สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดคำให้การ ประชัย จ้าง เมซไซอะฯ โฆษณา 258 ล้าน ไม่ใช่ใส่กระเป๋าคนปชป.

จากประชาชาติธุรกิจ



กรณีเงิน 258 ล้านบาทจาก ทีพีไอ. ไหลเข้า คนโตประชาธิปัตย์ ค้างเติ่งอยู่ในแฟ้ม กกต. ล่าสุด เสี่ยประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ร่อนหนังสือชี้แจง ยืนยันนอนยัน เงินก้อนโต เป็นค่าทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ งานส่งเสริมการขาย และงานด้านการตลาดสินค้าล้วนๆ ไม่เกี่ยวการเมือง ด้าน"ไทกร" ตั้งคำถาม จับพิรุธ ประจวบ-ประชัย

กรณีเงิน 258 ล้านของทีพีไอ. ที่ไหลไปเข้ากระเป๋าคนโตประชาธิปัตย์   เป็นสำนวนที่ค้างอยู่ในแฟ้มคณะอนุกรรมกรรมการสืบสวนสอบสวน คณะกรรมการการเลือกตั้ง มานานหลายเดือนแล้ว   ทั้งๆที่มูลเหตุเกิดขึ้นมาตั้งแต่ 4-5 ปีที่แล้ว
   ล่าสุด  นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ทำหนังสือชี้แจง ลงวันที่ 2 ตุลาคม 2552 ส่งถึง นายอภิชาติ สุขัคคานนท์ ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)   ยืนยันว่า   ยินดีให้ความร่วมมือกับ กกต. ในการเดินทางเข้าไปให้ถ้อยคำ
   ก่อนหน้านี้  นางสดศรี สัตยธรรม กกต. ด้านกิจการพรรคการเมือง  กล่าวถึงความคืบหน้าในการพิจารณาสำนวนกรณีที่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ถูกกล่าว หาว่ามีส่วนได้รับเงินจำนวน 258 ล้านบาท จาก บ. ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน)  ผ่านบริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด เมื่อปี 2548 
  นางสดศรี กล่าวว่า ทางคณะอนุกรรมการไต่สวนได้รายงานให้ทราบว่า นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ผู้บริหาร ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน) ที่ถูกระบุว่าเป็นผู้ให้เงินแก่แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ยังไม่ได้มาชี้แจง
     ทั้งนี้  ในวันที่ 28 ตุลาคม 2552นี้ จะเป็นวันที่ครบกำหนดระยะเวลาที่ขอขยายเวลา คณะอนุกรรมการฯจะแจ้งต่อกกต.ว่าจะตัดพยานหรือเอาพยานปากอื่นมาเพิ่มเติมหรือ ไม่
  ขณะที่นายศิลปิน  บูรณศิลปิน  รองผู้จัดการใหญ่ฝ่ายกิจการพิเศษบริษัท ทีพีไอโพลีน จำกัด (มหาชน)  ตอบว่า   นายประชัยได้ส่งหนังสือคำชี้แจงมายัง กกต. แล้ว
   
