สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

วิเคราะห์คดีทักษิณ : ต่างความคิด (แต่หวังว่า) ไม่ต้องผิดใจกัน

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


โดย : กิตติศักดิ์ ปรกติ

หลังจากศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้อ่านคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ...

ผู้นำทางความคิดและผู้ติดตามข่าวสารบ้านเมืองต่างพากันวิพากษ์ วิจารณ์คำพิพากษา และผลของมันไปในทางต่างๆ กัน
 

ทัศนะที่จะนำมากล่าวต่อไปนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเป็นแนวคิดที่ผิดอย่างสำคัญ แม้จะเชื่อว่าผู้แสดงทัศนะเช่นนั้น ได้แสดงต่อสาธารณชนไว้ด้วยเจตนาดี แต่ด้วยความเคารพกันฉันมิตร ที่เมื่อเห็นข้อผิดก็ต้องคอยเตือนว่า ความเห็นของท่านมีข้อควรได้รับการวิพากษ์เช่นกัน
 

อาจารย์เกษียร เตชะพีระ นักรัฐศาสตร์ชื่อก้องแห่งค่ายธรรมศาสตร์ประกาศมติของท่านว่า "อย่าใช้รัฐประหารแก้คอร์รัปชัน เมื่อใดใช้รัฐประหารแก้คอร์รัปชันมันจะทำลายความชอบธรรมของกระบวนการ ยุติธรรมทั้งหมด นี่เป็นราคาที่แพงมากๆ ...."
 

เป็นความจริงที่ว่าไม่ควรใช้รัฐประหารแก้คอร์รัปชัน เหมือนมะเร็งระยะลุกลามไม่อาจปราบได้ด้วยการผ่าตัด แต่ที่อาจารย์เกษียรกล่าวว่าการรัฐประหารจะทำลายความชอบธรรมของกระบวนการ ยุติธรรมที่ปราบคอร์รัปชันนั้นไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป เพราะการรัฐประหารทุกครั้งแม้จุอ้างว่าเพื่อกำจัดคอร์รัปชัน แต่กระบวนการยุติธรรมไม่จำเป็นต้องกลายเป็นเครื่องมือของเผด็จการ และการรัฐประหารไม่แน่ว่าจะสามารถทำลายความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรมเสมอ ไป
 

ทั้งนี้ เพราะความชอบธรรมของกระบวนการยุติธรรมไม่ได้อยู่ที่อำนาจการเมืองที่มารอง รับ ไม่ว่าจะเป็นอำนาจสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจเผด็จการ หรืออำนาจปวงชน แต่อยู่ที่คุณภาพความมีเหตุผลของคำวินิจฉัย และความเชื่อมั่นว่าผู้ตัดสินคดีเป็นอิสระ ฟังความสองฝ่าย เปิดโอกาสให้ต่อสู้อย่างเต็มที่ พิจารณาคดีโดยเปิดเผย และไม่มีประโยชน์ได้เสียในคดี
 

คราวที่คณะทหารยึดอำนาจการปกครองเมื่อ พ.ศ.2490 หรือพลเอกผิดยึดอำนาจอีกครั้งเมื่อ พ.ศ.2494 และรักษาความสงบไว้ได้ พร้อมทั้งแสดงเจตจำนงที่จะเคารพกฎหมายและรักษากฎหมาย ศาลก็ยอมรับอำนาจปกครองของคณะรัฐประหาร และต่อมาเมื่อจอมพลสฤษดิ์ยึดอำนาจจากจอมพล ป. เมื่อ พ.ศ.2500 และรักษาความสงบไว้ได้ โดยประกาศว่าจะเคารพกฎหมายและรักษากฎหมาย ศาลก็จอมรับอำนาจนั้นอีกเช่นกัน
 

แต่การรับรองอำนาจของคณะรัฐประหารที่ยึดอำนาจสำเร็จและรักษาความสงบไว้ ได้ ไม่ได้แปลว่าศาลต้องเป็นเครื่องมือหรืออยู่ใต้อำนาจบังคับของคณะรัฐประหาร แต่อย่างใด ดังจะเห็นได้ว่า ต่อมาเมื่อพลเอกสุรจิต ลูกน้องคนสำคัญของท่านจอมพลสฤษดิ์ถูกกล่าวหาว่ารับสินบนในคดีกินป่า ศาลก็นำเอาหลักที่คณะทหารประกาศว่าจะเคารพกฎหมายนั้นแหละมาใช้ในการพิพากษา ให้รัฐมนตรีติดคุก เพราะฉ้อราษฎร์บังหลวง ว่ากันว่าท่านจอมพลผ้าขาวม้าแดงพยายามใช้อิทธิพลทุกวิถีทางเพื่อช่วยลูกน้อง แต่ไม่เป็นผล อดีตรัฐมนตรีท่านนั้นถูกจำคุกจนถึงแก่กรรมในคุกนั่นเอง


ครั้นคณะ รสช. ยึดอำนาจการปกครองจากพลเอกชาติชาย ก็อ้างว่าเพื่อแก้คอร์รัปชัน และประกาศตั้งกรรมการยึดทรัพย์รัฐมนตรี แต่ครั้นประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ.2535 ศาลก็พิพากษาว่าคำสั่งยึดทรัพย์ของ รสช. ขัดต่อรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นการตั้งคณะบุคคลที่ไม่ใช้ตุลาการมาใช้อำนาจวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท เสียเอง ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้อำนาจชี้ขาดเช่นนั้นเป็นอำนาจเฉพาะของฝ่ายตุลาการ คำพิพากษานี้แหละที่ส่งผลให้คราวนี้ผู้ยึดอำนาจการปกครอง (คปค. หรือ คมช.) ไม่กล้าใช้อำนาจยึดทรัพย์เสียเอง ต้องปล่อยให้เป็นอำนาจของฝ่ายตุลาการ
 

ถ้าศาลทำตัวเป็นเครื่องมือของอำนาจรัฐประหาร โดยตัดสินคดียึดทรัพย์อย่างปราศจากเหตุผลรองรับ ไม่คุ้มครองสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาอย่างพอเพียง มติของอาจารย์เกษียรก็คงจะน่าฟัง แต่ถ้าศาลตัดสินอย่างมีเหตุผลแจ้งชัด คำพิพากษาก็จะยืนอยู่ได้ด้วยตัวของมัน ยืนอยู่ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยอำนาจรัฐประหาร ในกรณีเช่นนี้มติของอาจารย์เกษียรก็ไม่อาจจะรับฟังได้ไปทั้งหมด
 

พร้อมกันนั้นอาจารย์เกษียรยังได้เสนอต่อไปว่าคำตัดสินคดีนี้ "ฟาดเข้าไปกลางหัวใจทุนนิยม เพราะรัฐสามารถเข้าไปยึดทรัพย์สินของเอกชนได้ เหมือนเชือดไก่ให้ลิงดู จะทำให้ไม่มีกลุ่มทุนใหญ่ที่ไหนกล้าอีก เพราะจะได้เป็นตัวอย่างแล้วว่า โอ้โห...ทำมาหากินแทบเป็นแทบตาย แต่แป๊บเดียวโดนยึดเป็นหมื่นล้าน"
 

การนำเสนอความคิดแบบเหมาเอาง่ายๆ เช่นนี้ออกจะดูเบา ระบบกฎหมายและคุณภาพในการให้เหตุผลขององค์คณะผู้พิพากษาที่ตัดสินคดีนี้เกิน ไป และน่าตกใจที่เป็นความเป็นของนักรัฐศาสตร์ในมหาวิทยาลัยชั้นนำ เพราะไม่แยกแยะเหตุผลของเรื่องเกี่ยวกับคดีนี้ให้ดี
 

โดยเฉพาะการที่ไม่แยกแยะความแตกต่างระหว่างการใช้อำนาจรัฐ "ปล้น" หรือยึดทรัพย์ของเอกชนเอาตามอำเภอใจ กับ "การเรียกคืนทรัพย์" ที่ผู้ดำรงตำแหน่งสาธารณะใช้อำนาจแผ่นดินฉกฉวยเอาโดยใช้อำนาจหน้าที่แสวงหา ประโยชน์ในทางมิชอบกลับมาเป็นของแผ่นดิน อันเป็นหลักกฎหมายที่มีมาช้านานแล้ว อย่างน้อยตั้งแต่คราวประกาศใช้กฎหมายปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบในวง ราชการ พ.ศ.2518
 

หลักกฎหมายนี้เองที่ศาลเคยปรับใช้เมื่อ พ.ศ.2539 ในการยึดทรัพย์สินของอดีตปลัดกระทรวงกลาโหมท่านหนึ่ง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าร่ำรวยผิดปกติ มีทั้งเงิน ทั้งหุ้น อาคาร บ้านและที่ดิน งอกขึ้นมาเป็นเงิน 69 ล้านบาท โดยไม่สามารถอธิบายได้ว่า ได้มาโดยชอบอย่างไร
 

หลักกฎหมายเดียวกันนี้ได้พัฒนาต่อมาเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย การป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และเป็นหลักที่ศาลใช้ตัดสินในคดีอดีตนายกฯ ทักษิณ และจะเป็นหลักที่ต้องใช้แก่รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี แม่ทัพนายกอง และบรรดานายกเทศมนตรี และนายก อ.บ.ต. โดยเสมอหน้ากัน รอแต่เพียงว่าเมื่อใดจะมีผู้กล่าวหาและนำเสนอหลักฐานต่อศาลเท่านั้น
 

ผู้เขียนจะไม่บังอาจยกข้อนี้เป็นข้อโต้แย้งอาจารย์เกษียรเลย ถ้าหากอาจารย์เกษียรไม่ได้เป็นนักอ่าน และไม่เคยรับรู้ว่าระเบียบโลกปัจจุบัน ตกอยู่ภายใต้ภาวะคุกคามของนักธุรกิจการเมืองที่เข้าควบคุมครอบงำรัฐ ใช้อำนาจแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบ จนทำให้ทั่วโลกชวนกันต่อต้าน ถึงขนาดสหประชาชาติประกาศใช้อนุสัญญาต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวงเมื่อ พ.ศ.2546 และโดยที่เชื่อว่าอาจารย์เกษียรรู้หรือควรได้รู้นี้เองจึงต้องเตือนความจำ ด้วยความเคารพว่า หลักเกณฑ์ที่ศาลใช้ในคดีนี้เป็น "การยึดทรัพย์ของผู้ถืออำนาจสาธารณะ" ตามกฎหมายที่วางข้อห้ามไว้แล้วล่วงหน้า ไม่ใช่ "การยึดทรัพย์ของเอกชน" ตามอำเภอใจ
 

ตามอนุสัญญาซึ่งประเทศต่างๆ เป็นภาคีและให้สัตยาบันแล้วถึง 140 ประเทศนี้ ถือหลักว่า หากเจ้าหน้าที่ของรัฐร่ำรวยผิดปกติ โดยไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าตนได้มาโดยชอบ หรือโดยมีหลักฐาน "พอเชื่อได้ว่า" ได้มาโดยมิชอบ แม้จะไม่ถึงขนาดจะ "พิสูจน์ให้ปราศจากข้อสงสัยได้ว่า" ได้มาโดยมิชอบ ก็ให้ยึดทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างผิดปกตินั้นเป็นของแผ่นดินได้ ตามหลักการเรียกคืนทรัพย์สินของแผ่นดิน เป็นเรื่องเรียกทรัพย์คืนแก่ผู้มีสิทธิดีกว่า ไม่ใช้การลงโทษทางอาญา
 

ในแง่นี้อาจารย์เกษียรควรจะช่วยศาลทำความเข้าใจแก่สาธารณชน ไม่ใช่กล่าวลอยๆ ว่า "คำตัดสินวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ได้ฟาดเข้าไปกลางหัวใจทุนนิยม...รัฐสามารถเข้ายึดทรัพย์สินของเอกชนได้"
 

ด้วยความเชื่อในความมีใจเป็นธรรมของอาจารย์เกษียร ผู้เขียนได้แต่หวังว่า การเน้นและลำดับข้อความข้างต้นนี้ มาจากผู้สัมภาษณ์ที่อาจทำให้บริบทของข้อความบางส่วนขาดหายไป
 

ในที่สุดผู้เขียนต้องชมอาจารย์เกษียรที่เตือนตุลาการระมัดระวังในการใช้ อำนาจตุลาการ หรือที่กล่าวว่าควรตั้งตนอยู่ใน Judicial Review ในฐานะเป็นกลไกถ่วงดุลระบอบประชาธิปไตยแบบเสียงข้างมากที่คอยคุ้มครองสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐานของราษฎรเป็นสำคัญ และต้องระวังไม่ก้าวล่วงเข้าไปในแดนอโคจรของการใช้อำนาจตามอำเภอใจโดยไม่มี หลักกฎหมายและหลักเหตุผลรองรับอย่างหนักแน่น เพราะมิฉะนั้นก็จะสูญเสียความชอบธรรมของฝ่ายตุลาการไป
 

แต่อาจารย์เกษียรก็ไม่ควรลืมไปว่า เมื่ออำนาจบริหาร หรืออำนาจนิติบัญญัติได้ใช้อำนาจของตนเกินขอบเขต อำนาจตุลาการก็ต้องมีความกล้าหาญเพียงพอที่จะเข้ามายับยั้งหรือถ่วงดุลอำนาจ เช่นนั้นอย่างมีเหตุผล และความเป็นธรรม การใช้อำนาจเช่นนี้แหละที่เขาเรียกกันว่า ตุลาการภิวัฒน์ หรือ Judicialization ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขอบเขตทั่วโลกหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เพียงแต่ว่ามาเกิดในประเทศไทยช้าไปนิดเท่านั้นเอง แต่ปัญหาเรื่องตุลาการภิวัฒน์นั้นเราคงต้องหาโอกาสถกเถียงกันในวงเวที สาธารณะในโอกาสต่อไป

view