สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

คำต่อคำ อำมาตย์ ชื่อ ดร.สุเมธ มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ พระองค์ท่านก็นิ่งเงียบ อดทน

จากประชาชาติธุรกิจ



"ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล" เลขาธิการแห่งมูลนิธิชัยพัฒนา คือคนต้นเรื่อง ที่ทุกผู้คน-ทุกชนชั้น ล้วนอยากให้เล่า บันทึกไว้ในแผ่นดิน...ตามเส้นทางเสด็จฯ ทุกคำ ทุกบรรทัด จากนี้ไป พสกนิกรไทยชาวไทย ไม่อาจ ไม่อ่าน

@ "ดร.สุเมธ" เล่าเรื่องอาการพระประชวร
      "พระองค์ท่าน พระชนมพรรษาตั้ง 80 พรรษากว่าแล้ว การที่ทรงพระประชวร ก็เป็นเรื่องธรรมดา อีกทั้งพระวรกายของพระองค์ท่านก็ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก ทรงเสด็จฯเยี่ยมเยียนพสกนิกรอย่างมากมาย ผมได้มีโอกาสตามเสด็จฯมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 กว่า ๆ  เป็นต้นมา เห็นว่าพระองค์ท่านทรงงานเกินกว่าภาวะร่างกายมนุษย์จะพึงแบกรับได้ พระวรกายของพระองค์ท่านก็ต้องสึกหรอเป็นธรรมดา"
     "อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พระองค์ท่านทรงมีพระวรกายแข็งแรง ทรงมองปัญหา วางแผน การแก้ปัญหาไว้เรียบร้อยแล้ว ทรงตั้งองค์กรที่จะรับงานไปดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เช่น มูลนิธิโครงการหลวง มูลนิธิชัยพัฒนา และโครงการพระราชดำริ และมูลนิธิราชประชานุเคราะห์
     ทำให้มีองค์กรที่สามารถทำให้งานเดินหน้าต่อไปได้ แม้ว่าระยะหลังพระองค์ท่านจะไม่ได้เสด็จออก แต่งานทั้งหลายก็ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่มีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงเข้าเฝ้าฯบ่อยมาก ๆ และทรงรับพระราชกระแสรับสั่งมา ทำให้ในแง่งานไม่ได้หยุดลงเลย  

 


@ "ทรงงานตลอดเวลา...แม้ประทับอยู่โรงพยาบาล"
      แม้ว่าในขณะนี้ พระองค์จะประทับอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช สมเด็จพระเทพฯ ก็ยังทรงเข้าเฝ้าฯ และกราบทูลฯถวายรายงาน บางงานพระองค์ท่านก็มีรับสั่งเพิ่มเติม
     ในฐานะพระองค์ท่านทรงเป็นประธานกิตติมศักดิ์ สถาบันน้ำ ท่านก็รับสั่งให้ข้อมูลตลอดเวลา ในโลกที่เทคโนโลยีสารสนเทศก้าวหน้า การสั่งราชการสมัยใหม่ สั่งงานที่ไหนก็ได้ และรูปแบบการถวายรายงาน ก็มีหลายช่องทาง ไม่จำเป็นต้องเสด็จฯให้เหนื่อยยากเหมือนสมัยก่อน และงานทุกอย่างพระองค์ท่านทรงหลับตาก็เห็นหมด
     มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์ท่านทรงโทรศัพท์สายตรงมาถึง ตอนนั้นก็ประมาณตีสอง ตีสาม ก็เคย แสดงให้เห็นว่าท่านทรงงานตลอดเวลา แต่ส่วนมากท่านจะทรงมีกระแสรับสั่งผ่านสมเด็จพระเทพฯ
    ตัวอย่างคำแนะนำของในหลวง ตอนนั้นมีเรื่องการตั้งโครงการเกี่ยวกับเศรษฐกิจพอเพียงของหน่วยงานอื่น พระองค์ท่านทรงเห็นว่าไม่ควรดำเนินการ แต่ได้ทรงอธิบาย ว่าทำไมพระองค์ไม่เห็นด้วย ผมก็แจ้งให้หน่วยงานนั้นยุติเสีย  