    @ คำชี้แจง  "ประชัย" ถึง กกต.      บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ได้ส่งหนังสือตอบกลับการขอเชิญไปให้ถ้อยคำ ของ กกต. ที่นายประชัย ได้ส่งถึง นายอภิชาติ ประธาน กกต. มีบันทึกการได้รับต้นฉบับเอกสารลงวันที่ 2 ตุลาคม 2552 พร้อมทั้งแนบสำเนาหนังสือมอบอำนาจ ลงวันที่ 29 มิถุนายน ,7 กันยายน เพื่อยืนยันว่า นายประชัย ได้มีการติดต่อกลับไปยัง กกต.
     นอกจากนี้ นายประชัย ยังได้ทำหนังสือชี้แจงข้อเท็จจริงต่อประธาน กกต. ว่า ได้ให้ความร่วมมือกับคณะกรรมการสืบสวนสอบสวน ที่มีนายอิศระ หลิมศิริวงษ์ เป็นประธานกรรมการฯ ทุกครั้ง 
     นายประชัย ระบุในหนังสือตอบกลับเรื่องขอเชิญไปให้ถ้อยคำว่า ได้มอบหมายให้นายไวพจน์ คดบัว เป็นผู้รับมอบอำนาจไปให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนแทนตามกำหนดนัด โดยให้ถ้อยคำว่า บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) ได้มีการทำสัญญาว่าจ้าง บริษัท เมซไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ให้ทำโครงการเกี่ยวกับงานโฆษณาประชาสัมพันธ์งานส่งเสริมการขายและงานด้านการ ตลาด ในช่วงระหว่างปี 2547-2548 ประมาณ 8 โครงการ ในวงเงิน 258 ล้านบาท
     ทั้งนี้ เนื่องจาก บริษัทฯ ได้รับการร้องขอจากบรรดาตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ ให้ช่วยเหลือในด้านการตลาดเพื่อสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้า ที่ครองตลาดปูนซีเมนต์ทางภาคใต้ในด้านของการเพิ่มปริมาณยอดการขายปูนซีเมนต์ ของบริษัทฯ
    หนังสือชี้แจงฉบับนี้ ยังระบุอีกว่า มีสัญญาจ้างบางฉบับที่มีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ตัวแทนของบริษัทฯลงนามในฐานะผู้ว่าจ้างแต่เพียงผู้เดียว มีผลผูกพันกับบริษัทฯ โดยถูกต้องตามกฎหมาย
    ทั้งนี้ เนื่องจากการดำเนินการดังกล่าวเป็นการดำเนินการค้าตามปกติของบริษัทฯ โดยบริษัทฯ ได้รับประโยชน์ตอบแทนตามที่ นายไวพจน์ ได้เรียนแจ้งมาแล้วข้างต้น
     ซึ่งการว่าจ้างตามสัญญาดังกล่าว ระหว่าง บริษัท ทีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เมชไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ได้มีการจ้างทำบัญชีงบการเงินและยื่นชำระภาษีต่อกรมสรรพากรโดยถูกต้อง
     มีการตรวจรับงานที่ว่าจ้าง ได้มีการตรวจสอบอย่างถูกต้องโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบของบริษัทฯ และมีการรายงานให้ทางบริษัทฯ ทราบมาตามขั้นตอนก่อนมีการชำระค่าจ้าง
  @ ทีพีไอระบุ "เมซไซอะ" มีความชำนาญงานโฆษณา         ขณะที่นายไวพจน์ ตัวแทนนายประชัย  ชี้แจงเพิ่มเติมว่า    บริษัท อาคเนย์ คอนกรีต จำกัด เป็นตัวแทนจำหน่ายปูนซิเมนต์รายใหญ่ของบริษัทฯ ในจังหวัดสงขลา โดยในระหว่างปี 2547-2548 บริษัทฯไม่เคยสนับสนุนหรือจัดโฆษณาประชาสัมพันธ์ งานส่งเสริมการขาย และงานด้านการตลาดให้แก่ บริษัท อาคเนย์ คอนกรีต จำกัด เป็นกรณีเฉพาะ
     หากแต่เป็นการจัดทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ งานส่งเสริมการขาย และงานด้านการตลาดในสินค้าของบริษัทฯเองเท่านั้น
     ทั้งนี้ ผู้รับมอบอำนาจจากนายประชัย ยังให้ถ้อยคำต่อ กกต. ยืนยันว่าในระหว่างปี 2547-2548 บริษัทฯ ไม่เคยบริจาคเงินหรือผลประโยชน์ใดๆ ให้แก่พรรคประชาธิปัตย์
     มีเพียงแต่การว่าจ้าง บริษัท เมชไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ให้ทำงานโครงการโฆษณาประชาสัมพันธ์ การส่งเสริมการขายและการตลาด เนื่องจากได้รับการแนะนำจากตัวแทนจำหน่ายของบริษัทฯ ว่าเป็นบริษัทที่มีความชำนาญในเขตพื้นที่ภาคใต้
      นายประชัย  ยืนยันในตอนท้ายว่า  ให้ถือเอาถ้อยคำที่นายไวพจน์ คดบัว ได้ให้ไว้ต่อคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนดังกล่าว เป็นการให้ถ้อยคำของข้าพเจ้าตามที่มอบอำนาจไว้ตามหนังสือมอบอำนาจ ฉบับลงวันที่ 29 มิถุนายน 2552
    "  หากประธานกรรมการการเลือกตั้งเห็นว่า ยังมีข้อมูลที่จำเป็นจะต้องให้ข้าพเจ้ามาให้ถ้อยคำต่อคณะกรรมการการสืบสวน สอบสวนอีก ข้าพเจ้ายินดีให้ความร่วมมือกับทางสำนักงานคณะกรรมการเลือกตั้ง โดยขอความกรุณาได้โปรดเลื่อนกำหนดนัดในการไปให้ถ้อยคำไปเป็นในช่วงเดือน พฤศจิกายน 2552 "
   @  "ไทกร" ชี้พิรุธ "ประจวบ-ประชัย"
       นายไทกร พลสุวรรณ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งบริษัท เมซไซอะฯ  ซึ่งเป็นผู้เปิดโปงเงินปริศนา 258 ล้าน  ตั้งข้อสังเกตว่า
     "ประชาธิปัตย์ต้องเอา นายประจวบ สังขาว (เจ้าของบริษัท เมซไซอะฯ) มาแถลง ว่าเพราะอะไรนายประจวบ ถึงต้องโอนเงินให้คนของพรรคประชาธิปัตย์"
     นายไทกร ยอมรับว่า รู้จักกับ นายประจวบ โดยบอกว่าเป็นแค่ "เด็กหากินในพรรค มาเสนอทำโปสเตอร์เวลาช่วงเลือกตั้ง"
     "250 ล้านบาทที่ว่าบริษัท ทีพีไอ จ้างนายประจวบ เป็นการจ้างโฆษณาประชาสัมพันธ์ให้บริษัท ที่มันเกี่ยวกับประชาธิปัตย์ ก็คือว่า บริษัท เมซไซอะฯ ถ้ารับงานจากทีพีไอ ได้เงินแล้ว เงินที่ได้รับเป็นค่าจ้างทั้งหมด บริษัทนี้ไม่เก็บเอาไว้เองเลย โอนออกให้กับบุคคลที่ 3 ทั้งหมด"
     โดยบุคคลที่ 3 ที่นายไทกร อ้างถึง คือ น้องชายของกรรมการบริหารพรรค ,น้องของภรรยา กรรมการบริหารพรรค และ ภรรยาที่ไม่ได้จดทะเบียนของกรรมการบริหารพรรค ซึ่งทุกคนล้วนใกล้ชิดกับพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น 
     นายไทกร วิเคราะห์ประเด็นกรณีเงิน 250 ล้านบาท ว่ามี 2 ส่วน คือ 1.ส่วนที่เกี่ยวข้องระหว่าง บริษัท ทีพีไอ กับ บริษัท เมซไซอะฯ 2.ส่วนที่เกี่ยวข้องกับ บริษัท เมซ.ไซอะฯ กับ คนของพรรคประชาธิปัตย์
     แม้ว่าจะเคยเป็นอดีตผู้ก่อตั้งบริษัท เมซไซอะฯ แต่นายไทกร ก็เชื่อว่า หากบริษัท ทีพีไอ สามารถพิสูจน์ได้ว่า จ้างบริษัท เมซไซอะฯ ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์จริง จำนวนเงิน 250 ล้านบาท ก็ถือว่าเป็นจำนวนที่มากเกินไป
    "ต้องดูว่า เงินจากบริษัท เมซไซอะฯ ไปเข้าบัญชีคนใกล้ชิดหรือคนแวดล้อมคนสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์มัน ชี้แจงได้หรือเปล่า ผมยกตัวอย่าง ว่านาย ก. กับ นาย ข. ในชีวิตนี้ไม่รู้จักกันเลย แต่นาย ก.มีการโอนเงินไปให้ นาย ข. 1.8 ล้านบาท ถึง 1.9 ล้านบาท ต้องถามว่าโอนให้ทำไม ตอบตรงนี้ได้ไหม ถ้าตอบไม่ได้ ก็ห้าม กกต. เข้าใจไม่ได้ว่าเงินเหล่านี้ ต้องเป็นเงินที่ไม่ชอบ เพราะคุณตอบไม่ได้ แล้วมันได้โอนให้คนเดียว ครั้งเดียว มันหลายคน หลายครั้งจำนวนเยอะ ก็เลยต้องไปดูที่มาตรา 65 ของพระราชบัญญัติพรรคการเมือง ฯ ที่ห้ามพรรคการเมืองและผู้บริหารพรรคการเมือง  รับบริจาคเงินหรือทรัพย์สินที่รู้ว่ามาจากผิดกฎหมายหรือ มีที่มาที่เชื่อว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย"
     "เชื่อไหมว่าคนที่มีอายุ 30 กว่าปี มีธุรกิจที่ไม่ใหญ่ ขนาดกลางค่อนข้างเล็ก งบดุลแต่ละปีไม่เท่าไร จะรับงาน 258 ล้านบาท แล้วใจถึงขนาดที่เอาเงินทั้งหมดส่งเข้าไปยังคนที่แวดล้อมคนสำคัญในพรรค ในช่วงการเลือกตั้ง นายประจวบถึงได้เป็นคนสำคัญที่สุด ที่จะต้องตอบว่าคุณทำเอง หรือมีใครบงการอยู่เบื้องหลัง"
   นายไทกร ย้ำประเด็นเรื่องการโอนเงินค่าจ้างการทำโฆษณาที่นายประชัย จ่ายให้นายประจวบ
     แต่นายประจวบ กลับโอนไปยังบัญชีของบุคคลอื่นๆซึ่งเป็นเครือญาติผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ จนไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว
    อย่าลืมกรณีการโอนเงินไม่เกิน 1.9 ล้านบาท ที่เข้าข่ายหลีกเลี่ยงการตรวจสอบของสำนักงานปัองกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
     และอย่าลืมประเด็นที่นายประจวบ ถูกสรรพากรตามเก็บภาษีเงินได้ อันเป็นต้นเหตุของคดี 258 ล้านบาทนี้
     จริงอยู่ว่า เงินค่าจ้างทำโฆษณา 258 ล้านบาทที่ทีพีไอ จ่ายให้นายประจวบไปแล้ว นายประจวบจะโอนให้ใครก็ไม่เกี่ยวกับทีพีไอ
     แต่เหตุใด  นายประจวบโอนเงินทั้งหมดให้เครือญาติผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ ที่นายประจวบไม่รู้จัก....
     หลายเดือนผ่านไป คำถามของ กกต. กับ คำตอบของนายประชัย ยังสวนกันไปมา แบบถามว่าไปไหนมา ตอบว่า สามวาสองศอก
     แล้วที่สุด คลื่นน่าจะกระทบฝั่ง  เพราะไม่มีใครพบเห็น ประจวบ สังขาว อีกเลย !!!

view