สั่งจำคุก,สนธิ ลิ้มทองกุล,20ปี
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ศาลสั่งจำคุก"สนธิ ลิ้มทองกุล"อดีตผู้บริหาร "เมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป"20 ปี ผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯรับรองเอกสารอันเป็นเท็จ
ที่ห้องพิจารณาคดี 906 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เมื่อเวลา 14.00 น. ศาลอ่านคำพิพากษาคดีหมายเลขดำ อ.1036/2552 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีเศรษฐกิจและทรัพยากร 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และ แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย , นายสุรเดช มุขยางกูร อดีตกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ,น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ. แมเนเจอร์ฯ และ น.ส.วยุพิน จันทนา อดีตกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ฯ เป็นจำเลยที่ 1-4 ในความผิดฐานกระทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 มาตรา 307, 311, 312 (1) (2) (3) , 313
โดยคดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 29 เม.ย.39 - วันที่ 31 มี.ค.40 จำเลยทั้ง 4 ซึ่งเป็นกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมทำสำเนารายงานการประชุมของกรรมการบริษัทที่เป็นเท็จว่ามีมติให้ บริษัท เป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ให้กับบริษัท เดอะ เอ็ม กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ที่จำเลยที่ 1 เป็นผู้ถือหุ้น กับธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) รวม 6 ครั้ง จำนวน 1,078 ล้านบาท โดยจำเลยที่ 1 และ 3 ไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุมกรรมการบริษัท
และเมื่อวันที่ 30 เม.ย.39 - 18 พ.ย.41 จำเลยทั้งยังร่วมกันยอมให้มีการเปลี่ยนแปลงตัดทอนทำบัญชีไม่ตรงกับความเป็นจริง และจำเลยทั้ง 4 ยังไม่ได้นำภาระการค้ำประกันเงินกู้ดังกล่าวซึ่งถือเป็นรายการที่ทำให้รายได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เปลี่ยนแปลงผิดปกติ ซึ่งต้องแสดงรายการไว้ในงบการเงินประจำปี 2539-2541 และจะต้องนำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ขาดประโยชน์ที่ควรจะได้รับ รวมทั้งเป็นการลวงให้นักลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ได้รับรู้ถึงการค้ำประกันหนี้ดังกล่าว เหตุเกิดที่แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา และแขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กทม. เกี่ยวพันกัน ในชั้นพิจารณาจำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพ
ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบประกอบคำรับสารภาพของจำเลยทั้ง 4 แล้ว รับฟังได้ว่า จำเลยทั้ง 4 ร่วมกันทำสำเนารายงานการประชุมกรรมการ บมจ.แมเนเจอร์ฯ โดยลงชื่อรับรองสำเนาเพื่อแสดงว่ามีกรรมการของบริษัทร่วมประชุมมีมติให้บริษัทค้ำประกันเงินกู้ บมจ.เดอะเอ็ม กรุ๊ปฯ ซึ่งบริษัทดังกล่าวมีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการร่วมอยู่ด้วย โดยสำเนารายการดังกล่าวเป็นเท็จ ซึ่งผู้ตรวจสอบบัญชีได้รายงานกับ กลต. ว่าในช่วงปีที่ผ่าน กรรมการของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ไม่ได้มีการประชุมเรื่องดังกล่าว ซึ่งต่อมาจำเลยที่ 4 ได้นำสำเนาเท็จดังกล่าวไปแสดงต่อ ธนาคารกรุงไทย โดยหลงเชื่อและยินยอมให้ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ค้ำประกันหนี้ กระทั่งธนาคาร กรุงไทย มอบเงินกู้และเงินเบิกเกินบัญชีให้แก่ บมจ. เดอะเอ็มกรุ๊ปฯ รวม 6 ครั้ง เป็นเงิน 1,078 ล้านบาท อันเป็นการกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริตที่ไม่ได้ขออนุมัติจากมติที่ประชุม
