สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ไวรัสซีอีโอ

จากประชาชาติธุรกิจ


คอลัมน์ Dhamma intrend
 โดย ว.วชิรเมธี 




ใคร ๆ ก็อยากเป็นซีอีโอ (Chief Executive Officer) เพราะเป็นแล้วทำให้ชีวิตดูดี มีระดับ เงินเดือนสูง มีอำนาจเต็มไม้เต็มมือ เวลาถูกแนะนำผ่านที่ประชุมหรือผ่านสื่อมวลชน ก็ทำให้ "อัตตา" พองคับเสื้อ แน่นคับสูท กลับเข้าบ้าน ลูกและภรรยาก็พลอยหน้าชื่นตาบาน เวลาแจกนามบัตรก็โก้หรูไม่บันเบา

แต่... "ทุกอย่างที่เราได้มา ล้วนมีราคาที่ต้องจ่ายเสมอ"

สัจธรรมข้อนี้ ไม่เว้นแม้แต่ซีอีโอทุกคน

อะไรคือราคาที่ต้องจ่ายของการเป็นซีอีโอ หรือซูเปอร์ซีอีโอ

คำ ตอบก็คือ การที่ใครก็ตาม เมื่อลองได้เป็นซีอีโอเข้าแล้ว มักเกิดอาการหลงผิด หน้ามืดตามัว เสพติดการทำงานหนัก จนไม่มีวันพักผ่อนนอนหลับ ไม่มีเวลาเหลือให้ตัวเองและครอบครัวอีกต่อไป นั่นทำให้ซีอีโอบางคน พบกับ "ทุกขลาภ" มีหน้า มีตำแหน่งสูง แต่ความสุขต่ำลงจนน่าใจหาย ที่ร้ายหน่อยก็ถึงขั้นป่วยหนัก แต่ไม่มีเวลาแม้แต่จะไปหาหมอ ยังคงมุ่งมั่นทำงานหนักต่อไป แล้วก็ได้พักสมใจเมื่อหมอบอกว่าเหลือเวลาอยู่ในโลกนี้อีกเพียง 6 เดือน นี่แหละคือโรคสำหรับผู้บริหาร

แต่ที่น่ากลัวยิ่งไปกว่านั้นก็คือ บางคนไม่เพียงแค่เสพติดงาน หากแต่เสพติดอำนาจด้วย การเสพติดอำนาจ จะทำให้เจ้าของอำนาจเกิดอาการผิดสำแดง เช่น "อัตตา" มีอาการ "พอง" เกินจริงหลายร้อยเท่า และนั่นเป็นเหตุให้หูตาฝ้าฟาง สติปัญญาเสื่อมศักยภาพ สังเกตง่าย ๆ เช่น ส.ส.ทั้งหลายเวลาที่เป็นฝ่ายค้าน จะมีปรีชาญาณสูงส่งมาก สามารถวิจารณ์หรือเปิดอภิปรายรัฐบาลได้อย่างแหลมคม ลุ่มลึก พรั่งพร้อมไปด้วยหลักฐานข้อมูลครบครัน จนชาวบ้านฟังแล้วอยากลุ้นให้เป็นรัฐบาลไว ๆ

แต่แปลก ครั้น ส.ส.ฝ่ายค้านได้เข้าไปเป็นรัฐบาลแล้ว ปรากฏว่า บางคนได้เป็นรัฐมนตรี บางคนได้เป็นนายกรัฐมนตรี บางคนได้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรี หรือบางคนได้เป็นวอลเปเปอร์ของรัฐมนตรี ครั้นได้ถืออำนาจรัฐเต็มมือแล้ว สติปัญญากลับหดหายลงไป คิดอะไรออกมาก็ล้วนแต่ตื้นเขิน อภิปรายตอบกระทู้ในสภาก็อ้อม ๆ แอ้ม ๆ บางทีก็ไม่มีแรง เดินทางมาสภาไม่ไหว ขาดประชุมสภาเสียดื้อ ๆ ก็มี ผิดกับตอนเป็นฝ่ายค้านที่ขยันมาสภาเสียเหลือเกิน

ทำไม ส.ส.ฝ่ายค้านน้ำดี เมื่อพลิกมาเป็นซีอีโออยู่ในฝ่ายรัฐบาลแล้ว ศักยภาพทางสติปัญญาจึงลดลงไป คำอธิบายก็คือ พวกเขาเหล่านั้นกำลังป่วยด้วยไวรัสซีอีโอขึ้นสมอง อาการของโรคนี้เท่าที่พบก็คือ หลงผิด ยึดติดในอัตตา คิดว่า "ข้าคือซีอีโอ" โลกต้องหมุนตามฉัน และคนอย่างฉันคือศูนย์กลางของระบบสุริยจักรวาล ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องฟังใครอีก ยิ่งคนที่พูดความจริง (มีแต่คนที่รักจริงจึงกล้าพูดกล้าเตือนนายด้วยความจริง) ยิ่งไม่ควรฟัง ซีอีโอที่เผลอคิดอย่างนี้ โดยมาก มักล้มเหลว แต่กว่าจะรู้ว่าล้มเหลว ก็ใช้ต้นทุนทางสังคมที่สั่งสมทั้งชีวิตจนป่นปี้ไปหมดแล้ว

การป่วยด้วยโรคไวรัสซีอีโอขึ้นสมองนั้น อันตรายมาก ถ้ารักษาไม่หาย อาจตายหรืออายุสั้นอย่างรวดเร็ว

เพื่อให้เห็นภาพว่า อาการป่วยด้วยโรคเชื้อไวรัสซีอีโอขึ้นสมองเป็นอย่างไร ขออธิบายด้วยพุทธปรัชญาดังต่อไปนี้

