สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ปรับโครงสร้างภาษี รีดคนจนแจกคนรวย

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

นโยบายภาษีของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นของขวัญชิ้นโบแดงสำหรับคนรวยที่โชคหล่นทับ

แต่สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ มนุษย์เงินเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง หนีภาษีไม่ได้ นโยบายภาษีของรัฐบาลนี้ดูเป็นฝันร้ายอยู่ร่ำไป

ตั้งแต่มาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศ รัฐบาลประกาศลดภาษีนิติบุคคลทันที จาก 30% เหลือ 23% ในปีนี้ และเหลือ 20% ในปีหน้า การลดภาษีนายทุนเงินหนา ทำให้รัฐบาลต้องสูญเงินภาษีไปกว่า 1.5 แสนล้านบาทต่อปี

การลดภาษีนิติบุคคลถือว่ามีความจำเป็น เพื่อให้เป็นไปตามสากลของโลกที่อัตราภาษีต่ำกว่าไทย การคงภาษีไว้ในระดับสูงทำให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันลำบากมากขึ้น

นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ เออีซี ในปี 2558 ที่กำแพงภาษีจะถูกทลาย การเคลื่อนย้ายเงินทุน สินค้า และแรงงาน จะเป็นไปได้อย่างเสรี

การที่จะคงภาษีนิติบุคคลไว้ในระดับสูงกว่าประเทศอื่น จะทำให้ผู้ประกอบการหนีไปลงทุนที่อัตราภาษีต่ำจนหมด เป็นผลกระทบกับเศรษฐกิจไทย

อย่างไรก็ตาม การลดภาษีนิติบุคคลอย่างเดียว โดยที่ยังคงอัตราการเก็บภาษีบุคคลธรรมดาไว้ในระดับสูงเหมือนเดิม ทำให้รัฐบาลหนีข้อครหาไม่ได้ว่า เห็นนายทุนคนรวยมาก่อนคนมีรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำ

ตามหลักของการปรับโครงสร้างภาษีควรไปพร้อมกัน คือ ลดภาษีนิติบุคคลและบุคคลธรรมดา และปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT เพื่อไม่ให้กระทบการจัดเก็บรายได้โดยรวม

แต่ที่ผ่านมา รัฐบาลหยิบโหย่ง ลดแต่ภาษีนิติบุคคล เอาใจนายทุน ไม่ขึ้น VAT เพราะไม่ต้องการเสียคะแนนนิยมทางการเมือง

ก็เหลือแต่ภาษีบุคคลธรรมดาที่ยังถูกรีดไปโปะอุดรายได้ที่รัฐบาลไม่ไปลดภาษีให้คนรวย และไม่ยอมขึ้น VAT เพื่อรักษาคะแนนเสียงเท่านั้น

แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐบาลจะออกมาแจงดูให้สวยหรูว่า อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ลดภาษีบุคคลธรรมดาให้ต่ำลง ก็ดูเป็นการซื้อเวลาไม่มีการดำเนินการจริง รวดเร็วเหมือนการลดภาษีนายทุนคนรวย

นอกจากนี้ รัฐบาลปูเข้ามาบริหารประเทศยังไม่ยอมยืนยันร่าง พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ของรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของสภา ทำให้ร่างกฎหมายดังกล่าวต้องตกกระป๋องไปนับหนึ่งกันใหม่

ทั้งที่ พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างถือเป็นกฎหมายการเก็บภาษีทรัพย์สินครั้งแรกของ ประเทศไทย จะเป็นการลดความเหลื่อมล้ำของคนจนและคนรวยให้ลดลง

พูดง่ายๆ คนรวยมีที่ดินมากต้องเสียภาษีมาก และเงินนั้นก็นำไปใช้พัฒนาประเทศให้กับคนทั้งประเทศต่อไป

การไม่ยืนยันร่างดังกล่าวทำให้มองเป็นอย่างอื่นไม่ได้ว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่มีความจริงใจแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำคนรวยคนจนของประเทศให้ลด ลง

นอกจากนี้ การตีตก พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ยังเป็นการปกป้องเงินของคนรวยมีที่ดินสะสมเก็งกำไรเป็นร้อยเป็นพันไร่ ซึ่งหนีไม่พ้นนักการเมืองและนายทุนพรรคจำนวนมากที่มีความสามารถ มีอำนาจเป็นเจ้าของที่ดินได้มากขนาดนั้น

แม้แต่ล่าสุด กิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง ยังออกมาแจงว่า ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน รวมถึงยังมองว่าการเก็บภาษีที่ดิน ที่เป็นที่ดินไม่ได้ก่อให้เกิดรายได้ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง

แนวคิดของ กิตติรัตน์ ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การลดภาษีคนรวยเป็นเรื่องต้องรีบดำเนินการ การเก็บภาษีคนรวยเป็นเรื่องไม่เร่งด่วน และการลดภาษีคนรายได้น้อย หาเช้ากินค่ำ เป็นเรื่องที่ยังต้องศึกษาแล้วศึกษาอีก

นโยบายภาษีของรองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง เรื่องการให้หักลดหย่อนภาษีจากการซื้อหน่วยลงทุนหุ้นระยาว หรือ LTF ได้ปีละ 5 แสนบาท ที่อายุกองทุนจะหมดในปี 2559 โดยจะขยายอายุก่อนทุนโดยไม่มีกำหนด เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ภาษีคนรวยมาก่อนคนรายได้น้อย

แม้ว่า รมว.คลัง จะยืนยันว่า การลดหย่อนภาษีหุ้นไม่ได้เป็นการช่วยคนรวยให้เสียภาษีน้อย แต่เป็นการกระตุ้นการออม ก็ถือว่าเป็นเหตุผลที่คนรายได้น้อยเอื้อมไม่ถึง เงินไม่พอซื้อ LTF ลดหย่อนภาษีกับเขาบ้าง ต้องปวดใจไม่น้อย

นี่ยังไม่รวมกับกรณีที่กรมสรรพากรไม่ยอมเก็บภาษีหุ้นจาก พานทองแท้ พินทองทา และ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จำนวน 1.2 หมื่นล้านบาท โดยพยายามอ้างเหตุผลต่างๆ นานา ที่ให้เก็บไม่ได้ และรอวันหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.นี้ ซึ่งจะถึงในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

แต่กับมนุษย์เงินเดือน คนหาเช้ากินค่ำ กรมสรรพากรกัดไม่ปล่อย ร้านข้าวมันไก่ ข้าวหมูแดง ก๋วยเตี๋ยว ถึงขนาดส่งคนไปนั่งนับชามเก็บภาษี

ขณะที่มนุษย์เงินเดือนนอกจากหนีภาษีไม่ได้ เป็นคนดีของสังคม เวลาขอคืนภาษีแค่หยิบมือหลักพันบาท กรมสรรพากรละเอียดยิบ ขอหลักฐานนับไม่ถ้วน ทั้งที่ยื่นภาษีทางอินเทอร์เน็ตที่กรมสรรพากรคุยนักคุยหนาว่าคืนภาษีภายใน 7 วัน

ไม่ใช่แต่ภาษีกรมสรรพากรเท่านั้น ที่รัฐบาลชงให้คนรวยมีเงินเท่านั้น

ภาษีกรมสรรพสามิต เป็นอีกกรมที่รัฐบาลใช้เป็นช่องหาคะแนนทางการเมืองและปกป้องภาษีนายทุนเศรษฐี

ตั้งแต่รัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศ สั่งลดภาษีน้ำมันดีเซล ทำให้กรมสรรพสามิตบักโกรกรายได้หายไปถึง 45 หมื่นล้านบาท และคาดว่าราคาน้ำมันที่สูงอย่างนี้ต้องลดภาษีไปทั้งปีงบประมาณ 2555 รายได้ของกรมจะหายวูบกว่า 1 แสนล้านบาท

รายได้ที่หายไปมากขนาดนั้น ทางกรมสรรพสามิตพยายามนับครั้งไม่ถ้วนที่จะเสนอให้ฝ่ายการเมืองขึ้นภาษี รายการอื่นหารายได้มาโปะภาษีน้ำมันที่หายไป

ซึ่งภาษีที่กรมสรรพสามิตเสนอ มีทั้งภาษีสุรา เบียร์ ยาสูบ สิ่งแวดล้อม รถยนต์ ซึ่งทั้งหมดจะมีรายได้เข้ามาชดเชยในส่วนที่รัฐบาลลดภาษีน้ำมันหาคะแนนนิยม ทางการเมืองได้

อย่างไรก็ตาม จนแล้วจนรอดฝ่ายการเมืองก็ไม่มีไฟเขียว โดยให้เหตุผลว่าต้องศึกษาให้รอบคอบ

ทั้งหมดเป็นที่รู้กันดีว่า ฝ่ายการเมืองไม่ต้องขึ้นภาษีเกือบทุกรายการที่กรมสรรพสามิตเสนอ เพราะเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ผูกขาดไม่กี่รายได้รับผลกระทบและพยายามวิ่ง เข้าหาฝ่ายการ เมืองให้ชะลอการขึ้นภาษีทั้งหมดมาตลอด

ส่งผลให้การขอขึ้นภาษีสินค้าต่างๆ ของกรมสรรพสามิต เป็นพ่อสายบัวรอเก้อต่อไป

ทั้งหมดเป็นการตอกย้ำนโยบายภาษีของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีว่า มีนโยบายโอนเอียงให้คนรวยและปล่อยให้คนรายได้น้อยหาเช้ากินค่ำเป็นผู้เสีย ภาษีที่ไม่สามารถมีปากเสียงต่อรองกับกรมสรรพากรได้อีกต่อไป

นโยบายที่บิดเบี้ยว แม้ว่าจะส่งผลดีกับนายทุนพรรคการเมืองหรือนักการเมืองที่เป็นเจ้าของธุรกิจได้โชคหล่นทับแล้วหล่นทับอีก

แต่ในแง่ของฐานะการเงินการคลัง ก็อยู่บนความเสี่ยงมากขึ้นเท่านั้น เพราะนโยบายที่รัฐบาลทำอยู่ไม่ได้สร้างความเป็นธรรมให้กับผู้เสียภาษีคนราย ได้น้อยกับคนรวยให้ลดลงเลย ยิ่งมีแต่เพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้ นโยบายของรัฐบาลทำให้การเก็บภาษีโดยรวมอ่อนแอ มีแต่ทรงกับทรุด ยิ่งรัฐบาลเมินการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เป็นหลักของหลายประเทศ ที่รายได้แหล่งสำคัญแหล่งใหญ่มาจากการเก็บภาษีทรัพย์สิน ไม่ใช่ภาษีรายได้

นโยบายการเก็บภาษีของรัฐบาล ทำให้รัฐบาลยังต้องขาดทุนงบประมาณอย่างต่อเนื่องและจะเป็นไปอีกหลายปีข้าง หน้า ซึ่งหากทำไม่ได้ ก็จะทำให้ฐานะการเงินการคลังของประเทศมีปัญหาในที่สุด

ที่สำคัญ นโยบายการเก็บภาษีของรัฐบาลเป็นการหารายได้ตำข้าวสารกรอกหม้อ เอาตัวรอดไปวันๆ ไม่มีเพียงพอ นอกจากใช้ให้มีงบประมาณสมดุลแล้ว ยังมีไม่พอที่จะใช้ในยามสถานการณ์ฉุกเฉินเร่งด่วนไม่คาดคิดอย่างน้ำท่วมที่ ผ่านมา ทำให้รัฐบาลต้องออกกฎหมาย พ.ร.ก.กู้เงินหลายฉบับ รวมเป็นเงินถึง 4 แสนล้านบาท ทำให้หนี้สาธารณะของไทยใน 1-2 ปี นี้ มีสัดส่วนแตะ 50% ของจีดีพี ซึ่งเข้าสู่เขตอันตราย มีรายได้ไม่พอจ่ายหนี้

การที่รัฐบาลยังเพลิดเพลินลดภาษีให้นายทุนคนรวย เมินจะรีดภาษีกลุ่มนี้เพิ่ม เป็นการนำฐานะของประเทศโยนเข้ากองไฟดีๆ นี่เอง

เพราะหากไม่รีบปรับโครงสร้างภาษีให้ถูกต้องตามหลักวิชาการและสากล และเน้นแต่การเมืองมาก่อนเรื่องของประเทศมาทีหลัง ไม่ช้าไม่นานคงได้มีวิกฤตรัฐบาลถังแตกเอาไม่อยู่ขนานแท้เร็วๆ นี้ ไม่นานเกินรอ


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ปรับโครงสร้างภาษี รีดคนจน แจกคนรวย

view