สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

รีดภาษีล่วงหน้าโปะถังแตกยุทธวิธีแก้ผ้าเอาหน้ารอด

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...เกียรติศักดิ์ ผิวเกลี้ยง

โค้งสุดท้ายของการรีดรายได้รัฐบาลปีงบประมาณ 2555 ทำให้รัฐบาลตกอยู่ในภาวะเลือดเข้าตา เพราะรายได้ในรอบ 11 เดือน ตั้งแต่ ก.ย. 2544-ส.ค. 2555 ของปีงบประมาณที่ผ่านมา หลุดกรอบเก็บต่ำกว่าเป้า 2 หมื่นล้านบาท

โดยการเก็บภาษีในเดือน ส.ค. 2555 อาการหนักหนาสาหัสที่สุด รัฐบาลเก็บภาษีได้ต่ำกว่าเป้าถึง 3.23 หมื่นล้านบาท สาเหตุสำคัญมาจากการเก็บภาษีนิติบุคคลของกรมสรรพากรต่ำกว่าเป้าจำนวนมาก จากนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เป็น 23% ของรัฐบาล

สถานการณ์ที่ตกอับส่งผลให้การเก็บภาษีเดือน ก.ย. 2555 ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปีงบประมาณ รัฐบาลที่อยู่ในสภาพที่ไม่มีทางเลือก งัดกลเม็ดทุกอย่างที่ทำให้การเก็บภาษีได้ใกล้เป้ามากที่สุด เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีทางการเมือง ว่าบริหารการเงินการคลังของประเทศล้มเหลว

ด้วยเวลาที่งวดเข้ามาชนิดนับถอยหลังเป็นวัน ทำให้รัฐบาลเล่นเกมเสี่ยง สั่งกรมภาษีรีดภาษีล่วงหน้าจากผู้ประกอบการ หวังมาปิดหีบให้ได้ตามเป้า ทำให้รัฐบาลรอดพ้นจากหน้าแตกและพ้นข้อครหาชักหน้าไม่ถึงหลัง ดีแต่ใช้เงินแต่หาเงินไม่เป็น

กรมสรรพากรที่เป็นเสาหลักรายได้ของรัฐบาล ที่ปีนี้อยู่ในฐานะเสือลำบากเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าในรอบกว่า 10 ปี เพราะเจอมรสุมสารพัดจากน้ำท่วม ทำให้ผู้ประกอบการเจ๊งไม่มีเงินมาเสียภาษี มาตรการลดหย่อนภาษีของรัฐบาลและนโยบายการลดภาษีนิติบุคคลของรัฐบาล ทำรายได้ของกรมสรรพากรหายไปถึง 2 แสนล้านบาท

เมื่อต้องตกอยู่ในภาวะมือตกรีดภาษีไม่เข้าเป้า คาดว่าทั้งปีจะต่ำกว่าเป้าไม่น้อยกว่า 1.5 หมื่นล้านบาท ทำให้กรมสรรพากรต้องกู้หน้าทั้งตัวเองและรักษาหน้าให้รัฐบาล จึงมีคำสั่งออกจากกรมไปถึงสรรพากรเขตทุกพื้นที่ ให้เดินหน้าเกียร์หาเก็บภาษีทุกบาททุกสตางค์เท่าที่ทำได้

ยิ่งไปกว่านั้น กรมสรรพากรขอให้ผู้ประกอบการเสียภาษีรายนั้นเสียภาษีล่วงหน้าได้ ให้ดำเนินการขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการเป็นการด่วน เพื่อให้เงินภาษีเข้ามาก่อนปิดหีบงบประมาณ

แต่ดูเหมือนจะมีปัญหา เพราะปีนี้บรรดา “สรรพากรเขตพื้นที่สรรพากรจังหวัด” ที่เป็นแม่ทัพนายกองในการดำเนินการรีดภาษีต้องเกษียณอายุไปร่วม 20 คน ทำให้งานที่สั่งไปจึงไม่บรรลุเป้า