นอกจากนี้จำเลยที่ 1, 3 และ 4 ยังลงข้อความในเอกสารของบริษัททำบัญชี โดยไม่ครบถ้วน ไม่ตรงต่อความเป็นจริง ด้วยการไม่นำภาระการค้ำประกันหนี้ลงในรายการภาระหรือรายได้ของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ เพื่อจัดส่งให้ ตลาดหลักทรัพย์ และ กลต. เพื่อลวงให้ผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์ที่ควรได้ ที่เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อประโยชน์ของ บมจ.เดอะเอ็มกรุ๊ปฯ ที่ทำให้เกิดความเสียหาย กับผู้ถือหุ้นและกรรมการคนอื่นของ บมจ.แมเนเจอร์ฯ และธนาคาร กรุงไทย
ส่วนที่จำเลยทั้ง 4 ขอให้รอการลงโทษ ศาลเห็นว่า การกระทำของจำเลยทั้ง 4 ทำให้บริษัทต้องรับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันในเงินกู้ที่เป็นหนี้จำนวนมาก ซึ่งทำให้บริษัท ผู้ถือหุ้น และกรรมการคนอิ่นของบริษัท รวมทั้ง ธนาคารกรุงไทย ต้องได้รับความเสียหาย ในภาระผูกพันหนี้สินดังกล่าว ขณะที่ บมจ.แมเนเจอร์ฯ ต้องนำผลกำไรไปชดใช้หนี้สินแทน ส่วนที่จำเลยทั้ง 4 นำสืบว่า ธนาคารกรุงไทย ได้รับความเสียหาย เนื่องจากธนาคารยอมรับชำระหนี้จาก บมจ.แมเนเจอร์ฯ เพียง 259 ล้านบาท ส่วนที่เหลือ ธนาคารกรุงไทย จะเรียกจากผู้ค้ำประกันรายอื่นนั้น ศาลเห็นว่า แม้การให้สินเชื่อดังกล่าวจะมี บมจ.แมเนเจอร์ฯ ทำสัญญาค้ำประกันไว้ แต่เมื่อธนาคาร กรุงไทย ไม่ได้รับชำระหนี้อย่างครบถ้วนสิ้นเชิง ก็ถือว่าธนาคารกรุงไทย ได้รับความเสียหายแล้ว ส่วนที่บริษัท และบุคคลอื่นจะยินยอมชำระหนี้ให้ธนาคารมากน้อยเพียงใดในภายหลังนั้น ไม่ได้หมายความว่าธนาคารกรุงไทยจะไม่ได้รับความเสียหาย ขอนำสืบของจำเลยทั้ง 4 จึงไม่สมเหตุสมผลไม่มีน้ำหนัก น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ความผิดตามฟ้องมีบทลงโทษให้จำคุก ตั้งแต่ 5 - 10 ปี และปรับเป็นเงินจำนวน 2 เท่าของราคาทรัพย์สิน แต่ไม่ต่ำกว่าจำนวน 5 แสนบาท ถือว่ากฎหมายได้บัญญัติอัตราโทษไว้สูง และ พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ยังมีเจตนารมณ์ให้ลงโทษผู้กระทำผิดในข้อหาต่างๆ สถานหนักดังนั้นพฤติการณ์แห่งคดี จึงไม่มีเหตุให้รอการลงโทษจำเลยทั้ง 4
พิพากษาว่าจำเลยที่ 1และ3 มีความผิดฐานร่วมกันกระทำผิดต่อหน้าที่โดยทุจริตเป็นเหตุให้บริษัทเสียหาย โดยร่วมกันกระทำการแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ , ร่วมกันไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีหรือเอกสารของบริษัท และร่วมกันทำบัญชีไม่ครบถ้วนไม่เป็นปัจจุบัน ไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อลวงให้บริษัท และผู้ถือหุ้นขาดประโยชน์ การกระทำของจำเลยที่ 1และ 3 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรม ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ และ ประมวลกฎหมายอาญา 83,91 รวมจำคุก 17 กระทงละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นเวลา 85 ปี
