จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ทีมข่าวการเงิน
แค่ช่วงเวลาไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา กรมสรรพากร หน่วยงานที่ทำหน้าที่จัดเก็บภาษีให้กับรัฐอันดับ 1 ของประเทศ ก็ต้องเผชิญกับแรงกระเพื่อมจากมรสุมชุดใหญ่ จากการไม่สามารถจัดเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป และคนในตระกูลชินวัตรถึงสองครั้งสองครา
มรสุมลูกแรกเกิดจากการที่กรมสรรพากรไม่ยื่นอุทธรณ์เรียกเก็บภาษีชินคอร์ป จาก พานทองแท้ ชินวัตร และพินทองทา ชินวัตร จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท ท่ามกลางข้อกังขาของสังคม และผิดวิสัยการทำงานของหน่วยราชการที่จะต้องต่อสู้ในคดีความจนถึงที่สุด เพื่อใช้เป็นบรรทัดฐานของการทำงานต่อไป
ช่วงเวลาติดกัน กรมสรรพากรยังออกมายืนยันว่าเก็บภาษีหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เจ้าของหุ้นชินคอร์ปตัวจริงไม่ได้ เพราะเป็นการขายในตลาดหลักทรัพย์ไม่ต้องเสียภาษี
เฉพาะเคสนี้กรมสรรพากรก็เจอก้อนหินหนัก
เพราะในขณะที่ “หมอดูเส้นผม” คนขายน้ำรายย่อยในมหาวิทยาลัยแถวๆ อโศก กรมสรรพากรยังส่งเจ้าหน้าที่ไปประกบติดเพื่อเรียกเก็บภาษีเงินได้เพิ่มขึ้น
แต่พอคนร่ำคนรวยมีเงินได้ กลับอาศัยช่องโหว่ของกฎหมายไม่ต้องเสียภาษีสักอีแปะ
ทั้งๆ ที่ภาษีซื้อ ภาษีเงินได้นั้น ต้องเสียตามประมวลรัษฎากรทันที ไม่มีอุทธรณ์ แต่กรมสรรพากรกลับเมินเฉย อ้างว่าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์
เรียกว่าเอามือปิดตาเฉยๆ โดยไม่สนใจว่าการซื้อขายหุ้นของคนในตระกูลชินวัตรนั้นซื้อขาย โอนหุ้นให้กันนอกตลาดหุ้นชัดๆ
พ.ต.ท.ทักษิณ เจ้าของบริษัท แอมเพิลริชสั่งโอนหุ้นชินคอร์ปในราคา 1 บาท ให้กับ พานทองแท้ พินทองทา ผู้เป็นบุตร 3 วัน ก่อนที่จะขายให้เทมาเซกในราคาหุ้นละ 49.25 บาท และเป็นการขายกันนอกตลาด เงินได้จึงเกิดขึ้นกับพานทองแท้ และพินทองทา เมื่อมีเงินได้ก็ต้องเสียภาษี
ต่อมาเมื่อศาลตัดสินว่านิติกรรมที่เกิดขึ้นเป็นการอำพราง บุคคลทั้งสองคือนอมินีของ พ.ต.ท.ทักษิณ กรมสรรพากรก็บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องเสียภาษี
ทั้งๆ ที่ตามประมวลรัษฎากรนั้นกำหนดชัดมีธุรกรรม มีเงินได้ มีรายการซื้อขายก็ต้องเสียภาษี ไม่ต้องไปตรวจสอบว่าใครเป็นตัวแทน ใครเป็นตัวการ
พายุชุดแรกจึงกระหน่ำใส่ข้าราชการกรมสรรพากรอย่างหนัก จนหลายคนต้องแอบขึ้นตึก
ขนาดว่ากระทรวงการคลังต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบในเรื่องนี้
ฝนฟ้าที่ครึ้มไปด้วยพายุชุดนี้ยังไม่ทันจะคลายตัวลง กรมสรรพากรก็มาเจอมรสุมลูกที่สอง เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภริยาของ พ.ต.ท.ทักษิณ และกาญจนาภา หงษ์เหิน ในคดีหลีกเลี่ยงเสียภาษีและให้การเท็จการเสียภาษีหุ้นของ บรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 546 ล้านบาท ซึ่งศาลชั้นต้นได้พิพากษาจำคุกคุณหญิงพจมาน บรรณพจน์ 3 ปี จำคุกกาญจนาภา 2 ปี
สาระสำคัญของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ระบุว่า บรรณพจน์ มีการหลีกเลี่ยงการเสียภาษีจริง ให้จำคุก 2 ปี ปรับ 2 แสนบาท แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญา 1 ปี
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าประมวลรัษฎากรเป็นกฎหมายที่มีเจตนาเพื่อให้การจัดเก็บ ภาษีเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ความรับผิดทางอาญาที่ตราไว้จึงเป็นเพียงมาตรการเสริมเท่านั้น อีกทั้ง บรรณพจน์ เป็นเพียงนักธุรกิจ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจไม่ได้เป็นผู้มีอิทธิพล เมื่อถูกตรวจสอบก็ยอมรับ สร้างคุณงามความดีให้กับสังคม บริจาคเงินจำนวนมากให้กับมูลนิธิไทยคมเพื่อส่งเสริมการศึกษา
ส่วนคุณหญิงพจมาน และกาญจนาภา ศาลยกฟ้อง เพราะหลักฐานไม่ชัดว่ามีการหลีกเลี่ยงภาษี จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้กับจำเลย
