จาก โพสต์ทูเดย์
โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
กลายเป็นเรื่องลุ้นระทึกแบบนาทีต่อนาทีเลยสำหรับสถานการณ์น้ำท่วมในไทย ซึ่งขณะนี้มวลน้ำมหาศาลได้ไหลทะลักเข้าท่วมหลายพื้นที่ของกรุงเทพมหานครเป็น ที่เรียบร้อยแล้ว
แม้อุทกภัยครั้งร้ายแรงนี้กำลังสร้างความบอบช้ำอย่างหนักให้กับคนไทยทั้ง ประเทศ แต่ต้องยอมรับว่าวิกฤตครั้งนี้ได้สะท้อนอะไรหลายๆ อย่างเกี่ยวกับสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นระบบการจัดการภัยพิบัติธรรมชาติที่ไร้ประสิทธิภาพ ภาวะความเป็นผู้นำของผู้นำประเทศ หรือความเห็นแก่ตัวของบางกลุ่มในสังคม
ยิ่งไปกว่านี้ ข้อเท็จจริงสำคัญที่เห็นได้ชัดจากอุทกภัยครั้งนี้ คือ ความแบ่งแยกทางการเมืองอย่างชัดเจนในสังคมไทย โดยความขัดแย้งนี้กำลังกลายเป็นอีกข้อจำกัดสำคัญที่กำลังฉุดรั้งให้การแก้ไข วิกฤตไม่คลี่คลายไปอย่างที่ควรจะเป็น
เอเอฟพี สำนักข่าวต่างชาติเสนอบทความอ้างนักวิชาการชื่อดังจากหลายสำนัก ระบุว่า ในเบื้องต้นหลายฝ่ายเชื่อว่า สองขั้วการเมืองจะสามารถปรองดองท่ามกลางวิกฤตน้ำ เพื่อร่วมกันหาทางแก้ไขสถานการณ์วิปโยคครั้งนี้ได้ ภายหลังจากที่ภาพของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กำลังง่วนหารือกับนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรื่องการแก้น้ำท่วม ได้ถูกตีแผ่ไปทั่วโลก
แต่ไม่น่าเชื่อว่า ภาพอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความปรองดองและความสามัคคีภาพนั้น กลับถูกทำลายลงอย่างรวดเร็ว เมื่อเกิดการ “ปีนเกลียว” ระหว่างรัฐบาลพรรคเพื่อไทยกับ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ส่งผลให้ไม่สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเป็นระบบ และเป็นบูรณาการในการแก้ไขปัญหาและป้องกันน้ำท่วมใน กทม.
ความไม่ลงรอยดังกล่าว ปรากฏชัดเจนทันทีเมื่อผู้ว่าฯ กทม. ประกาศดังๆ ให้ชาว กทม.ฟังเจ้าตัวแต่เพียงผู้เดียว หลังจากที่ก่อนหน้านั้นคนของรัฐบาลอย่าง ปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ออกคำสั่งอพยพสับสน ผิดพลาด จนเกิดความปั่นป่วนขึ้นอย่างหนัก และต้องแถลงรับความผิดพลาดในภายหลัง
อย่างไรก็ตาม การตอบโต้จากรัฐบาลก็ตามมาอย่างทันควัน เมื่อนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประกาศเน้นย้ำว่า กทม.ทำงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบ อุทกภัย (ศปภ.) ของรัฐบาล
เท่านั้นยังไม่พอ ยิ่งลักษณ์ยังงัดไม้แข็งออกมาใช้ ด้วยการประกาศใช้มาตรา 31 พ.ร.บ.ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อรวมศูนย์อำนาจมาไว้ที่นายกรัฐมนตรีแต่เพียงผู้เดียว ภายหลัง กทม.เมินคำสั่งของรัฐบาลให้เปิดประตูระบายน้ำ
เมื่อรัฐบาลและ กทม.ออกคำสั่งและดำเนินการแก้ปัญหาไปคนละทิศละทาง แน่นอนว่า ท้ายที่สุดแล้วจึงส่งผลให้เกิดความสับสนในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ ไปจนถึงความสับสนของชาวกรุงที่กำลังลุ้นระทึกกับมวลน้ำที่จ่อล้นในหลาย พื้นที่
ปวิน ชัชวาลย์พงศ์พันธ์ นักวิจัยแห่งสถาบันการศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่สิงคโปร์ มองว่า วิกฤตน้ำท่วมครั้งนี้กำลังกลายเป็นสนามประลองกำลังระหว่างพรรคเพื่อไทยกับ ประชาธิปัตย์อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
“การแข่งขันระหว่างทั้งสองพรรคในยามวิกฤตเช่นนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงของสังคมไทยว่า เป็นสังคมที่แบ่งแยก โดยความรับผิดชอบต่อสังคมกำลังถูกครอบงำโดยอุดมการณ์ทางการเมือง”
ยิ่งไปกว่านั้น หายนะน้ำท่วมครั้งนี้ยังตอกย้ำถึงความสัมพันธ์อันตึงเครียดระหว่างยิ่ง ลักษณ์กับกองทัพ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าหนุนฝ่ายไหน และต้านฝ่ายไหน
รอยร้าวระหว่างกองทัพและรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เริ่มปรากฏเด่นชัดเมื่อยิ่งลักษณ์ดันทุรังเมินเสียงเรียกร้องของภาคเอกชนและ ฝ่ายค้าน ประกาศกร้าวที่จะไม่ประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน
ด้วยเหตุผลเบื้องหน้าที่อ้างว่าจะกระทบต่อภาพลักษณ์การท่องเที่ยวและความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติที่จะเข้ามาลงทุนในไทย
แต่นักวิเคราะห์ไม่เห็นแค่นั้น โดยมองว่า การตัดสินใจครั้งนี้มีนัยสำคัญซ่อนเร้นอยู่ คือ เป็นความพยายามของรัฐบาลในการสกัดกั้นอำนาจของกองทัพ เนื่องจากการประกาศ พ.ร.ก.จะเป็นการมอบอำนาจให้ทหารเข้ามาจัดการวิกฤตน้ำท่วมได้อย่างเต็มสูบ ซึ่งรัฐบาลได้รับเสียงเตือนจากกลุ่มคนเสื้อแดงมาโดยตลอดว่า ทหารอาจใช้อุทกภัยครั้งนี้เป็นข้ออ้างในก่อรัฐประหารยึดอำนาจอีกครั้งหนึ่ง
พอล แชมเบอร์ส ผู้อำนวยการสำนักการวิจัยเอเชียอาคเนย์ของสากลศึกษา มหาวิทยาลัยพายัพ ระบุว่า โอกาสที่ทหารจะก่อรัฐประหารโดยใช้วิกฤตน้ำท่วมเป็นข้ออ้างนั้นไม่น่าจะเป็น ไปได้
แต่การประสานงานเพื่อแก้ไขสถานการณ์ระหว่างทั้งสองฝ่ายต่างหาก ที่กำลังเผชิญอุปสรรคมากมายและส่งผลให้การทำงานติดขัดไม่ราบรื่นอย่างที่ควร จะเป็น ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า ความขัดแย้งทางการเมืองเหล่านี้ได้ฝังรากลึกในสังคมไทยและจะยังอยู่ต่อไป ปรากฏให้เห็นกันต่อไป แม้ว่าน้ำจะขึ้นหรือหลังน้ำแห้งเมื่อสถานการณ์ต่างๆ เริ่มคลี่คลายลงแล้วก็ตาม
หลังน้ำลด คนไทยน่าจะได้ลุ้นการเมืองเดือดๆ กันอีกรอบ !
สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี
