สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




บทความจาก พญ.ถนอมศรี ศรีชัยกุล คนไทยคนหนึ่งที่เกิดก่อน พ.ศ.2475 กับความประทับใจและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 หลังจากได้ติดตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยชมการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์ตั้งแต่ต้นจนจบ ได้เห็นพระพักตร์ที่ยิ้มแย้มเต็มไปด้วยความรักและเมตตาต่อราษฎรของพระองค์ และพระราชดำรัสอันเป็นอมตะที่รับสั่งชัดเจน แสดงความห่วงใยในความทุกข์ของราษฎร โดยทรงมีพระราชดำรัสว่า

“ท่านทั้งหลายซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองขณะนี้ คงจะทราบดีว่าความมั่นคงของประเทศจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะราษฎรอยู่ดีมีสุข ในขณะนี้เกิดภาวะวิกฤติน้ำท่วม ราษฎรต้องเดือดร้อนและมีความทุกข์ ขอให้ท่านทุกฝ่ายร่วมมือ ร่วมใจ สามัคคี ถนอมน้ำใจกันกระทำการทุกอย่างเพื่อให้ราษฎรพ้นจากความทุกข์อันใหญ่หลวง ประเทศชาติจะได้อยู่รอด มีความมั่นคงและปลอดภัย สำหรับการป้องกันแก้ไขในระยะยาวซึ่งได้แนะนำไปแล้วขอให้อย่าถือเป็นคำสั่ง แต่ให้นำไปพิจารณาแก้ไขโดยเร็วเพื่อมิให้เกิดวิกฤติการณ์ขึ้นอีก”

ผู้เขียนเชื่อว่าพระราชดำรัสนี้ทุกคนที่ได้ยิน ได้ฟัง คงจะเข้าใจถึงความห่วงใยในทุกข์สุขของราษฎรและความมั่นคงของประเทศชาติ ซึ่งมีอยู่เต็มเปี่ยมในพระราชหฤทัย โดยมิได้นึกถึงพระองค์เองแม้แต่น้อย

หลังจากได้ฟังพระราชดำรัสดังกล่าว ผู้เขียนรู้สึกว่าความท้อแท้ ท้อถอย ขึ้งเครียดในความไม่สำนึกของผู้บริหารและนักการเมืองที่ไม่รับผิดชอบต่อหน้าที่จนก่อให้เกิดวิกฤตขึ้นนั้น ได้ลดน้อยลงเป็นลำดับ เกิดความรู้สึกว่าเป็นบุญหนักหนาที่ได้เกิดเป็นคนไทย ได้อยู่ใต้ร่มพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ซึ่งเป็นกษัตริย์องค์เดียวในโลกที่ทรงรักและห่วงใยราษฎรตลอดมา และได้ทรงอุทิศพระวรกายเพื่อราษฎรและประเทศไทยมาจนทุกวันนี้ แม้จะทรงพระประชวรก็มิได้คิดถึงพระองค์เองแม้แต่น้อย  

ผู้เขียนภูมิใจที่เกิดเป็นคนไทย และสัญญากับตนเองว่าจะพยายามทำหน้าที่ของตนเองโดยยึดธรรมะเป็นหลัก ไม่หวั่นไหวต่อกิเลสที่เกิดจากความโกรธ ความกลัว ความย่อท้อเมื่อประสบกับพฤติกรรมที่ไม่พึงพอใจอีกต่อไป

ในชีวิตอันยาวนานของผู้เขียน ได้มีโอกาสเห็นพระราชจริยาวัตรที่ทรงเยี่ยมราษฎรในชนบทถิ่นทุรกันดาร แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีที่ใดที่มิได้เคยเสด็จไปเลย จากการเสด็จเยือนไปทั่วประเทศได้เห็นข้อขัดข้องต่างๆ ซึ่งเกิดจากความด้อยพัฒนาของประเทศ ซึ่งเป็นอุปสรรคทำให้ราษฎรอยู่อย่างลำบากยากแค้น สิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของโครงการพระราชดำริที่เกิดขึ้นมากมาย ส่งผลให้ประเทศเจริญขึ้น ราษฎรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น รู้จักพัฒนาความเป็นอยู่จนสามารถพึ่งตนเองได้

ที่เห็นได้ชัดเจน คือ โครงการเปลี่ยนการปลูกฝิ่นบนเขาและทำไร่เลื่อนลอยให้มาเป็นการเพาะปลูกไม้เมืองหนาว การสร้างเขื่อนต่างๆ เพื่อให้ราษฎรได้มีน้ำสำหรับทำนาได้ผลิตผลดีขึ้น การสร้างคลองลัดโพธิ์ซึ่งช่วยย่นระยะทางให้น้ำไหลลงจากพระประแดงสู่แม่น้ำเจ้าพระยาและปากอ่าวได้รวดเร็วขึ้นหลายสิบเท่า และอีกมากมายหลายประการ ตลอดจนพระบรมราโชวาทซึ่งทรงพระราชทานอยู่เสมอ

กล่าวได้ว่าพระองค์ได้ทรงเสียสละชีวิตทั้งชีวิตเพื่อประเทศไทยในฐานะของพระมหากษัตริย์ซึ่งทรงอยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ไม่มีพระเจ้าแผ่นดินประเทศใดในโลกจะทำได้ดังนี้

ประเทศไทยได้ผ่านวิกฤตการณ์ทางการเมืองมาหลายครั้ง โดยมีการปฏิวัติรัฐประหารต่างๆ ฝ่ายรัฐบาลที่ส่วนใหญ่เข้ามาปกครองประเทศคิดถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเอง น้อยนักที่จะคิดทำประโยชน์ให้แก่ประเทศ วิกฤตการณ์ที่ทำให้เสียเลือดเนื้อ กระทบต่อความมั่นคงของชาติครั้งแรกคือ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งนักศึกษาถูกฆ่าเพราะเรียกร้องประชาธิปไตยจากทหารซึ่งยึดครองประเทศมายาวนาน นักศึกษาส่วนหนึ่งได้หนีเข้าป่าเป็นคอมมิวนิสต์ และกลับมาปรากฏตัวชัดเจนในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีหลายคนเกิดความเข้าใจอันดีกลับมาเป็นพลเมืองดีทำประโยชน์ให้ประเทศ

ครั้งที่สองคือวันที่ 25 พฤษภาคม 2535 (พฤษภาทมิฬ) ราษฎรถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก แต่ละครั้งวิกฤตการณ์ดังกล่าวจบลงด้วยพระบารมีและพระเมตตาปกเกล้าฯ ที่ทรงมีต่อประชาชนชาวไทยเสมอมา ทรงทำให้บ้านเมืองเข้าสู่ภาวะสงบด้วยพระปรีชาญาณอันสุขุม เมตตา และให้เหตุผลแก่ผู้ที่กุมอำนาจในขณะนั้นให้หยุดยั้งไม่เข่นฆ่าประชาชนต่อไป

ขณะนั้นพระองค์ท่านยังทรงมีพระชนมายุไม่มาก ยังทรงมีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ สิ่งเหล่านี้อนุชนรุ่นหลังมิได้ทราบและรับรู้ในพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ มาบัดนี้พระองค์ท่านมีพระชนมพรรษาครบ 7 รอบ  84 พรรษา ทรงพระประชวร สิ่งเดียวที่มิเคยเปลี่ยนแปลงเลยคือ ความรัก ห่วงใยราษฎรและประเทศชาติ ในพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2554 ก็ยังคงห่วงใยราษฎรและประเทศชาติ ทรงเตือนสตินักการเมืองและผู้บริหารประเทศในปัจจุบันให้แก้ไขความทุกข์เข็ญของราษฎร เพื่อให้บ้านเมืองอยู่รอดปลอดภัย แก้ไขในความบกพร่อง มิให้เกิดทุกข์ภัยที่ร้ายแรงในอนาคต สิ่งเหล่านี้คนไทยที่ได้รู้เห็นมาตลอดได้เห็นและซาบซึ้งในพระเมตตาบารมีเหนือเกล้าเหนือกระหม่อม

ผู้เขียนมีความหวังว่าผู้บริหารบ้านเมืองซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักการเมืองซึ่งมักจะคิดแต่ผลประโยชน์ของตนเอง จะใช้ธรรมะ สติปัญญา กลับตัว กลับใจเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนเองในฐานะคนไทยคนหนึ่งให้ดีที่สุด โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรีซึ่งเป็นผู้นำประเทศ แม้จะเป็นคนรุ่นใหม่มิได้มีโอกาสทราบพบเห็นพระราชกรณียกิจของพระองค์ตั้งแต่ต้น แต่ก็คงได้ศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองของประเทศมาตามสมควร ขอให้โปรดใช้สติปัญญา ธรรมะ ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด เพื่อนำพาประเทศไทยให้อยู่รอดปลอดภัยอย่างมั่นคงในอนาคตอันยาวไกล  

ในยามนี้ไม่มีสิ่งใดสำคัญเท่ากับความอยู่รอดของประเทศไทย ซึ่งเป็นที่รักของคนไทยทุกคนที่ร่วมทุกข์สุขบนแผ่นดินไทย

ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่ พ.ศ.2475 สามารถรอดพ้นจากวิกฤตการณ์ต่างๆ  มีโอกาสได้พัฒนามาตามสมควร ทั้งนี้ด้วยพระบารมี พระเมตตาจากน้ำพระทัยที่ทรงห่วงใยราษฎร ความอยู่รอดปลอดภัยของบ้านเมืองโดยพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งซึ่งได้เสียสละมาตลอดพระชนม์ชีพ  

เมื่อครั้งทรงขึ้นครองสิริราชสมบัติ ได้มีพระปฐมบรมราชโองการว่า “เราจักครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”  กาลเวลาที่ผ่านมาราษฎรไทยได้รับพระมหากรุณาธิคุณแห่งพระบารมีปกเกล้าฯมาตลอด ทรงบำบัดทุกข์ บำรุงสุขของราษฎร ดูแลความมั่นคงอยู่รอดของบ้านเมืองตลอดพระชนม์ชีพ โดยมิได้นึกถึงพระองค์เองแม้แต่น้อย

จะมีพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกที่ทรงกระทำดังนี้ได้?

สมควรแล้วที่จะถวายพระสมัญนามว่าทรงเป็น “จอมราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช”  ที่คนไทยถวายความจงรักภักดีและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณตราบชั่วนิรันดร

ขอให้ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ทรงพระเกษมสำราญในพระหฤทัย ทรงสถิตย์อยู่เป็นมิ่งขวัญของราษฎรและประเทศไทยไปนานแสนนาน

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ


สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พีแอนด์อี
ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,จดทะเบียนธุรกิจ,วางระบบบัญชี

Tags : ซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ

view