ขณะที่กรมสรรพสามิตที่คาดว่าจะเก็บภาษีต่ำกว่าเป้า 2.5 หมื่นล้านบาท จากพิษลดภาษีน้ำมันดีเซล ทำภาษีหายไปเดือนละ 9,000 ล้านบาท ก็ไม่น้อยหน้ามีการเดินหน้าขอภาษีจากผู้ประกอบการแถบทุกรายการ เพราะการเสียภาษีของกรมสรรพสามิตเป็นลักษณะของการซื้ออากรแสตมป์ไปติดสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสุรา เบียร์ ยาสูบ เครื่องดื่มผลไม้ เครื่องดื่มชูกำลัง ต่างๆ ดังนั้นผู้ประกอบการขนเงินมาซื้ออากรแสตมป์ไปกองทิ้งไว้ที่โรงงาน เพื่อใช้ติดสินค้าที่จะผลิตออกมา

 

นี่เป็นช่องให้กรมสรรพาสามิตโกยภาษีเข้ารัฐเพิ่มขึ้นได้ในจำนวนไม่น้อย

การดำเนินของกรมสรรพากรและกรมสรรพสามิต ทำให้ผู้ประกอบการอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก จะไม่ให้ความร่วมมือก็เกรงจะถูกตรวจภาษีในอนาคตชนิดทุกตารางนิ้ว

แต่การให้ความร่วมมือก็ทำให้บริษัทต้องแบกรายจ่ายที่ยังไม่ควรเป็นรายจ่าย เป็นการเสียสภาพคล่องของบริษัทแทนที่จะไปใช้ลงทุนอย่างอื่น

เพราะนี่เป็นการเก็บภาษีในปีหน้ามาใช้ในปีนี้

ขณะที่ของกรมศุลกากรถูกขันนอตมาตั้งแต่ก่อนหน้านี้หลายเดือน ทำให้การเก็บภาษีที่เคยรั่วไหลดีขึ้น ส่งผลให้การเก็บภาษีของกรมกระเตื้องขึ้นมาเกินเป้า 1.5 หมื่นล้านบาท ช่วยลดการเก็บรายได้ต่ำกว่าเป้าของรัฐบาลได้เพียงบางส่วน

นอกจากนี้ รัฐบาลยังเดินหน้ารีดรายได้ของรัฐวิสาหกิจเพิ่ม ในลักษณะเดียวกับการเก็บภาษีล่วงหน้า โดยรัฐวิสาหกิจไหนมีเงินเหลือที่ยังลงทุนไม่ทัน ก็ให้ส่งเงินคืนคลังทำเป้ารายได้ก่อน ทำให้การเก็บรายได้ของรัฐวิสาหกิจเกินเป้าถึง 1.5 หมื่นล้านบาท

แม้ว่า สมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) จะออกมายอมรับว่า มีการบริหารจัดการรายได้รัฐบาล โดยการขอภาษีล่วงหน้าเป็นเรื่องปกติที่ทำได้ แต่การดำเนินการที่เป็นการบิดเบือนข้อเท็จจริง จะส่งผลร้ายมากกว่าผลดีในระยะยาว

การรีดภาษีผู้ประกอบการล่วงหน้า หรือการขอรายได้รัฐวิสาหกิจล่วงหน้า มีผลดีทำให้รายได้รัฐบาลกระเตื้องขึ้นจนถึงขั้นไม่ถังแตก แต่นั้นก็เป็นแค่ภาพลวงตาเท่านั้น เพราะการดันทุรังไปนำรายได้ของประเทศมาใช้ก่อน ย่อมส่งผลกระทบให้การเก็บรายได้ของรัฐบาลหนีปัญหาถังแตกไม่พ้นอยู่ดี

นอกจากนี้ การขอภาษีล่วงหน้ายังทำให้รัฐบาลตกเป็นเบี้ยล่างผู้ประกอบการ เพราะผู้ประกอบการที่ยอมจ่ายภาษีล่วงหน้า ย่อมหวังให้รัฐบาลตอบแทนผลประโยชน์คืนในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการลดหย่อนภาษีบางอย่าง การยกเว้นเก็บภาษีบางอย่าง ซึ่งสุดท้ายหักกลบลบหนี้รัฐบาลจะเสียไปมากกว่าที่ได้มา

ขณะเดียวกันการดูดภาษีในอนาคตมาโปะถังแตก ยังทำให้เป้าการเก็บรายได้ของรัฐบาลในปีหน้าผิดเพี้ยน ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ทำให้นักลงทุนไม่เชื่อถือตัวเลขเศรษฐกิจของรัฐบาล เหมือนปีนี้ที่รัฐบาลมีปัญหาเป้าตัวเลขการส่งออกที่ตั้งเป้าสูงเกินจริง ทั้งๆ ที่ทำไม่ได้ก็ไม่ยอมลดเป้า ทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆ ของรัฐบาลหมดมนต์ขลังไม่น่าเชื่อถือ

เบญจา หลุยเจริญ อธิบดีกรมสรรพสามิต ออกมาระบุว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของ สศค. และได้เตือนผู้บังคับบัญชาแล้วว่าการเก็บภาษีต่ำกว่าเป้าปีนี้ เป็นเรื่องที่ยอมรับได้เพราะมีการลดภาษีน้ำมัน ไม่ควรไปเก็บภาษีล่วงหน้าผู้ประกอบการ เพราะนอกจากเก็บมาแล้วก็ไม่สามารถทำรายได้เกินเป้าได้ ยังทำให้การทำงานเก็บภาษีในปีหน้าจะลำบากกว่าปีนี้ จึงไม่รู้ว่าจะทำไปทำไม เพราะไม่ได้แก้ปัญหาเก่าแล้วยังสร้างปัญหาใหม่ขึ้นอีก ยิ่งเป็นการตอกย้ำว่า การรีดภาษีผู้ประกอบการโปะครั้งถังแตกเป็นการเดินมาผิดทาง

การขูดภาษีล่วงหน้าโปะประเทศถังแตก ยังส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจภาพรวมในปีหน้า รายได้ของประเทศที่ดูดไปใช้ก่อนแผนที่วางไว้ ทำให้การเบิกจ่ายในปีหน้ามีปัญหารายได้ไม่พอรายจ่าย รัฐบาลต้องกู้เงินมาเพิ่ม ทำให้การขาดดุลของประเทศยังสูงและหนี้สาธารณะของประเทศก็ยิ่งพุ่งเร็วขึ้น เพราะต้องไปผสมเงินกู้น้ำ 3.5 แสนล้านบาท การกู้ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอีก 2 ล้านล้านบาท ที่รัฐบาลจะเข็นออกมา และเงินกู้จำนำข้าวรอบใหม่อีก 4 แสนล้านบาท ล้วนเป็นตัวเลขสัดส่วนหนี้ของประเทศเข้าเขตอันตราย

รัฐบาลอาจจะเลี่ยงไปใช้เงินคงคลังมาชดเชยรายได้ที่ถูกรีดไปใช้ก่อน แต่สุดท้ายก็ติดล็อกกฎหมายเงินคงคลัง ที่ต้องตั้งงบในปีต่อไปมาใช้ ซึ่งหนีไม่พ้นภาระงบประมาณที่มีปัญหารายได้ไม่พอ ก็ต้องกู้ เป็นซึ่งที่รัฐบาลตกหล่มฉุดไม่ขึ้น เพราะรัฐบาลบริหารการเงินการคลังผิดพลาด ลุยใช้จ่ายลด แลก แจก แถม แต่ไม่ยอมเพิ่มประสิทธิภาพการเก็บรายได้ ทำให้ตกอยู่ในสภาพถังแตกต้องดิ้นรนแก้ไม่ถูกที่ไม่ถูกทางอย่างที่เห็นอยู่ ปัจจุบัน

ที่สำคัญการบริหารจัดการรายได้ต่ำกว่าเป้าแบบขายผ้าเอาหน้ารอด เป็นอันตรายต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ ยิ่งแก้ยิ่งมีปัญหาเพิ่ม นอกจากรายได้ไม่เข้าเป้า ความน่าเชื่อถือฐานะการเงินการคลังของประเทศยังมลายหายสิ้นไปด้วย

นอกจากนี้ การนำรายได้ที่ควรเกิดขึ้นในภายหน้ามาใช้ก่อนนั้น เป็นการสะท้อนภาวะใช้เงินเกินตัวของรัฐบาลและจะต้องแก้ผ้าเอาหน้ารอดในปีต่อ ไป


สำนักงานบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : รีดภาษีล่วงหน้า โปะถังแตก ยุทธวิธีแก้ผ้าเอาหน้ารอด

view