สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

111 กลับมาถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

'111 กลับมาถึงเวลาเปลี่ยนแปลง'

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




"สุวัจน์ ลิปตพัลลภ"เผย เมื่อกลุ่ม 111 ได้รับอิสระ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
"เมื่อกลุ่ม 111 ได้รับอิสระพ้นบ่วงพันธนาการกลับมาหลังสิ้นเดือนพฤษภาคม (2555) นี้ ต้องมีการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งการปรับคณะรัฐมนตรีคงจะเป็นเรื่องพื้นฐานที่จะต้องเกิดขึ้น เพราะหลายคนมีศักยภาพที่จะเข้ามาช่วยเหลือประเทศชาติ"

บทสนทนาที่ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวง หนึ่งในสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ซึ่งถูกตัดสิทธิทางการเมืองอันเป็นผลพวงจากการปฏิวัติเมื่อปี 2549 กล่าวด้วยสายตาที่ทอประกายแห่งความหวัง
   
แม้ว่าสถานะที่แท้จริงจะไม่ใช่ผู้เล่นตัวหลัก แต่เป็นที่รู้กันดีว่า บทบาททางการเมืองของ สุวัจน์ ยังคงโดดเด่นในฐานะแกนนำพรรคชาติพัฒนา ซึ่งได้รับโควตาให้กำกับดูแลกระทรวงอุตสาหกรรม
   
"คนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีความสามารถหลากหลายแตกต่างกันออกไป เป็นคนมีฝีมือ ถือเป็นกลุ่มผู้มีความรู้ความอาวุโสทางการเมือง การกลับมาครั้งนี้คงช่วยให้สังคมมีความหวังมากขึ้น เพราะเมื่อได้พักนานถึง 5 ปี หลายคนย่อมมีความกระหายในการทำงาน มีความคึกคัก ขณะที่ประเทศก็ได้รับประโยชน์ คือ กระฉับกระเฉงตามไปด้วย" สุวัจน์ กล่าว
   
เมื่อถามว่าพร้อมจะลงสนามหรือยัง เขากลับตอบว่า ยังตอบไม่ได้ ส่วนตัวยังไม่ได้ตัดสินใจชัดเจน แต่อยากขอร้องให้สมาชิกคนอื่นอย่าทิ้งความรับผิดชอบต่อประเทศ อยากให้กลับเข้ามาช่วยกันสร้างความเรียบร้อยให้กับบ้านเมือง ในฐานะนักการเมืองรุ่นพี่ อย่าทิ้งประชาชน และถ้าพวกเขาไม่กลับมา ก็อยากให้รัฐบาลไปเชิญพวกเขามาทำหน้าที่ ที่คิดว่าเป็นประโยชน์กับประเทศมากที่สุด โดยเฉพาะเรื่องของการสร้างความปรองดอง
   
"ผมเองยังไม่ได้คิดว่าจะต้องมีตำแหน่งอะไรในรัฐบาลหรือไม่ แต่คิดว่าคงจะอยู่ในจุดที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้มากที่สุด ซึ่งช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ผมทำงานด้านกีฬาและท่องเที่ยวเยอะมาก ถือว่าเป็นการช่วยหารายได้เข้าประเทศชาติอีกทางหนึ่ง ดังนั้นผมคงไม่จำเป็นต้องเป็นรัฐมนตรีก็ได้ ให้คนอื่นพูดแทนดีกว่า" สุวัจน์ กล่าวพร้อมรอยยิ้ม
   
แต่ทว่าการได้รับอิสระในครั้งนี้ สุวัจน์ บอกด้วยว่า หากมองอีกมุมหนึ่ง การได้รับอิสระครั้งนี้ไม่ใช่การฉลอง เพราะว่าการเป็นสมาชิกบ้านเลขที่ 111 ถือว่าอยู่ในที่ปลอดภัย ไม่มีใครปองร้าย เปรียบเหมือนกับการอยู่ที่บ้าน ไม่ต้องกังวล แต่หากเราออกจากบ้านเมื่อไหร่ ก็ต้องคอยระวังแล้ว ดังนั้นเมื่อถึงเวลาจริงๆ คงต้องให้เหตุประกอบการตัดสินใจมากพอสมควร ว่าจะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างไร เพราะการเมืองวันนี้เปลี่ยนไปมาก
   