@ "ทรงงานอย่างละเอียด...รอบคอบทุกพิกัด"
        ท่านมีพระกระแสรับสั่งงานได้เฉพาะเจาะจง บางครั้งงานที่เราถวายรายงานก็ทรงทราบรายละเอียดมากกว่าเราที่อยู่ในพื้นที่ มีอยู่ครั้งหนึ่งพระองค์จะเสด็จฯที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว เราไปนอนรออยู่ก่อนที่เวียงจันทน์ แล้วถวายรายงานเรื่องพิกัด ท่านก็มีพระกระแสรับสั่งผ่านศูนย์อำนวยการรักษาความปลอดภัย กลับมาตอนสี่ทุ่ม ทรงมีรับสั่งว่า "พิกัดที่ส่งไป ผิดพลาดไปประมาณ 500 เมตร" เราซึ่งอยู่ในพื้นที่ ยังถวายรายงานได้ไม่ครบ แต่พระองค์ท่านประทับอยู่ที่วังยังทราบได้ ทั้ง ๆ ที่คณะทำงานขนระบบ GPS ไปกันเพียบ
       พอรุ่งขึ้น...เข้าไปวัดใหม่ก็ปรากฏว่าผิดพลาดจริง ๆ เมื่อพระองค์ท่านประทับลงจากรถ ก็ทรงรับสั่งว่า "เห็นมั้ย...บอกผิด" นี่เป็นตัวอย่างว่าท่านทรงงานละเอียดมาก งานทุกแห่งท่านต้องทรงไปทอดพระเนตรด้วยพระองค์เอง  


@ "ทรงพะวงกับงานโดยไม่คำนึงถึงพระวรกาย"
       การทรงงานทุกอย่าง ท่านคิดแต่เรื่องคนอื่นตลอดเวลา ทรงเกรงใจคน ไม่ต้องการให้คนอื่นลำบาก บางคราวเสด็จออกโดยไม่แจ้งหมายกำหนดการล่วงหน้า ทรงทราบว่าจะมีคนมาคอยเฝ้าฯ จะลำบาก พวกเราก็ต้องคอยเก็งเอาว่าท่านจะเสด็จฯไหน เมื่อเสด็จออกถึงได้รู้กันตอนนั้น บางครั้งก็เก็งถูก บางครั้งก็ผิด แต่เราก็ต้องเตรียมพร้อมเสมอ มีรถนำขบวนเตรียมไว้ทั้งซ้าย-ขวา ท่านเสด็จออกทางไหนก็พร้อม มีโอเปอเรชั่นวางไว้เลย
       ครั้งที่แล้วที่เสด็จฯประทับโรงพยาบาล เพราะต้องผ่าตัดอีก 5 ชั่วโมง จะเสด็จฯถึงโรงพยาบาลศิริราช ทรงรับสั่งให้ทีมงานติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ เพื่อติดตามสถานการณ์พายุที่จะเข้าฝั่ง พระองค์ท่านทรงพะวงกับงาน โดยไม่คิดถึงพระวรกาย
      ไม่ใช่ว่าเมื่อทรงพระประชวรแล้วจะหยุดทรงงาน ขณะนี้ก็มีหนังสือราชการ มีการลงพระปรมาภิไธย มีพระบรมราชโองการ ตลอดเวลา
      "ผมคิดว่าเป็นเพราะความเกรงใจคนอื่น การประทับที่โรงพยาบาลศิริราช ขณะนี้ทราบว่าพระอาการทั่วไปหายดีหมดแล้ว เหลือเฉพาะต้องประทับต่อเพื่อทำกายภาพบำบัด หากท่านเสด็จออกจากโรงพยาบาล ก็เกรงใจทีมแพทย์ การประทับโรงพยาบาลต่อเพื่อจะทำให้ทีมแพทย์มีความสะดวก...นี่ผมเดาเอาเองนะ เพราะท่านทรงคิดถึงคนอื่นตลอดเวลา แม้จะเสด็จฯไปหัวหิน ก็ทรงรอให้ถึงวันเปิดเทอม เพราะจะได้มีคนน้อย ๆ รถราไม่ติด ทุกเรื่องทรงคิดหมด"
       ฝนตก แดดออก ทรงเสด็จออก ไม่เคยยกเลิกหมายกำหนดการ มีอยู่ปีหนึ่งน้ำท่วม ท่านเสด็จออกโดนแมลงกัดจนมีแผลที่พระบาท ท่านก็ยังมีรับสั่งงานต่าง ๆ ต่อ งานทุกอย่างท่านต้องทอดพระเนตร ทุกงานพระองค์จะทรงห่วงตลอด  


@ "พระอามรมณ์ขันและคำเตือน"
      "งานผมก็เคยถวายรายงานแล้วไม่ถูกพระทัย เพราะเราพลาด เราก็รู้ว่าเราต้องทำใหม่ มนุษย์คนไหน ไม่พลาดเลยตลอดชีวิต คนนั้นบ้าแล้ว บางคนทำผิดเท่าไร ไม่เคยเห็นความผิดของตัวเอง คนแบบนี้ พระพุทธเจ้าสอนว่า เป็นพวกบัวใต้น้ำ พระองค์ท่านทรงดุ เพื่อไม่ให้เราผิดพลาดอีก" 
      พระองค์ท่านเคยตรัสถามว่า จะอยู่ถึง 120 ปีด้วยกันมั้ย เราก็ตอบว่า ตอนนั้นข้าพระพุทธเจ้าก็คง 108 ปี ...ทรงมีอารมณ์ขัน นอกจากนี้ทรงมีการเตือนพวกเราตลอดเวลา ว่าอย่าให้ตัวเองอ้วนเกินไป ให้มีวินัยในการประพฤติตัว ปีที่แล้วเราอายุ 69 ปี ก็ขอพร ท่านตรัสว่า "ให้กินน้อย ๆ"
     "ทรงเตือนว่า เป็นนักพัฒนาต้องแข็งแรง เพราะต้องออกเยี่ยมเยียนประชาชน อย่าตามใจปาก พออิ่มก็หยุดได้แล้ว"   


@ "ความทุกข์...ของพ่อ"
       "เรื่องความทุกข์ ท่านไม่ทุกข์ แต่ก็ธรรมดาถ้าลูก ๆ ทะเลาะกัน พ่อ-แม่ก็ทุกข์...ไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไร ก็ลูกท่านทั้งนั้น ตามวิสัยพ่อ-แม่ รู้สึก Hurt  ทั้งนั้น ถ้าลูกตีกัน ฉันใดก็ฉันนั้น พระองค์ท่านก็ทรงห่วง" 
       จะเห็นว่าเมื่อมีวิกฤต เป็นระยะ ๆ ท่านก็ทรงเตือนให้รักษาบ้าน รักษาเมือง ประเทศชาติเกิดอะไรก็ไปกันหมด ประเทศไม่สงบ ก็เดือดร้อนกันหมด ทรงเตือนให้มีสติ เอาสติกลับมา ทะเลาะกันก็เดือดร้อนกันทั้งคู่
     "พระประมุขแห่งแผ่นดินเห็นอย่างนี้ ก็คงกลุ้มพระทัย แต่เราก็ไม่เคยทูลถาม แต่ก็สังเกตเห็น"
     หลายฝ่ายจะให้ท่านทำอย่างนั้น ทำอย่างนี้ ทำไม่ได้หรอก พูดอย่างนั้นเป็นการพูดกันตามอำเภอใจ แต่พระองค์ทรงมีทศพิศราชธรรม อยู่ข้อหนึ่งคือ อวิโรธนะ คือทำผิดไม่ได้ ต้องดูความเหมาะสม ถูกกฎหมายหรือไม่ ผิดกฎหมายหรือไม่ รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าอย่างไร ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์ บางทีก็ไม่รู้เรื่อง
     ตอนหนึ่งมีนักข่าวต่างชาติมาสัมภาษณ์ท่าน เรื่องพฤษภาทมิฬ ท่านรับสั่งว่า ตอนนั้นนายกรัฐมนตรีก็มี รัฐบาลก็อยู่ จะให้ท่านออกมาได้อย่างไร ถ้าท่านออกมาก็จะถูกหาว่าเข้าข้างรัฐบาลได้ เมื่อทั้ง 2 ฝ่ายควบคุมกันไม่ได้ แล้วมีคนตาย ท่านก็ออกมา ท่านจะทรงทำอะไร ไม่ทำอะไร เป็นเรื่องที่ยากมาก ท่านมีกรอบ มีคนมาวิพากษ์วิจารณ์ท่าน พระองค์ท่านก็นิ่งเงียบ อดทน ไม่เหมือนเรา ใครด่า เราก็ด่าตอบ แต่ท่านทรงทำอย่างนั้นได้ที่ไหน  


@ "ในหลวงเป็นนักบุญที่มีชีวิต"
        เรื่องที่วิจารณ์เปรียบเทียบกันว่า สถาบันของไทยไม่เหมือนกับสถาบันพระมหากษัตริย์ประเทศอื่น ก็ใช่ ของเขาก็ของเขา ไม่เหมือนของเรา เปรียบเทียบกันไม่ได้ ผมก็เคยพูดไปว่าไม่เหมือนกันระหว่างเมืองไทยกับประเทศอื่น ก็มีคนหาว่าผมเล่านิทานโกหก
       สถาบันของเราถวายคำว่ามหาราช ท่านก็ยังไม่รับ พระองค์ท่านเป็นนักบุญที่มีชีวิต ตลอด 63 ปี ท่านทรงงานตลอด ท่านทรงทำอะไรไม่ดีต่อแผ่นดินบ้าง
       พระองค์ท่านเหมือนพระ ท่านทำเพื่อทำ ท่านเคยตรัสว่า "ฉันใช้ระบบสังฆทาน ทำไปโดยไม่เจาะจงว่าเพื่อใคร" หาอย่างนี้ไม่ได้แล้ว
      เด็กรุ่นใหม่ เขาอาจจะไม่เคยสัมผัส ทั้ง ๆ ที่สื่อก็ออกมามากมาย แต่ยุคสมัยมันเปลี่ยนไป เพราะไปศึกษาในโลกตะวันตก ก็มีค่านิยมอีกแบบ ที่สุดก็ถูกครอบงำโดยตะวันตก จนลืมรากเหง้าตัวเอง เด็กรุ่นใหม่ก็คิดเรื่องเงินตัวเดียว ทำงานก็เพื่อเงิน ต้องรวย คุณธรรมช่างหัวมัน ทัศนคติเด็กที่คิดเรื่องคอร์รัปชั่น บอกว่าขอให้สะดวกสบาย มีการบริการ ไม่แยกแยะ เรื่องดีเรื่องไม่ดี  


@ "เมื่อถูกอ้าง...จะให้ทำอย่างไร"
       เรื่องที่ถูก "อ้าง" คนใกล้ไม่ได้อ้าง คนอ้างไม่ได้ใกล้นั้น "ดร.สุเมธ" ต้องถอนหายใจหลายครั้ง กว่าจะเริ่มตอบอย่างมีคำถาม
       จะให้ทำอย่างไร...แต่เราก็ไม่เคย ถ้าพระองค์ไม่เรียกก็ไม่เข้าเฝ้าฯ เรียกหาก็เข้าเฝ้าฯ เรื่องอ้าง เรื่องข่าวลือ มันมีมาตั้งแต่สมัยไหนแล้ว สมัยรัชกาลที่ 5 ก็มีเรื่องหยุมหยิม เรื่องมูลฝอย ผมเคยอ่านหนังสือสมัยรัชกาลที่ 5 ทรงมีรับสั่งว่า "เลิกนินทากันซะทีเถอะ" ขอให้พอทีเถอะ ข่าวโกหกคนโง่ก็เป็นเหยื่อ คนฉลาดฉุกคิดได้ก็รอดไป เป็นเรื่องมนุษย์ บ้านเมืองวุ่นวาย เหมือนเชื้อโรค ย่อมมีอยู่รอบตัวเรา สำคัญว่ามีคนเชื่อหรือเปล่า...ทำไมถึงเชื่อกันง่าย
      เมื่อสถาบันถูกกระทบกระเทียบ จากฝ่ายต่าง ๆ "ข้าแผ่นดิน" ที่ตามรอยเส้นทางเสด็จฯ ยังคงก้มหน้าก้มตา เดินตามทางแห่ง "พ่อ" ของแผ่นดิน
     ก็ต้องทำหน้าที่ ไปสอน ไปอบรม ไปพูด คนตีกันก็ห่วง พอห้ามตีกันก็โดนด่ากลับมา ผมไม่เข้าใจคนในสังคมนี้ เราบอกให้สงบ เลิกทะเลาะกัน ก็ด่าเราอีก  


@ "ดร.สุเมธ-คนกลาง อำมาตย์ 100 เปอร์เซ็นต์"
       "ผมเป็นอำมาตย์ 100% ในชีวิตไม่เคยทำอะไร นอกจากเป็นข้าราชการ อำมาตย์ก็คือข้าราชการ มียศ มีศักดิ์ ใช่...แล้วไง แล้วตอนบ้านเมืองจนมุม ก็มีแต่พวกอำมาตย์กู้ชาติ ถ้าผมตายก็ตาย ไม่รู้จะเตือนอย่างไร จำนวนคนอวิชชามันเยอะ ถ้าเขาฟังก็ฟัง เขาด่าเราก็ไม่ด่าตอบ ทำตามบทบาทหน้าที่ ทำได้เท่านี้ แล้วก็ทำไม่เคยหยุด เสาร์-อาทิตย์ ก็ทำงาน"
       ถ้าจะให้เตือน มีอย่างเดียวคือ ไม่ต้องห่วงใคร ถ้ามีสติ ห่วงตัวเองเท่านั้นแหละ ถ้ามีสติ จะรู้ตัวว่าตัวเองยืนอยู่ตรงไหน หรืออยากจะเป็นคนอพยพ อยากอยู่ที่โน่น ที่นี่ ก็เชิญ ผมอยากอยู่ที่นี่ อยากให้ลูกหลานอยู่ที่นี่ ใครจะสร้างรัฐใหม่ ไปอยู่รัฐใหม่ เราไม่ไป เราจะอยู่รัฐเก่านี่แหละ
      คนที่เรียกร้องคนกลาง มาแก้ปัญหา เราก็สุดปัญญาจะอธิบาย คนกลางก็มีแล้ว มีหมดทุกอย่าง มีเครื่องมือครบ แต่ก็ไม่อยากจะซ่อมกัน ปล่อยให้เครื่องมือเสีย
      เพราะฉะนั้น สื่อเองแหละที่ต้องทบทวนตัวเอง มีหน้าที่พร้อมมูล คนกลางพูดไปเถอะ ไม่มีมรรคผลหรอก คนกลางออกมา คนฟังก็อาจจะมี คนไม่ฟังก็อาจจะมี ถ้าสื่อจับมือกันกระหน่ำคนที่ทำผิด พักเดียวก็อยู่ ตอนนี้สื่อไม่มีเอกภาพ แต่ถ้าลองพร้อมใจกัน หยุดทำมาหากินสักพัก แล้วเห็นใครบ้า ๆ บอ ๆ ก็กระหน่ำให้อยู่...ขุดโคตรมาเลย รับรอง ทุกอย่างจะเข้าที่โดยเร็วที่สุด ดังนั้น สื่อนั่นแหละ คนกลาง
      ผมคาดหวังในพลังของสื่อมาก ต้องนำมาใช้ในทาง positive ที่ผมพูดนี้พูดโดยบริสุทธิ์ใจ ผมเสนอว่าลองหยุดสัก 6 เดือน เป็นสื่อกู้ชาติ  


@ "พระเจ้าอยู่หัว ท่านทำร้ายใคร...ไม่มี ท่านทรงอยู่เฉย ๆ"
        ประชาธิปไตยเขาสอนหรือ ว่าให้อยู่เฉย ๆ เวลาเห็นคนโกง การมาตามประชาธิปไตย เพราะฉะนั้นให้เขากินกันอย่างนั้นหรือ แล้วมาบ่นกันทำไม...น่าเศร้า
       "โดนโจมตีว่าเป็นอำมาตย์ แล้วจะให้ผมทำอย่างไร ผมก็เป็นผม ผมเป็นอำมาตย์ ผมจะเจียระไนให้ดูว่า อำมาตย์คนนี้ทำอะไรบ้าง เป็นคนทำงานพัฒนาชนบท เคยออกรบ โดดร่มกลางป่า ก็อำมาตย์ทำทั้งนั้น ตอนนี้เป็นอดีตอำมาตย์ที่เกษียณ แต่ยังกินเงินเดือนอำมาตย์อยู่ รับเงินเดือนทุกเดือน ใครมาด่าเราก็ปลง เราไปช่วยเขาแท้ ๆ"
       ในช่วงสองสามปีมานี้อำมาตย์โดนวิพากษ์วิจารณ์มากเป็นพิเศษ แต่ "ดร.สุเมธ" บอกว่า "ผมอยู่ตรงกลางจริง ๆ แดงก็ด่า เหลืองก็ด่า ทั้ง ๆ ที่อยู่ตรงกลางที่สุดแล้ว ผมก็ทำงานไป จะเอาอะไรไปตอบโต้ ใครเดือดร้อนก็ไปช่วย อย่าพะวงว่าจะโดนด่า พระพุทธเจ้ายังถูกนินทา โดนทำร้ายด้วย แล้วเราจะเหลืออะไร"
       "คนที่พูดคำว่า จงรักภักดี คำที่ดีที่สุดคือ สติ เหนือสิ่งอื่นใด ทุกวันนี้สติหด หาย ขาด ถ้ามีสติ มีศีล มีปัญญา ฉลาดรอบคอบ ก็ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เพราะฉะนั้น คนในสังคมต้องมีสติ อย่าขาดสติ จะให้เราเข้าใจที่สุด"

 

Tags : คำต่อคำ อำมาตย์ ดร.สุเมธ วิพากษ์วิจารณ์ พระองค์ท่าน นิ่งเงียบ อดทน

ความคิดเห็น

  1. 1
    ราตรี
    ราตรี jib-ratree@hotmail.com 01/12/2010 16:29

    ขอให้หลักสูตรการศึกษาของไทย กำหนดให้เด็กไทยศึกษาพระกรณียกิจ  พระราชดำรัส โครงการต่างๆ ของในหลวง โดยปรับเนื้อหาตามระดับชั้น  ให้เป็นรายวิชาหนึ่ง ไม่ใช่เรียนแค่ผิวเผินหรือเรียนพอรู้  แต่เรียนให้ลึกซึ้ง   
    ให้ซึมซับตั้งแต่เด็ก  เรียนทุกระดับชั้น  ให้ดำเนินชีวิตตามแนวคิดของพระองค์ท่าน  รับรองเด็กไทยต้องพัฒนาและมีคุณธรรมมากขึ้นแน่นอน  เพราะใครที่ได้ศึกษาแนวคิดของพระองค์ท่านก็เหมือนได้ศาสตร์ความรู้แขนงหนึ่ง

    เรารักในหลวงเท่าชีวิต...ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

  2. 2
    ข้ารองบาท
    ข้ารองบาท 04/11/2010 18:54

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ

  3. 3
    EGO lescape
    EGO lescape 16/09/2010 10:20
    ความเห็นที่ 3 โครงการราชดำริเคยเอากำไรจากประชาชนหรือเปล่า กับนักการเมืองนักคอรัปช้่นมืออาชีพทำธุรกิจแล้วเคยคืนอะไรให้ประชาชนบ้าง เข้ามาโกยกันทั้งนั้นดีแต่ขายฝันหลอกพวกที่งมงายว่าจะไม่จน

    ที่ประเทศไทยไม่พัฒนาเพราะนักการเมืองขี้โกงกับช้าราชการขี้ฉ้อ..
  4. 4
    พรพิมล
    พรพิมล pornpimolrengvinaikij@yahoo.com 27/08/2010 11:21

    ในหลวงของเราท่านน่าศรัทธาที่สุด แบบอย่างที่ดีกับคนไทยจริง ๆ หาที่ไหนมีอีกคะ


    พระองค์ท่านทรงงาน และ เห็นแก่ประชาชนอยากให้ทุกคนพอเพียง  ประเทศชาติจะได้เจริญทางอ้อมไงคะ พระองค์ท่านเป็นผู้นำประเทศที่แท้จริง


    แม้แต่ องค์ดาไลลามะยังสรรเสริญว่าดีเลิศนัก 


    เรารักในหลวงมากค่ะ ขอพระองค์ทรงพระเจริญ มีพระชนม์มายุยั่งยืนนาน เป็นมิ่งขวัญ และ กำลังใจ..ของชาวไทยตราบนิรันดร์กาลด้วยเทอญ...

  5. 5
    รัก
    รัก 23/08/2010 12:06

    ขอพระองค์ทรงพระเจริญ


    ......


    หนูจะตั้งใจเรียนแพทย์ให้จบ


    และจะเป็นหมอที่ดีค่ะ

  6. 6
    108acc
    108acc prof_net99@yahoo.com 27/06/2010 01:48

    มีที่ไหนที่ไม่มีความเหลี่ยมล้ำ ทุกสังคมต้องมีความเหลื่อมล้ำ


    ในเมื่อทุกคนทุ่มเทขยันไม่เท่ากัน โอกาสไม่เท่ากัน ความเห็นแก่ตัวไม่เท่ากัน ความโลภไม่เท่ากัน


    ถ้าจะถามว่าทำไมทำงานหนักขนาดนี้ยังเกิดความเหลื่อมล้ำก็คงต้องพิจารณาถึง


    1.ตามที่บอกแล้วว่าความไม่เท่ากันย่อมเกิดความเหลื่ยมล้ำ (อยากถามต่อน่ะครับว่าจะทำอย่างไรให้คนเท่าเทียมกัน ถ้าคิดจะทำก็ไปทำนิ้วคุณให้เท่ากันก่อน ถ้าทำได้คงมีทางทำให้สังคมเท่าเทียมกันได้) ความโลภมีเท่าไหร่ก็ไม่พอก็ทำให้ช่องว่างคนห่างไปอีก คนๆหนึ่งมี สี่หมื่นล้าน อีคนมีสี่หมื่นบาท อยู่มาอีก 5-6 ปี คนเดิมจากสี่หมื่นล้านเป็นแสนล้าน อีกคนจากสี่หมื่นบาทเป็นหนึ่งแสนบาท ความเหลื่อมล้ำเพิ่มขึ้นหรือเปล่าไปคิดดูครับ