ส่วนจำเลยที่ 2 ลงโทษจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 4 กระทำความผิดรวม 13 กระทง ลงโทษกระทงละ 5 ปี รวมจำคุกจำเลยที่ 4 เป็นเวลา 65 ปี จำเลยทั้ง 4 ให้การรับสารภาพเป็นโยชน์แก่การพิจารณาคดี ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยที่ 1 และ 3 เป็นเวลา 42 ปี 6 เดือน ส่วนจำเลยที่ 2 จำคุก 2 ปี 6 เดือน และจำเลยที่ 4 จำคุก 32 ปี 6 เดือน แต่โทษสูงสุดในความผิดฐานดังกล่าว กฎหมายกำหนดให้ลงโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 20 ปี จึงลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 , 3 และ 4 คนละ 20 ปี
โดยให้นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากคดีหมายเลขแดง อ.5068/2550 ที่หมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ศาลพิพากษาจำคุก 3 ปี คดีหมายเลขแดง อ.1241/2550 ที่หมิ่นประมาทนายภูมิธรรม เวชชยชัย อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และอดีตรองเลขาธิการพรรคไทยรักไทย ที่ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน และคดีหมายเลขแดง อ.3356/2552 ที่หมิ่นประมาท นายนพดล ปัทมะ อดีต รมว.ต่างประเทศ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ศาลพิพากษาจำคุก 6 เดือน
ส่วนจำเลยที่ 2 ให้นับโทษต่อจากคดีที่ศาลอาญากรุงเทพใต้ หมายเลขแดง อ.2318/2554 ศาลอาญา หมายเลขแดง อ.2990/2552 และคดีที่ศาลจังหวัดเชียงราย หมายเลขแดง อ.823/2551
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังศาลมีคำพิพากษาแล้ว เจ้าหน้าที่ได้คุมตัวนายสนธิ ไปไว้ที่ห้องพักจำเลย โดยนายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความนายสนธิ ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่า 10 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาคำร้องของศาลว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่
ศาลให้ประกัน'สนธิ'10ล้าน คดีผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ศาลให้ประกัน"สนธิ ลิ้มทองกุล"10 ล้าน คดีผิดพ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
ล่าสุดศาลมีคำสั่ง ให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้ก่อตั้งหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ และแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จำเลยที่ 1 ,น.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ อดีตผู้บริหารแผนฟื้นฟู บมจ. แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำเลยที่ 2 และ น.ส.วยุพิน จันทนา อดีตกรรมการกรรมการ บมจ. แมเนเจอร์ฯ จำเลยที่ 4 คดีผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
โดยตีราคาประกันคนละ 10 ล้านบาท หลังนายสุวัฒน์ อภัยภักดิ์ ทนายยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นกรมธรรม์ประกันอิสรภาพ มูลค่าคนละ 10 ล้านบาท
คำต่อคำ “สนธิ ลิ้มทองกุล” เปิดใจ หลังศาลสั่งจำคุกกรณีผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ
จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
ASTVผู้จัดการ - “สนธิ ลิ้มทองกุล” เปิดใจเคารพศาลและกระบวนการยุติธรรม ยอมรับความผิดหลังศาลสั่งจำคุกกรณีทำผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์ฯ ยืนยันไม่เคยหนีแม้จะมีคำสั่งจำคุก 20 ปี เผยอุทธรณ์ขอความเมตตาต่อศาลต่อไป เพราะไม่ได้ “ค้ายา-ปล้นสะดม-เผาเมือง” ชี้ถ้าคนไทยไม่เคารพกระบวนการยุติธรรมประเทศชาติไปไม่รอด
จากกรณีที่วานนี้ (28 ก.พ.) ศาลอาญารัชดา พิพากษาจำคุก 20 ปี นายสนธิ ลิ้มทองกุล ในความผิดตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ จากกรณีการกระทำเมื่อครั้งเป็นกรรมการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ในปี 2539 หลังศาลมีคำสั่งให้ประกันตัวเมื่อช่วงเย็นวานนี้ นายสนธิได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน โดยมีรายละเอียดดังนี้
