สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ณัฐวุฒิ โวรัฐบาลพยุงยางเกิน100บ.

จาก โพสต์ทูเดย์

'ณัฐวุฒิ'ลั่นรัฐบาลพยุงราคาเกิน 100 บาท99ต่อกก.มั่นใจ พรบ.ยางมีผลบังคับใช้ปีหน้าพร้อมผลิตครูยางเพิ่ม12,000 คน


นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.เกษตรและสหกรณ์  กล่าวระหว่างเปิดการประชุมครูยาง สกย. ประจำปี 2555 รุ่นที่ 3  ของสำนักงานกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง ที่โรงแรมท็อปแลนด์ อ.เมือง จ.พิษณุโลกว่าเนื่องจากตลาดส่งออกยางพารา ได้รับผลกระทบส่งผลให้ราคาตกต่ำ  โดยเฉพาะจากการชะลอตัววิกฤตเศรษฐกิจในประเทศจีน  ทางรัฐบาลจึงได้อนุมัติวงเงิน 10,000 ล้านบาท แทรกแซงราคายางพารา ที่กำลังตกต่ำ  โดยรับซื้อยางพาราดิบจะอยู่ที่ 100 บาทต่อกิโลกรัม และยางแผ่นรมควันอยู่ที่ 104 บาทต่อกิโลกรัม  ซึ่งมีเป้าหมายรับซื้อยางได้ในปริมาณรวม 200,000 ตันเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร ซึ่งขณะนี้ได้ใช้เงินตามโครงการแล้ว 30 % ของงบประมาณ 
 
นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า เป้าหมายของโครงการช่วยเหลือเกษตรกรที่ต้องการให้มีราคาตามนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า รัฐบาลจะรับซื้อยางในราคากิโลกรัมละ 120 บาทในทันที ทั้งนี้ คิดว่าพื้นฐานราคาอยู่ที่ 95-100 บาท แต่อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมีเป้าหมายและพยายามจะทำให้ราคายางกิโลกรัมละ 120 บาท  แต่การขึ้นราคาจะค่อยเป็นค่อนไป โดยล่าสุดวันนี้ราคายางพาราขยับเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานแล้ว กิโลกรัมละ 1 บาท เป็นความหวังให้เกษตรกรชาวสวนยางพารา 
 
อย่างไรก็ตามในส่วน ร่าง พ.ร.บ.การยาง ได้มีการเสนอเข้า ครม.รัฐบาลผ่านความเห็นชอบแล้ว คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ ในปี 2556 นี้อย่างแน่นอน   ส่วนเรื่องการเปิดประตูสู่เศรษฐกิจอาเซียน AEC  ทางกระทรวงเกษตรกรปละสหกรณ์ได้มีการปรับยุทธศาสตร์การผลิตให้เป็นไปตาม กฎหมาย การเตรียมความพร้อมเกษตรกร และมองด้านการตลาด เป็นการฉวยโอกาสเพื่อทำรายได้จากการก้าวสู่ AEC  การค้าเสรีในอนาคตแล้ว
 
นอก จากนี้ทางรัฐบาลยังมีเผ้าหมายปั้นครูยางจากภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียง เหนือ รวม 19 จังหวัด เข้าร่วมการประชุมจำนวนกว่า 600 คน   เพื่อเพิ่มความรู้ประสบการณ์ให้แก่ครูยางเพื่อเป็นผู้ดูแลช่วยเหลือ สกย. นำความรู้ไปถ่ายทอดให้แก่เกษตรกรชาวสวนยาง ซึ่งปัจจุบันทั่วประเทศมีจำนวนกว่า 1,200,000 คน ซึ่งครูยางดังกล่าวจะสามารถดูแลเกษตรกรได้ครอบคลุมทั่วถึง เป็นผลดีต่อการพัฒนาประสิทธิภาพยางพาราและเกษตรกรในอนาคต


“อำมาตย์เต้น” โชว์โง่ พล่านแก้ยางราคาตก หมดเวลาจำอวดลงเวที

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-การคุยโม้โอ้อวดว่ามีฝีมือถึงขึ้นกล้ารับประกันดันราคายางพาราให้สูงถึง 120 บาทต่อกิโลกรัม ของ “อำมาตย์เต้น” ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พิสูจน์ชัดแล้วว่า แกนนำเสื้อแดงที่ได้ดิบได้ดีเพราะตีฝีปากปลุกระดมเผาบ้านเผาเมือง ไม่ได้มีความสามารถเก่งกาจอะไรในการที่จะช่วยพยุงราคายางให้สมคำคุย หนำซ้ำยังหนีหน้าไม่กล้าสู้ความจริงทั้งนายกฯหญิงและลูกน้อง
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ลิ่วล้อพรรคเพื่อไทย ยังแสดงพฤติกรรมเล่นพรรคเล่นพวก เลือกปฏิบัติ พากันคิดตื้นๆ ว่า ชาวสวนยางจากใต้เป็นพวกประชาธิปัตย์ ไม่ต้องไปช่วย ไม่ต้องไปรับเรื่องร้องเรียนจากความเดือดร้อนนี้
       
       ล่าสุด ครม.ยิ่งลักษณ์ ยังมีมติไม่อนุมัติให้นำเงินไปแทรกแซงราคายางเพิ่มเติม 15,000 ล้านบาท หลังจากที่อำมาตย์เต้นเสนอผ่านรมว.กระทรวงเกษตรฯ เข้าไปให้ครม.พิจารณา ขณะที่โครงการรับจำนำข้าวซึ่งสุดจะฉาวโฉ่ ครม.กลับไม่รั้งรอที่จะอนุมัติให้จำนำข้าวในฤดูกาลใหม่กว่า 4 แสนล้านบาท
       
       พรรคเพื่อไทยของ นช.ทักษิณ แกล้งทำเป็นลืมไปว่า ฐานเสียงเพื่อไทยในอีสานและเหนือที่หลงเชื่อน้ำคำทักษิณ-เนวิน เมื่อ 6-7 ปีก่อน พากันเข้าโครงการปลูกยางล้านไร่ ก็ตายหยังเขียดจากราคายางตกต่ำกันถ้วนหน้า เหมือนกัน
       
       ขณะนี้เกษตรกรผู้ปลูกยางในภาคอีสาน ได้รวมตัวกันทวงสัญญาเหมือนชาวสวนยางภาคใต้ ดังเช่น การยกขบวนมาชุมนุมของผู้ปลูกยางชาวจังหวัดสุรินทร์ เพื่อให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำอย่างเร่งด่วนอยู่ในเวลานี้ เพราะไม่เพียงราคาตก แต่ยังหาคนรับซื้อไม่ได้ ส่วนที่รับซื้อก็จ่ายเงินล่าช้า 3 สัปดาห์แล้วยังไม่ได้เงิน
       
       แต่ที่น่าอดสูอย่างยิ่งก็คือ คำแก้ตัวของอำมาตย์เต้นที่ว่าราคายางตกต่ำถือ เป็นความโชคร้าย ที่ยุโรป อเมริกา เผชิญกับเศรษฐกิจตกต่ำ และจีนซึ่งเป็นลูกค้า รายใหญ่ก็ลดปริมาณการสั่งซื้อลง ซึ่งนั่นเป็นความจริงเพียงครึ่งเดียว
       
       หากอำมาตย์เต้น พอจะมีความรู้เรื่องนี้อยู่บ้างและให้ทีมงานทำการบ้านตรวจสอบข้อมูล ก็จะทราบว่า กรมศุลกากรจีน รายงานตัวเลขการนำเข้ายางธรรมชาติในครึ่งปีนี้ จำนวน 9.9 แสนตัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 12.8% ส่วนข่าวสต็อกยางในโกดังที่ท่าเรือชิงเต่าของจีนมีปริมาณสูงกว่า 2 แสนตันเศษก็เป็นการปล่อยข่าวเพื่อกดราคายางให้ต่ำลง เพราะตัวเลขนี้ถือเป็นปริมาณสต็อกยางปกติไม่ได้ล้นเกินแต่อย่างใด
       
       จีนซึ่งเป็นตลาดใหญ่ ยังมีความต้องการยางธรรมชาติเพื่อใช้บริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้นดังตัวเลข ยืนยันจากกรมศุลฯ ของจีนเอง ไม่นับว่าอินเดียซึ่งเป็นตลาดใหญ่เช่นกัน แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ อำมาตย์เต้น รวมถึงกระทรวงพาณิชย์ ไม่ได้เข้าไปทำตลาดนี้เลย จึงเป็นเรื่องน่าแปลกที่อินเดียอยากจะซื้อยางแต่ไทยกลับไม่สนใจจะขายให้ เมื่อมีสินค้าแต่ขายไม่เป็น หรือไม่ทันเหลี่ยมคูของลูกค้า ก็เลยเอาแต่โทษโชคชะตาฟ้าลิขิตไปโน่น
       
       ที่ผ่านมา อำมาตย์เต้น เชื่อว่า โครงการแทรกแซงราคายาง จะสามารถแก้ไขปัญหายางตกต่ำได้เหมือนดังเช่น โครงการรับจำนำข้าว มันสำปะหลัง ที่ลงไปทำแบบเดียวกัน
       
       แต่โครงการแทรกแซงราคายางพาราที่รัฐบาลทุ่มงบประมาณ 15,000 ล้านบาท ให้องค์การสวนยาง (อสย.) 10,000 ล้านบาท และให้สถาบันเกษตรกร 5,000 ล้านบาท นำไปรับซื้อยางจากเกษตรกรในราคานำตลาด คือ ยางแผ่นดิบคุณภาพ ชั้น 3 ราคา 100 บาทต่อกก.และยางแผ่นรมควันชั้น 3 ราคา 104 บาทต่อกก. ผลออกมากลับไม่ช่วยดันราคายางในตลาดให้สูงขึ้นแต่อย่างใด มีแต่ไหลรูดลงสวนทางมาตรการแทรกแซงราคาให้อับอายขายหน้า
       
       นอกจากนี้ เครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยาง ยังพากันแฉว่า โครงการดังกล่าวมีการเอื้อประโยชน์ให้แก่เกษตรกรบางกลุ่มที่เป็นพรรคพวกของ ผู้มีอำนาจ เกษตรกรไม่ได้รับประโยชน์อย่างทั่วถึง ไม่นับว่าการตีเปอร์เซ็นต์ความเข้มข้นของน้ำยาง และการคัดเกรดยาง มีเลือกปฏิบัติอย่างเห็นได้ชัด พวกพ้องที่ใกล้ชิดผู้บริหารอสย. หรือ สกย. ในพื้นที่ รวมทั้งการรับซื้อยางผ่านสถาบันเกษตรกร เช่น สหกรณ์ ชาวสวนยางต้องเป็นสมาชิก ถึงจะได้ขายยางในราคาที่รัฐบาลประกาศแทรกแซง
       
       ความคิดที่เอาแต่จะเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้อง ไม่ต่างไปจากการเตรียมแผนที่จะดันราคายางให้สูงขึ้นโดยรัฐบาลจะเอาเงินไป ซื้อยางในตลาดยางล่วงหน้าเพื่อนำราคาผ่านทางผู้ส่งออกบางกลุ่มที่มีความใกล้ ชิดกับรัฐบาล จนผู้ส่งออกที่ไม่ได้เข้าร่วมและกลุ่มเกษตรกรชาวสวนยางที่มองเห็นความไม่ชอบ มาพากลในเรื่องนี้พากันออกมาโวยจนเรื่องเงียบหายไป
       
       อย่างไรก็ตาม อำมาตย์เต้น พยายามแสดงให้เห็นว่า กำลังแก้ไขปัญหาราคายางตกต่ำที่เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ โดยพกพาความรู้เรื่องยางแค่หางอึ่งเข้าร่วมประชุมไตรภาคีสภาการยาง (ไอทีอาร์ซี) 3 ชาติ ไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย แล้วกลับมาบอกเกษตรกรชาวสวนยางของไทยง่ายๆ ว่าที่ไหนๆ ราคาก็ตกทั้งนั้น เหมือนว่าให้ยอมรับเสียเถอะ ส่วนที่กระผมเคยรับปากจะทำราคาให้ได้ 120 บาทต่อกิโลกรัมนั้น ผมโกหก มันเป็นแค่ฝันกลางวันของกระผมเอง
       
       นอกจากนั้น ที่ประชุมไตรภาคีสภายางพารา ยังกล่อมให้อำมาตย์เต้น ยอมรับมาตรการแก้ไขปัญหาราคาตกต่ำด้วยการลดปริมาณการส่งออกยางของภูมิภาคให้ ได้ 300,000 ตัน โดยให้ไทยลดปริมาณการส่งออกมากที่สุดคือ 45 - 50% หรือ 150,000 ตัน ของเป้าหมายที่จะลดส่งออก ส่วนอินโดฯและมาเลย์ก็ลดลงแต่น้อยกว่าไทยร่วมครึ่ง
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีมาตรการลดการผลิต แบบว่า ตัดโค่นต้นยางทิ้งไปเลย ซึ่งทั้ง 3 ประเทศ จะต้องโค่นต้นยางให้ได้จำนวน 625,000 ไร่ โดยจะมีผลวันที่ 1 ต.ค. 2555 - 31 มี.ค. 2556 และเช่นเดิมไทยต้องโค่นทิ้งมากกว่าอินโดฯ และมาเลเซีย เพราะว่าไทยเป็นประเทศที่ส่งออกยางและมีพื้นที่ปลูกยางมากที่สุด
       
       “การโค่นต้นยางเป็นเรื่องปกติของไทยอยู่แล้วที่มีการโค่นปีละ 3 แสนไร่” อำมาตย์ เต้น โอ่แบบไม่สะทกสะท้าน ทั้งที่มาตรการทั้งลดส่งออกและลดการผลิตโดยตัดโค่นต้นยาง ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรชาวสวนยางทั้งขึ้นทั้งล่อง โดยไม่สามารถรับประกันได้ว่า ราคายางจะผงกหัวขึ้นหรือไม่ หรือถ้าราคาปรับขึ้นจริง ต้นยางก็โค่นทิ้งไปแล้ว รอปลูกใหม่กว่าจะได้ผลผลิตก็อีก 7 ปีข้างหน้า
       
       การไปรับมาตรการลดการส่งออกและลดการผลิตจากที่ประชุมประเทศผู้ผลิต ยางข้างต้นของอำมาตย์เต้น ไม่รู้ว่า ฉลาดหรือโง่กว่าอินโดฯ และมาเลย์ กันแน่
       
       ราคายางตกต่ำกับฝีมือแก้ปัญหาของอำมาตย์เต้นและรัฐบาลปูแดง ที่ไม่เอา อ่าว สุดท้ายแล้วอาจย้อนศรกลับมาทำให้เพื่อไทยตกกระป๋องโดยไม่คาดฝัน เพราะดันมามีปัญหาในช่วงที่ยางพาราในภาคอีสานและเหนือที่เข้าร่วมโครงการยาง ล้านไร่ เมื่อ 6-7 ปีก่อนเปิดกรีดพบดิบพอดี ไหนมาหลอกว่าจะรวย ทำไมซวยแล้วยังไม่ช่วยกันอีกละพี่น้อง!


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ณัฐวุฒิ รัฐบาลพยุงยาง

view