ศาลอุทธรณ์ตัดสินอีกว่า การที่เจ้าพนักงานประเมินภาษีได้เชิญ บรรณพจน์ มาสอบถามข้อเท็จจริงหลังจากได้ยื่นแบบแสดงรายการเสียภาษีแล้วนานกว่า 3 ปีเศษ โดยไม่ได้ออกหมายเรียก และไม่ได้รับอนุมัติจากอธิบดีกรมสรรพากร เป็นการไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนประมวลรัษฎากร เป็นการไต่สวนโดยไม่ชอบ
คำพิพากษาทั้งสองศาลสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานของกรมสรรพากรที่ผ่านมามีปัญหาไม่น้อยที่ ธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล รมว.คลัง และ สาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร จะต้องหาทางแก้ไข ก่อนที่หน่วยงานจัดเก็บภาษีเงินได้จะซวนเซไปมากกว่านี้
กรณีการไม่เสียภาษีของบรรณพจน์ เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2540 แต่กรมสรรพากรก็ยืนกระต่ายขาเดียวเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ว่าการซื้อขายโอนหุ้นดังกล่าวไม่ต้องเสียภาษี และยังยกข้อกฎหมายต่างๆ นานาที่เป็นการเอื้อให้ผู้เสียภาษีไม่ต้องเสียเงิน แทนที่จะหาข้อกฎหมายเก็บภาษีคนรวยมีอำนาจให้เท่าเทียมกับคนรายได้น้อยแต่ เลี่ยงภาษีไม่ได้ ขนาดพ่อค้าแม่ขายที่ถูกกรมสรรพากรเก็บภาษีโดยไปนั่งเฝ้านับชามก๋วยเตี๋ยว จานข้าวมันไก่ว่าขายได้เท่าไร
การเก็บภาษีหุ้นจากบรรณพจน์ กว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องอาศัยอำนาจของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้ เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ที่รื้อเรื่องนี้ขึ้นมา และส่งเรื่องให้กรมสรรพากรดำเนินการเก็บภาษี รวมทั้งยื่นฟ้องอาญาว่าผู้เสียภาษีจงใจหลีกเลี่ยงภาษี ถือว่าเป็นการตบหน้าการทำงานของกรมสรรพากรอย่างแรง
บทเรียนของการไม่เก็บภาษีของกรณีบรรณพจน์ น่าจะเป็นบทเรียนสะกิดใจให้ผู้บริหารกรมสรรพากรเก็บภาษีคนรวยคนจนอย่างเท่า เทียมเพื่อไม่ให้เกิดสองมาตรฐาน หรือความเหลื่อมล้ำในสังคม
ประเภทยิ่งรวยยิ่งมีอำนาจยิ่งเสียภาษีน้อย แต่คนหาเช้ากินค่ำหนีภาษีไม่ได้ และต้องเสียเต็มเม็ดเต็มหน่วยไม่มีตกหล่นอีกต่างหาก
อีกประเด็นที่กรมสรรพากรจะต้องนำมาเป็นกรณีศึกษา คือ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีภาษีบรรณพจน์ ซึ่ง บรรณพจน์ ได้ยกคำพิพากษาศาลฎีกายึดทรัพย์มาอ้างว่า หุ้นที่ตนได้รับเป็นหุ้นของอดีตนายกฯ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าขณะเกิดเหตุจำเลยเป็นเจ้าของหุ้น ดังนั้นก็มีประเด็นที่ต้องพิจารณาว่าต้องเสียภาษีหรือไม่เสียภาษีเท่านั้น
คำตัดสินดังกล่าวน่าจะเป็นประเด็นทำให้กรมสรรพากรต้องคิดหนักว่าทำพลาดไป หรือไม่ที่ไม่ยื่นอุทธรณ์การเก็บภาษี 1.2 หมื่นล้านบาท จาก พานทองแท้ และพินทองทา เพราะอย่างน้อยก็ยังพอเห็นทางชนะไม่ได้ปิดประตูแพ้ เหมือนที่กรมสรรพากรพยายามกล่าวอ้างว่าสู้ไม่ได้ อุทธรณ์ไปก็แพ้
ถึงเวลาแล้วที่กรมสรรพากรต้องหยุดคิด และสร้างมาตรฐานการทำงานและต้องออกมาชี้แจงประเด็นต่างๆ ให้ชัด
เฉพาะการเก็บภาษีหุ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณนั่นก็หนักหนาสาหัสที่สั่นคลอนกรมสรรพากรในอนาคตอันใกล้นี้แน่
เพราะโดยข้อเท็จจริงแล้ว อดีตนายกรัฐมนตรีไม่มีหน้าที่ต้องเสียภาษีหุ้นดังกล่าวแต่อย่างใด และไม่ใช่ได้รับการยกเว้นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่กรมสรรพากรพยายามจะหา เหตุผลมาอรรถาธิบาย
คนที่ต้องเสียภาษีหุ้นที่แท้จริง คือ พานทองแท้ และพินทองทา ที่กรมสรรพากรไม่ยอมอุทธรณ์สู้คดีปล่อยภาษีให้หลุดมือไปแล้ว
หากไม่ยอมรับความจริง ดิ้นไปดิ้นมาจะสร้างความเสียหายให้กรมสรรพากรหมดความน่าเชื่อถือมากขึ้น
ที่สำคัญเรื่องนี้ รมว.คลัง ในฐานะที่กำกับดูแลกรมสรรพากร ต้องกล้าหาญลงมาแก้ไขเรื่องนี้ สร้างความกระจ่างให้กับสังคม ไม่ว่าจะเป็นการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริง และหาคนรับผิดชอบกับเงินภาษีที่เก็บไม่ได้
หาก รมว.คลัง ยังปล่อยวาง อ้างว่าเป็นอำนาจของกรมสรรพากร มรสุมจะวกกลับมาโหมพัดใส่กระทรวงการคลังไปด้วย
ไม่เชื่อโปรดรอดู..