“คดีความนี้เป็นคดีความที่เกิดขึ้นเมื่อปี 2538 เป็นคดีความเรื่องของผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ เป็นเรื่องของการเอาบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ไปค้ำประกันอีกบริษัทหนึ่ง คดีนี้ได้มีการดำเนินคดีมาสืบเนื่องกันมาตั้งแต่ปี 2539 จนกระทั่งถึงวันนี้ ในการต่อสู้คดีนั้นผมปฏิเสธที่จะต่อสู้คดี ผมยอมรับผิด ผมจะไม่พูดเบื้องหลังว่าใครเป็นคนทำก็แล้วกัน เอาเป็นว่าผมยอมรับในกระบวนการยุติธรรมของไทย วันนี้เป็นวันที่พิสูจน์ชัดเจน ว่าผมพร้อมจะเดินเข้าศาล
ผมโดนลงโทษทั้งหมดเบ็ดเสร็จ 84 ปี (หัวเราะ) 84 ปี (ปานเทพ : 85 ปี) 85 ปี แล้วในที่สุดก็ลดเหลือ 20 ปี ก็เพราะว่าในกฎหมายไม่ให้เกิน 20 ปี ผมใช้สิทธิของผมในการอุทธรณ์เพื่อขอความเมตตาต่อศาลว่า คดีความผมไม่ใช่คดีความค้ายาเสพติดหรือไม่ใช่คดีความของการปล้นสะดม ฆ่าผู้คน เป็นคดีที่ผิดพระราชบัญญัติตลาดหลักทรัพย์ แล้วก็ไม่มีโจทก์ร่วม ประเด็นสำคัญสำหรับผมก็คือว่า ผมได้พิสูจน์ให้สังคมไทยเห็นว่า ผมยอมรับกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ไม่ว่าจะออกมาในรูปแบบไหน
ระหว่างที่ผมฟังคำพิพากษานั้น ผมอดไม่ได้ที่จะขำ ผมขำตรงที่ว่าโดนตรงโน้น โดนตรงนี้ ผมนึกในใจว่า เอ๊ะ! เอาให้ถึงร้อยปีเลยดีไหม ผมเป็นเพียงแต่ขำอย่างเดียวเท่านั้นเอง ว่าผมผิด พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ ผมโดนไป 80 ปี ทั้งๆ ที่ผมไม่ใช่คนที่ค้ายาเสพติด หรือไม่ได้ไปเผาบ้านเผาเมืองใคร แต่ไม่เป็นไร ในฐานะที่ผมรับสารภาพก่อนการสืบคดีสิ้นสุด ศาลสถิตยุติธรรมมีมติที่จะพิพากษาผมอย่างไร ผมก็ยอมรับในคำพิพากษานั้น ไม่ตัดพ้อต่อว่า เพราะผมต้องการทำให้ผมเป็นตัวอย่างให้เห็น ว่าเมื่อผิดต้องยอมรับผิด
และเมื่อต้องคดี ศาลพิพากษามาจะอย่างไรก็ตามที่ศาลพิพากษามา จะยอมรับหมดทุกเรื่อง ไม่มีข้อแม้ ไม่เคยที่จะต้องมาประท้วงศาลว่าศาลไทยไม่ยุติธรรม ไม่เคยที่จะมาตั้งกลุ่มชุมนุมติดป้ายด่าศาล ผมเป็นคนที่เคารพศาลไทยมาตั้งแต่ต้น มาศาลผมก็มา ผมไม่เคยหนีศาล ไม่เคยเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะผมต้องการทำตัวอย่างหลักนิติรัฐให้คนเห็น ว่าถ้าคนยอมรับหลักนิติรัฐแล้วทุกอย่างแก้ปัญหาได้ เพราะว่าคดีผมยังมีอุทธรณ์และฎีกาต่อ และผมก็เชื่อว่าในการอุทธรณ์ของผมนั้นจะมีผลที่ดีขึ้น หรือเลวลง หรือเท่าเดิม ผมก็ยอมรับ
ถ้าผมไม่พอใจผลของศาลอุทธรณ์ ผมก็จะฎีกาต่อไป ในที่สุดศาลฎีกามีผลอย่างไรก็ตาม ผมจะยืดตัวเชิดหน้ายอมรับคำพิพากษาของศาลอย่างไม่ยี่หระ และยอมรับไปทุกกรณี วันนี้ผมออกมาแถลงข่าวเพื่อให้ทราบว่า ผมเคารพในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ผมไม่เคยตีโพยตีพาย ไม่ว่าผมจะโดนคดีกี่คดี โดนสั่งจำคุกมาแล้วกี่คดี ผมไม่เคยตีโพยตีพาย ผมถือว่านี่คือที่พึ่งสุดท้ายของประเทศ
แล้วถ้ากระบวนการยุติธรรมซึ่งคนไทยจะต้องพึ่ง แล้วคนไทยไม่เคารพในกระบวนการยุติธรรม ประเทศชาติไปไหนไม่รอด ในขณะเดียวกันกระบวนการยุติธรรมก็ต้องมีคนในกระบวนการยุติธรรมที่ต้องพร้อม ที่จะให้ความยุติธรรมอย่างยุติธรรมจริงๆ ด้วยความเมตตาธรรมนะครับ ผมมีเพียงแค่นี่ล่ะครับ ขอบคุณมากครับ”
บจ.สำนักงานบัญชีและธุรกิจ พี.เอ.แอล.,สำนักงานสอบบัญชี พี แอนด์ อี,คณะบุคคลที่ปรึกษา พี.เอ.ที.,สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา