วมงานใกล้ชิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
       
       หนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิสไทมส์รายงานว่า การพิจารณาคดีนี้ใช้เวลา 2 สัปดาห์ครึ่ง ขณะที่การหารือของคณะลูกขุนว่าจำเลยมีความผิดหรือไม่นั้นใช้เวลา 1 วัน
       
       ตามคำฟ้องของอัยการสหรัฐฯ สามีภรรยาคู่นี้ได้จ่ายเงินให้แก่นางจุฑามาศ เพื่อให้ได้รับสิทธิจัดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติ และได้ข้อตกลงอื่นๆ ที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยวอีก 2 รายการ โดยรายการหนึ่งได้แก่การให้พวกเขามีสิทธิขาย “อีลิทการ์ด”
       
       “มีโครงการและลู่ทางโอกาสต่างๆ หลากหลายเป็นชุดๆ สำหรับผู้ว่าการและสามีภรรยากรีน ที่จะทำเงินได้มากมาย” เซียร์บี ผู้ช่วยอัยการสหรัฐฯกล่าว “โครงการและลู่ทางเหล่านี้เองจะสร้างผลกำไรให้สามีภรรยากรีน และจ่ายเป็นค่าสินบนให้แก่ผู้ว่าการ”
       
       เซียร์บีบอกด้วยว่า ทางเจ้าหน้าที่ไทยได้ติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด และน่าจะใช้ข้อมูลการสอบสวนของรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อไปฟ้องร้องกล่าวโทษนางจุฑามาศ
       
       **วีระศักดิ์โยนดีเอสไอ
       นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานบอร์ด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย หรือ ททท.  กล่าวถึง กรณีที่คณะลูกขุนในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ชี้มูลในคดีที่นางแพทริเซีย กับนายเจอรัลด์ กรีน สองสามีภรรยา ได้จ่ายสินบนให้กับอดีตผู้บริหาร ททท. รายหนึ่ง (นางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการ ททท. ) เป็นเงินกว่า 60 ล้านบาท เพื่อขอแลกกับสิทธิ์ในการเป็นผู้รับผิดชอบในการจัดงาน บางกอกฟิล์ม เฟสติวัล 5 ปี ซ้อน คือตั้งแต่ 2546-2550  ซึ่งจะมีรายได้กว่า 350 ล้านบาท ซึ่งในคดีดังกล่าวได้มีการซัดทอดถึงนางจุฑามาศ ศิริวรรณ
       ขณะที่ดำรงตำแหน่งผู้ว่าการททท. เป็นผู้รับสินบน ว่า นายวีระศักดิ์ ตนขอพูดในฐานะนักวิชาการด้านกฎหมาย เพราะว่า คดีดังกล่าว ไม่ได้อยู่ในความรับผิดชอบของ ททท.ที่จะมาดำเนินการสอบสวนหรือดำเนินการอะไรได้ เนื่องจาก รัฐบาลได้มอบหมายให้ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เป็นเจ้าของเรื่องผู้ดำเนินการไปแล้ว
       
       ดังนั้นหากพูดในฐานะนักวิชาการด้านกฎหมาย  ก็ต้องมาดูว่า ทางดีเอสไอ จะสรุปข้อมูลความผิดของนางจุฑามาศ เป็นเช่นใด  เพื่อใช้ประกอบการพิจารณาความผิดและบทลงโทษ  ซึ่งจะมีทั้งความผิดทางวินัย และ ความผิดทางอาญา  ซึ่งแม้ผู้ถูกกล่าวหา ว่ารับสินบนซึ่งในที่นี้คือนางจุฑามาศ แม้จะพ้นตำแหน่งผู้ว่าการททท.ไปแล้วก็สามารถดำเนินการเอาผิดย้อนหลังได้ หากผลสอบออกมาราบ่ามีความผิดจริง
       
       “คดีนี้เป็นเรื่องของสำนักงานอัยการสูงสุดที่จะต้องทำงานร่วมกับศาล ในสหรัฐฯ อันเนื่องมาจากข้อตกลงความร่วมมือระหว่างกันของทั้งสองประเทศ  โดยหากเมื่อใดมีคดีอาญาเกิดขึ้นและมีการร้องขอ สำนักงานอัยการก็จะเป็นตัวกลางในการดำเนินคดีหาผู้กระผิด” นายวีระศักดิ์กล่าว
       
       โดยในคดีนี้ ดีเอสไอ ในฐานะหน่วยงานที่รับผิดชอบ  จะต้องขอข้อมูลจากศาลสหรัฐมาใช้ประกอบการพิจารณา เพื่อตั้งเป็นประเด็นว่าจะส่งให้หน่วยงานใดเป็นผู้พิจารณาบทลงโทษผู้กระทำ ผิด เช่น หากให้ศาลเป็นผู้ตัดสินจะใช้คำว่า ริบทรัพย์ โดยมีโจทย์ยื่นฟ้องแบบธรรมดา แต่หากเป็น สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) ให้ถือความผิดนี้ให้มีโทษถึงขั้นยึดทรัพย์ ซึ่งจะดูเป็นความผิดที่ร้ายแรงกว่า เป็นต้น ทั้งหมดดังกล่าวมา สำนักงานอัยการสูงสุด จะเป็นผู้ดูแลทั้งหมด ภายใต้บทบาทภาระหน้าที่ของผู้ประสานงานกับหน่วยงานในลักษณะเดียวกันในต่าง ประเทศ ตามข้อตกลงของความร่วมมือ

ป.ป.ช. เตรียมชี้มูล"จุฑามาศ ศิริวรรณ" อดีตผู้ว่าฯททท.คดีทุจริตบางกอกฟิล์ม

จากประชาชาติธุรกิจ

ศาล สหรัฐตัดสิน2ผัวเมีย"กรีนส์"ผิดฟอกเงิน ติดสินบน" อดีตผู้ว่าฯททท."แลกจัดงานภาพยนตร์นานาชาติปี 50 ดีเอสไอส่งสำนวนคดีทุจริตบางกอกฟิล์มของททท.ให้ ป.ป.ช. เตรียมชี้มูล"จุฑามาศ"คดีรับสินบนอาจพ่วงรักษาการผู้ว่าฯ ททท.อีกคน สำนักข่าวต่างประเทศรายงานเมื่อวันที่ 15 กันยายนว่า คณะลูกขุนนครลอสแองเจลิส ตัดสินเมื่อวันศุกร์ว่า นายเจอรัลด์ กรีนส์ และนางแพทริเซีย กรีนส์ คู่สามีภรรยา เจ้าของบริษัทผู้ผลิตภาพยนตร์ในแวดวง ฮอลลีวูดของสหรัฐฯ ซึ่งถูกตั้งข้อหาติดสินบน อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยหรือ ททท.(นางจุฑามาศ ศิริวรรณ) เพื่อ ให้ได้รับงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี 2550 มีความผิดในข้อหาสมคบคิดและฟอกเงิน โดยศาลมีกำหนดตัดสินโทษในวันที่ 17 ธันวาคมนี้ และทั้งคู่อาจถูกจำคุกตลอดชีวิต ส่วนอดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ยังไม่ถูกฟ้องร้องดำเนินคดีแต่อย่างใด
ทั้งนี้ อัยการระบุในคำฟ้องว่า สามีภรรยาคู่นี้ ตั้งบริษัทขึ้นมาบังหน้าเพื่อติดสินบนอดีตผู้ว่าการ ททท.โดยจ่ายเงินไปทั้งหมด 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 61.2 ล้านบาท) แลกกับการได้เป็นผู้จัดงานเทศกาลภาพยนตร์ฯ สินบนบางส่วนจ่ายเป็นเงินสดให้โดยตรง ในรูปของค่านายหน้า ตกประมาณ 10-20% ที่เหลือโอนเข้าบัญชีธนาคารบุตรสาวและเพื่อนของอดีตผู้ว่าการ ททท. แล้วชดเชยด้วยการโก่งราคาค่าจัดงาน
ด้านทนายของนางแพทริเซีย โต้แย้งว่า การจ่ายเงินดังกล่าวไม่ใช่สินบน ทั้งคู่เป็นคนดี เป็นเจ้าของบริษัทที่ทำให้คนจำนวนมากมีงานทำ และเป็นบริษัทที่ลงทุนหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อพัฒนาธุรกิจในไทย
ส่วนทนายความของนายเจอรัลด์ ระบุว่า อัยการต้องการส่งสารไปถึงธุรกิจบันเทิงโดยใช้คดีของลูกความเขาเป็นทางผ่าน สามีภรรยากรีนส์เป็นบุคคลในธุรกิจแวดวงบันเทิงคู่แรกที่ถูกตัดสินว่ามีความ ผิดตามกฎหมายการทุจริตในต่างประเทศของสหรัฐฯ   ทางด้านนายเมธี ครองแก้ว กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) เรียกรับสินบนจากนักธุรกิจชาวอเมริกัน เพื่อให้ได้สิทธิในการจัดงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ ปี 2550  กล่าวว่า ในวันที่ 16 กันยายน จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการไต่สวน เพื่อประมวลข้อมูลให้รอบด้าน หลังจากได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปรับฟังการพิจารณาคดีของศาลสหรัฐอเมริกา โดยจะนำข้อมูลทั้งจากฝ่ายโจทก์และจำเลยมาพิจารณา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะนำคำตัดสินของคณะลูกขุนมาประกอบการพิจารณาสรุปสำนวนคดี