การเมืองในอดีตเป็นการเมืองที่ปรองดอง ทุกคนมีความหมาย มีนัยทางการเมือง เพราะมีหลายพรรค เมื่อเลือกตั้งเสร็จ ก็ต้องมีการจับกลุ่มกันทางการเมืองเพื่อรวบรวมเสียงข้างมากในการจัดตั้งรัฐบาล ทุกคนเป็นเพื่อนกันหมด พูดคุยกันได้ เจอหน้าก็สามารถทักทายกัน แต่การเมืองปัจจุบัน เป็นเรื่องของพรรคใหญ่ 2 ขั้ว ไปแข่งขันกันเรื่องนโยบาย แบ่งแยกฝ่าย แยกข้าง กันอย่างชัดเจน ไม่ค่อยมีความเป็นมิตรกันหลงเหลือมากนัก
   
"ผมว่าการเมืองยุคนี้ไม่ค่อยสนุก มีคู่ชกแค่ 2 ฝ่าย คือเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ขณะเดียวกันทั้งคุณปู (ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) และ มาร์ค (คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ) ต่างก็มีอายุน้อยด้วยกันทั้งคู่ ยังมีการแข่งกันอีกหลายครั้ง ทั้งสองท่านยังมีโอกาสเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีก แม้ว่าหลายคนจะมองว่า เพื่อไทยผูกขาดชนะการเลือกตั้ง แต่ต้องไม่ลืมว่า ไม่มีใครชนะได้ตลอด"
   
ส่วนบทบาทของพรรคชาติพัฒนานั้น สุวัจน์ บอกว่า วันนี้ยังคงตอบไม่ได้ชัดเจน คงต้องรอดูสถานการณ์ไปเรื่อยๆ จนกว่าตนเองจะพ้นโทษทางการเมือง แต่ยอมรับว่า ในอนาคตพรรคขนาดเล็กคงอยู่ยาก และอาจจะกลายเป็นพรรคท้องถิ่นจริงๆ เหมือนพรรคพลังชล ที่มีฐานเสียงชลบุรี ส่วนชาติพัฒนาก็มีฐานเสียงที่โคราช พรรคชาติไทยมีฐานเสียงในแถบสุพรรณบุรี
   
"ต้องยอมรับว่าเสียงน้อยย่อมขาดพลังในการต่อรอง แต่หากพรรคเล็กจะรวมกันเป็นขั้วที่ 3 ทางการเมือง ก็เป็นอีกเรื่อง แต่ก็คงลำบากแสนเข็ญ เพราะเงื่อนไขแต่ละพรรคก็แตกต่างกันออกไป" สุวัจน์ วิเคราะห์ อนาคตพรรคการเมือง
   
ส่วนประเด็นเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญจะนำไปสู่ความขัดแย้งหรือไม่นั้น เขามองว่า การแก้รัฐธรรมนูญหากเป็นที่ยอมรับได้ของทุกฝ่าย ก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา แต่หากจะนำไปสู่ความขัดแย้งจริงๆ พรรคแกนนำรัฐบาลสามารถเลือกเส้นทางการยุบสภา เพื่อให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสินได้ เพราะถือว่าเป็นทำตามกฎกติกา และไม่ได้ผิดมารยาททางการเมือง
   
"บรรยากาศการปรองดองเป็นเรื่องที่ดี เพราะวันนี้ทุกฝ่ายเห็นเหมือนกันว่าต้องปรองดอง แต่จะปรองดองอย่างไรเป็นอีกเรื่อง ถ้าเป็นไปได้ อยากให้ตัวละครหลักที่เกี่ยวข้องมานั่งคุยกัน หรืออาจจะส่งตัวแทนมาก่อนก็ได้ โดยมีคนกลางที่ทุกฝ่ายยอมรับนั่งหัวโต๊ะเจรจา และถ้าอยากให้ประสบความสำเร็จต้องเป็นการเจรจาที่ไม่เป็นทางการก่อน เพื่อจะได้เปิดใจคุยกัน เพราะอะไรที่ไม่เป็นทางการ มักจะนำไปสู่ผลที่เป็นรูปธรรม ส่วนคนกลางที่จะทำหน้าที่ในการเจรจานั้นต้องเป็นที่บารมีเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่าย แต่สำหรับตนเองแล้วถ้ามีส่วนร่วมในการปรองดองก็อยากทำ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเสนอตัวเองมาเป็นคนกลาง แต่อยากมีส่วนร่วม อยากเป็นส่วนหนึ่งที่จะนำประเทศไปสู่ทิศทางที่ดีขึ้น"
   
"ผมไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานแค่ไหนในการสร้างความปรองดอง แต่เชื่อว่าเวลาจะช่วยให้ทุกอย่างดีขึ้น" สุวัจน์ ทิ้งท้าย...


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : 111 กลับมา ถึงเวลาเปลี่ยนแปลง

view