    2.ถ้าถามว่าทำงานหนักขนาดนี้ยังมีความเหลื่อมล้ำไม่เท่ากันอยู่ คำถามนี้เห็นได้ว่าคนถามคิดถึงแต่ตัวเอง ลัทธิพึ่งคนอื่น ฝังหัว คนหนึ่งคนทำงานหนักจนตายก็แก้ปัญหาของคน 65 ล้านคนไม่มีทางได้ ถ้าจะแก้ปัญหาของคน 65 ล้่านคนได้ ต้องใช้คน 65 ล้านคนถึงจะแก้ได้ ดูให้ดีครับวิธีการแก้ปัญหาของในหลวงนั้นไม่ใช่วิธีของนักการเมื่อง แต่ทรงสร้างโอกาสให้สามารถแก้ปัญหาของคนที่ไม่มีโอกาสสามารถแก้ปัญหาตัวเองได้ แต่ก็อีกนั่นแหละถ้าหยิบยื่นโอกาสให้แล้วไม่เอาก็คงช่วยอะไรไม่ได้ แต่ถ้าใครคว้าไว้ก็มีโอกาสที่จะมีชีวิตที่ดีกว่า ไปหาอ่านพระราชดำรัสเยอะๆแล้วจะเห็นวิธีคิดของพระองค์ครับ


    ผมคิดว่าทำได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นนักการเมื่องไม่มีทางทำได้หรอกครับ เพราะต้องใช้เงินให้ท่านผู้มีเกี่ยรติถลุงมากกว่านี้อีก 5-6 เท่าตัว เป็นค่ากินของท่านๆพวกนั้นให้พอหายหิว ถึงจะทำได้อย่างโครงการพระราชดำริ เพราะขาดความมุ่งมั่นและความเสียสละ ที่บางคนไม่เข้าใจว่าคื่ออะไร เพราะคิดอย่างเดียวว่า โลกนี้ NO FREE LUNCH

  7. 7
    ศัก
    ศัก skhomkhai@yahoo.com 26/06/2010 21:22
    ดร.บวรศักดิ์ พูดว่า  ปัญหาที่เกิดขึ้นทุกวันนี้มาจากความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำไมทำงานหนักมากขนาดนี้ยังเกิดความเหลื่อมล้ำอยู่ในสังคมไทยได้ ขอโปรดพิจารณาด้วยครับ
  8. 8
    ข้าราชการชั้นผู้น้อย

    พระองค์ท่านเป็นและพระราชวงค์ทุกพระองค์เป็นแบบอย่างที่คนไทยต้องน้อมรับไว้ปฏิบัติตาม  ดิฉันในฐานะข้าราชการไทยตำแหน่งเล็ก ๆ แต่ก็ภูมิใจที่ได้ทำงานรับใช้ภายใต้การปกครองของพระองค์  และได้บอกกล่าวให้ลูกหลาน รับทราบถึงความเสียสละของพระราชวงค์ และให้มีความจงรักภักดี ตลอดไป 

  9. 9
    สมพร
    สมพร 05/03/2010 11:09

    เป็นปัญญาแก่เรา ๆ ซึ่งอยู่ไกลพระองค์ท่าน...พระองค์ท่านคือ "ผู้ให้" ที่แท้จริง    ผิด ถูก  จิตสำนึกไม่ต้องให้ใครมาย้ำหรือกรอกหู  แล้วปาว ๆ หาพวกมารองรับความผิดของตัวเอง ปั่นป่วนให้บ้านเมืองเสียหาย   คนล้านนาเขาว่าคนพวกนี้ตายไปจะกลายเป็น "ผีก๊ะยักษ์"  คือยังมีฤทธิ์อยู่เช่นนั้น

แสดงความคิดเห็น

* *

 

*

view