"ที่ วัดเซนแห่งหนึ่งในประเทศญี่ปุ่น มีไก่อยู่ครอบครัวหนึ่ง ประกอบด้วยสมาชิกคือ พ่อแม่ลูกชาย ทุกเช้าเวลาราวตีห้าเศษ ๆ ไก่ตัวพ่อจะตื่นขึ้นมาแล้วปรบปีก บิดขี้เกียจ จากนั้นมันจะบินขึ้นไปอยู่บนกิ่งไม้ แล้วโก่งคอขันเป็นระยะ ๆ เมื่อขันเสร็จแล้ว มันก็จะยิ้มอย่างภาคภูมิ ว่ามันได้ทำหน้าที่ที่แสนยิ่งใหญ่ คือ ปลุกตะวันให้ตื่นขึ้นมาส่องแสงไปทั่วสกลจักรวาล หน้าที่ที่มันทำนี้ เป็นหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์มาก ชาวโลก สรรพชีพ สรรพสัตว์ ล้วนเป็นหนี้บุญคุณของมันทั้งนั้น เพราะถ้ามันไม่ขัน ตะวันก็คงไม่ขึ้น พอขันและคิดด้วยความครึ้มอกครึ้มใจในความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงของตนแล้ว มันก็จะกระโดดลงมา พาลูกและภรรยาออกคุ้ยเขี่ยหาอาหารกินต่อไป

อยู่มา วันหนึ่ง ไก่ซีอีโอตัวพ่อเกิดป่วยขึ้นมา เรี่ยวแรงหดหาย เส้นเสียงอักเสบ เสียงแทบไม่มีพอที่จะขัน แต่ถึงกระนั้นมันก็ประคองตัวเองตื่นขึ้นมา ตีห้าของเช้าวันนั้น ลูกชายไก่โต้งเห็นว่า อาการของพ่อเพียบหนักขนาดนี้คงขันไม่ไหว จึงลุกขึ้นมาประคองปีกของพ่อแล้วกล่าวด้วยความหวังดีว่า

"พ่อครับ พ่อป่วยหนักขนาดนี้ คงขันไม่ไหว, พ่อครับ เช้าวันนี้ ให้ผมขันแทนพ่อนะครับ"

ได้ ยินลูกชายพูดอย่างนี้ เจ้าไก่ซีอีโอตัวพ่อหันมามองลูกชายตั้งแต่หัวจดปลายเท้า พลางยืดอกขึ้นมา ปรบปีกสองข้างอย่างอหังการ ก่อนจะเอ่ยวรรคทองออกมาว่า

"ลูกพ่อ, เจ้าสำคัญผิดแล้ว น้ำหน้าอย่างลูกน่ะ คิดหรือว่า ถ้าขันแทนพ่อแล้วตะวันมันจะขึ้น เรื่องขันให้ตะวันขึ้นนั้นมันต้องคนระดับพ่อเท่านั้น น้ำหน้าอย่างแกน่ะ อย่าสะเออะแม้แต่จะคิด"

เจ้าไก่โต้งลูกชายฟังแล้ว ใจฝ่อห่อเหี่ยวซุกปีกหรุบอยู่ข้างกาย เดินงัวเงียไปหาแม่ ฝ่ายแม่ก็ตกอยู่ในความเงียบเอาปีกลูบหัวลูกชายพลางปลอบว่า "ช่างพ่อเขาเถอะลูก" ว่าแล้วทั้งสองก็เงียบงัน ส่วนเจ้าซูเปอร์ซีอีโอผู้ไม่เจียมสังขาร ก็ทะยานขึ้นสู่ กิ่งไม้ ทั้ง ๆ ที่ป่วยไข้เพียบหนักขนาดนั้น แต่มันก็ยังโก่งคอขัน พอขันไปได้สองครั้งก็หมดแรง วูบตกลงมาชักแหง็ก ๆ อยู่บนพื้นดิน ก่อนจะวางวายทำลายขันธ์ เจ้าซูเปอร์ซีอีโอ ลืมตาขึ้นมาสั่งเสียลูกและเมียว่า

"ที่รัก...ลูกพ่อ, จากวันนี้เป็นต้นไป ขอให้พวกเธอใช้ชีวิตกันด้วยความระมัดระวังให้มากนะ เพราะว่า พอพ่อจากไปแล้ว ก็จะไม่มีใครมาทำหน้าที่ขันปลุกตะวันแทนพ่อได้อีกแล้ว จากนี้เป็นต้นไป โลกจะตกอยู่ในยุคมืด สรรพชีพ สรรพสัตว์ จะถึงกาลวิบัติเพราะไม่มีอาทิตย์ส่องแสงอีกต่อไปแล้ว ขอให้พวกเธอเตรียมใจรับมือหายนภัยครั้งใหญ่ของโลกคราวนี้เอาไว้ให้ดีเถิด พี่...พี่...ขอลาก่อน..."

สั่งเสียเสร็จแล้ว เจ้าไก่ตัวพ่อผู้เป็นซูเปอร์ซีอีโอก็ตายจากไป เป็นการตายที่ตาไม่หลับเสียด้วย เพราะมันเป็นห่วงชาวโลก มันห่วงว่า พอมันไม่ขันเสียตัวหนึ่งแล้ว พระอาทิตย์ก็คงจะไม่ขึ้นอีกต่อไป เมื่อไม่มีใครขันปลุกพระอาทิตย์ โลกก็มาถึงกาลแตกดับเท่านั้นเอง" :D

...

เรียบเรียงจากบทปาฐกถาเรื่อง "ภาวะผู้นำ" ณ สถาบันพระปกเกล้า

สนใจรายละเอียดปาฐกถาธรรมและคำบรรยายมากกว่านี้หาฟังได้ "ฟรี" จาก www. Dhammatoday.com

view