ว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่   กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า หากยังมีข้อมูลส่วนใดที่ยังไม่ชัดเจน คณะอนุกรรมการฯ ก็จะประสานงานกับทางอัยการสูงสุด เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากทางสหรัฐ เบื้องต้นข้อมูลที่ได้รับจากสำนักงานสอบสวนกลางแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) นั้น ถือว่ามีความชัดเจนอยู่แล้ว โดยเฉพาะขั้นตอนการทำธุรกรรมทางการเงินในต่างประเทศ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯ ไม่มีอำนาจในการไปเรียกข้อมูลเอกสารหลักฐานการเงินในต่างประเทศดังกล่าว ดังนั้น จึงถือว่าข้อมูลที่เอฟบีไอส่งมาให้สำคัญต่อการสรุปสำนวนคดีอย่างมาก อย่างไรก็ตาม จากการไต่สวนคดีนี้นอกจากเรื่องการทุจริตแล้ว ยังพบว่ามีการกระทำผิดในตำแหน่งหน้าที่ด้วย  
นายเมธี กล่าวว่า ผู้ถูกกล่าวหาไม่ได้มีเฉพาะนางจุฑามาศเพียงคนเดียว แต่ยังรวมไปถึงรักษาการผู้ว่าฯ ททท.อีกคนหนึ่ง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้ อย่างไรก็ตาม คาดว่าคณะอนุกรรมการฯ จะสามารถแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมดได้ภายในเดือนกันยายนนี้ และสรุปสำนวนคดีเพื่อชี้มูลความผิดได้ภายในเดือนพฤศจิกายนนี้
ขณะที่ พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าชุดตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีทุจริตโครงการบางกอกฟิล์มเฟสติวัล ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ท.ท.ท.) เปิดเผยว่า ดีเอสไอได้ตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีความไม่โปร่งใสในโครงการบางกอกฟิล์มฯ ภายหลังกระทรวงยุติธรรม และเอฟบีไอของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ดำเนินคดีกับนายเจอรัลด์ และนางแพทิเซีย กรีนส์  ฐานจ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่ในประเทศไทย โดยผลการตรวจสอบเบื้องต้น ดีเอสไอพบหลักฐานน่าเชื่อว่ามีการทุจริตฮั้วประมูล เอื้อประโยชน์ให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดได้เป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ และพบว่ามีพนักงานในองค์กรของรัฐเรียกรับสินบน ซึ่งคดีเป็นอำนาจสอบสวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดีเอสไอจึงได้ส่งสำนวนคดีทั้งหมดให้ป.ป.ช.ไต่สวนตามกฎหมายตั้งแต่ต้นปี 2551 สมัยนายสุนัย มโนมัยอดุม เป็นอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งที่ผ่านมาป.ป.ช.ได้เรียกตนเข้าให้ข้อมูลต่อคณะกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริง แล้ว
พ.อ.ปิยะวัฒก์ กล่าวอีกว่า ในชั้นตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น ดีเอสไอไม่มีอำนาจสอบสวน จึงไม่ได้เรียกผู้บริหารระดับสูงของท.ท.ท. รวมถึงนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการท.ท.ท. เข้าให้ปากคำ รวมทั้งไม่ได้เรียกบุคคลใดเข้ามารับทราบข้อกล่าวหา เป็นเพียงการเรียกเอกสารการจัดซื้อจัดจ้างและการประกวดราคาโครงการบางกอก ฟิล์มของ ท.ท.ท. ย้อนหลังตั้งแต่ปี 2546-2549 และเรียกเจ้าหน้าที่ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าให้ข้อมูล ซึ่งก็พบมูลความผิดฐานทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ


ปปช.เตรียมฟันจุฑามาศหลังได้ข้อมูลจากเอฟบีไอ

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ป..ป.ช.เตรียมฟัน "จุฑามาศ" หลังได้ข้อมูลจากเอฟบีไอ คาดสรุปสำนวนคดีชี้มูลความผิดได้ภายในเดือน พ.ย.นี้

นาย เมธี ครองแก้ว กรรมการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีนางจุฑามาศ ศิริวรรณ อดีตผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เรียกรับสินบนจากนักธุรกิจชาวสหรัฐอเมริกา เพื่อให้ได้สิทธิ์ในการจัดงานนิทรรศการภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพ ปี 2550 กล่าวว่า ในวันนี้ (16 ก.ย.) จะมีการประชุมคณะอนุกรรมการฯ เพื่อประมวลข้อมูลให้รอบด้าน หลังจากได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปรับฟังการพิจารณาคดีของศาลสหรัฐอเมริกา

โดยจะนำข้อมูลทั้งจากฝ่ายโจทก์และจำเลยมาพิจารณา เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และจะนำคำตัดสินของคณะลูกขุนมาประกอบการพิจารณาสรุปสำนวนคดีว่ามีเจ้า หน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้องในการกระทำความผิดด้วยหรือไม่ 

ทั้งนี้หากยังมีข้อมูลส่วนใดที่ยังไม่ชัดเจนคณะอนุกรรมการฯก็จะประสานงาน กับทางอัยการสูงสุด เพื่อขอข้อมูลเพิ่มเติมจากทางสหรัฐ แต่เบื้องต้นข้อมูลที่ได้รับจากสำนักงานสอบสวนกลางแห่งชาติ สหรัฐอเมริกา (เอฟบีไอ) นั้น ถือว่ามีความชัดเจนอยู่แล้ว โดยเฉพาะขั้นตอนการทำธุรกรรมทางการเงินในต่างประเทศ ซึ่งคณะอนุกรรมการฯไม่มีอำนาจในการไปเรียกข้อมูล เอกสารหลักฐานการเงินในต่างประเทศดังกล่าว ดังนั้นจึงถือว่าข้อมูลที่เอฟบีไอส่งมาให้คณะอนุกรรมการฯนั้นสำคัญต่อการ สรุปสำนวนคดีอย่างมาก

อย่างไรก็ตามจากการไต่สวนคดีนี้นอกจากเรื่องการทุจริตแล้วยังพบว่า มีการกระทำผิดในตำแหน่งหน้าที่ด้วย ส่วนผู้ถูกกล่าวหานั้นก็ไม่ได้มีเฉพาะนางจุฑามาศเพียงคนเดียว แต่ยังรวมไปถึงรักษาการผู้ว่าฯ ททท.อีกคนหนึ่งด้วย แต่ขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยรายชื่อได้

อย่างไรก็ตามคาดว่าคณะอนุกรรมการฯจะสามารถแจ้งข้อกล่าวหากับผู้ถูกกล่าว หาทั้งหมดได้ ภายในเดือน ก.ย.นี้ และจะสามารถสรุปสำนวนคดีเพื่อชี้มูลความผิดได้ภายในเดือน พ.ย.นี้แน่นอน

view