จากประชาชาติธุรกิจ
เปิดรายงานคอร์รัปชั่นโลกประจำปี 2552 เกี่ยวกับ "คอร์รัปชั่นกับภาคธุรกิจ" แฉประเทศกำลังพัฒนา บริษัทที่ทุจริตร่วมมือกับนักการเมืองและข้าราชการกระทำการทุจริตมีมูลค่า สูงถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี ต้นทุนทางธุรกิจสูงขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 ผู้บริโภคต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นกว่า 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราว10.5 ล้านล้านบาท

ดร.จุรี วิจิตรวาทการ   เลขาธิการองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย   ได้เปิดเผย รายงานคอร์รัปชั่นโลกเกี่ยวกับ "คอร์รัปชั่นกับภาคธุรกิจ" ประจำปี 2552 ว่า องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Transparency International) และองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทย ตระหนักดีว่า ภาคธุรกิจมีบทบาทสำคัญในการต่อต้านคอร์รัปชั่นทั่วโลก ซึ่งองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติได้จัดทำรายงานคอร์รัปชั่นโลกเป็น ประจำปีทุกปี ในปีนี้ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาตินำเสนอรายงานคอร์รัปชั่นโลกประจำปีร 2552 : "คอร์รัปชั่นกับภาคธุรกิจ"
รายงานคอร์รัปชั่นโลกประจำปี 2552   ได้นำเสนอผลการศึกษาเรื่องคอร์รัปชั่นกับภาคธุรกิจโดยได้ทำการศึกษาถึงขอบ เขตและผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการทุจริตและการฉ้อโกงขององค์กรธุรกิจใน 46 ประเทศทั่วโลกและสหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับวิธีคอร์รัปชั่นในรูปแบบต่างๆ ของภาคธุรกิจ เช่น การติดสินบน การทำสัญญาตกลงกันระหว่างบริษัทเพื่อไม่ให้ขายสินค้าแย่งกัน (cartels) หรือ "ฮั้ว" การฉ้อโกงขององค์กร (corporate fraud) รวมถึงคอร์รัปชั่นในสายการผลิตและการทำธุรกรรมระหว่างประเทศ ซึ่งการกระทำเหล่านี้ล้วนแต่สร้างความเสียหายแก่บริษัทและประเทศเป็นอย่าง มาก
รายงานแสดงให้เห็นว่าในหลายกรณีการทุจริตเกี่ยวข้องตั้งแต่ระดับผู้ บริหาร ผู้ถือหุ้น ผู้จัดการบริษัท ซึ่งเป็นผู้ทีใช้อำนาจโดยมิชอบเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ไปจนถึงเจ้าของบริษัท นักลงทุน พนักงาน บริษัท คู่ค้าทางธุรกิจ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในประเทศที่กำลังพัฒนาพบว่าบริษัทที่ทุจริตได้ร่วมมือกับนักการเมืองและข้า ราชการที่โกงกินได้กระทำการทุจริตมีมูลค่าสูงถึง 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.4 ล้านล้านบาทต่อปี
นอกจากนี้ รายงานยังบ่งชี้ว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้บริหารบริษัทข้ามชาติระบุว่าการ ทุจริตคอร์รัปชั่นทำให้ต้นทุนทางธุรกิจสูงขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 10 กว่าคือ ประชาชนหรือผู้บริโภคจะต้องเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้ประมาณ 300,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10.5 ล้านล้านบาท
รายงานยังแสดงให้เห็นว่าอำนาจทางเศรษฐกิจของภาคธุรกิจส่งผลอย่างไรต่อ การเมือง ความล้มเหลวในการบังคับใช้นโยบาย/กฎข้อบังคับ เป็นผลทำให้เกิดระบบพวกพ้องและภาวะชะงักงันของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การวิ่งเต้น (lobby) มักจะขาดความโปร่งใสและไม่ได้อยู่ในระบบการ ตรวจสอบและถ่วงดุลของบริษัท
เช่น ในปีพ.ศ 2551 ประมาณ 1 ใน 3 ของ100 บริษัทในการจัดอันดับ  Standard and Poor ต้องการการควบคุมค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการวิ่งเต้นเชิงนโยบายการตอบแทนที่เกิด ขึ้นในการทุจริตระหว่างภาครัฐและภาคธุรกิจยังพบเห็นได้ในการจัดซื้อจัดจ้าง ที่ไม่มีการแข่งขันที่แท้จริงและกระบวนการที่ไม่โปร่งใส ซึ่งเหล่านี้นำไปสู่การสูญเสียงบประมาณของรัฐอย่างมหาศาลและการไม่มีมาตรฐาน ของสินค้าและบริการ
ในการแก้ไขปัญหาทุจริตที่เกิดขึ้นจากการศึกษาพบว่าประมาณร้อยละ 90 ของบริษัทขนาดใหญ่ 200  แห่งทั่วโลกได้นำจรรยาบรรณภาคธุรกิจเข้ามาใช้ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ที่มีการติดตามผลการปฎิบัติตามจรรยาบรรณดังกล่าว
จากรายงานพบว่าในกลุ่มบริษัทที่มีแผนงานต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันและ มีแนวทางส่งเสริมจริยธรรมทางธุรกิจจะมีกรณีทุจริตคอร์รัปชันเกิดขึ้นน้อย กว่าบริษัทที่ไม่มีแผนงานและแนวทางดังกล่าวถึงร้อยละ 50 และมีแนวโน้มที่จะสูญเสียโอกาสทางธุรกิจน้อยกว่าความซื่อสัตย์สุจริตของภาคุ รกิจจึงมีความสำคัญต่อรายได้และผลตอบแทนทางธุรกิจที่ยั่งยืน ในทางกลับกันหากบริษัทเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตคอร์รัปชันจะเกิด ผลเสียหายอย่างมหาศาล เช่น  การขาดแคลนน้ำดื่มน้ำใช้ การเอารัดเอาเปรียบแรงงาน การค้าไม้เถื่อน การใช้ยาที่ไม่ปลอดภัย การ ก่อสร้างตึกที่ไม่แข็งแรงที่อาจจะถล่มจนทำให้ผู้คนเสียชีวิต
ดังนั้น ภาคธุรกิจจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งที่  จะช่วยป้องกันผลเสียหายที่เกิดขึ้นจากการทุจริตคอร์รัปชันด้วยการดำเนิน ธุรกิจอย่างความโปร่งใสและ ตรวจสอบได้