สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน ชัจจ์-สุริยา-สมยศ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน ชัจจ์-สุริยา-สมยศ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

จาก สำนักข่าวอิศรานิวส์

เปิด ปมขัดแย้ง“ชัจจ์  กุลดิลก”รมช.มหาดไทย“สุริยา  ลาภวิสุทธิสิน-สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง”ผ่านคำให้การคดีฟ้องเพิกถอนโอนหุ้น 101 ล้าน - แจ้งเท็จ ป.ป.ช. เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด?  

       ถ้านางวิมลรัตน์ กุลดิลก ไม่ยื่นฟ้องแพ่งนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน   พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.-ตำแหน่งขณะนั้น ปัจจุบัน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.)กับพวกรวม 10 คนเป็นจำเลยต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2554 เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นมูลค่า 101,996,000 บาท (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553) และไม่ถูกนายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หยิบมาอภิปราย พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม 

      สาธารณชนอาจไม่รู้ว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน และพล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ต่างคุ้นเคยกัน  

       สะท้อนได้จากคำให้การของ นางวิมลรัตน์ ต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2554 และคำให้การของ พล.ต.ท.ชัจจ์ ต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2554  สอดคล้องกันว่ารู้จักกันเป็นอย่างดี            

       เรียบเรียงคำให้การของ พล.ต.ท.ชัจจ์ได้ดังนี้

@ชัจจ์-เมีย-พล.ต.ท.สมยศ-สุริยา เกลอเก่า  

       พล.ต.ท.ชัจจ์ให้การว่า เป็นสามีของนางวิมลรัตน์ กุลดิลก  ตัว พล.ต.ท.ชัจจ์  นางวิมลรัตน์   พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (จำเลยที่ 3) และนายสุริยา (จำเลยที่ 1) รู้จักกันมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว โดยนายสุริยาเป็นลูกหนี้กู้ยืมเงินจากนางวิมลรัตน์ และ พล.ต.ท.สมยศ มาโดยตลอด  

       พล.ต.ท.ชัจจ์ และ พล.ต.ท.สมยศ ทราบว่า นายสุริยาเป็นตัวการมีอำนาจควบคุมการดำเนินการกิจการของบริษัท ปิคนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ร้อยละ 99.99% ของบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด (WG)  

       ในช่วงปี 2549 ต่อเนื่องปี 2551  ครอบครัวของพล.ต.ท.ชัจจ์ และพล.ต.ท.สมศ ต่างก็ทราบว่า นายสุริยา และบมจ.ปิคนิค เกิดปัญหาทางการเงินและมีหนี้สินมากจนต้องมีการเข้าแผนฟื้นฟูปรับปรุงโครง สร้างหนี้  ต่อมานายสุริยาได้ไปซื้อ หุ้นบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มาดำเนินกิจการ จนในที่สุด บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด เข้าไปถือหุ้นใหญ่ร้อยละ 99.91 ของหุ้นทั้งหมด ของบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด             

       บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด จึงมีรายได้จากบริษัทลูกคือ บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งมีมูลค่ากิจการสูงถึงประมาณ 800 ล้านบาทตามทุนจดทะเบียน สำหรับหุ้นของนายสุริยาใน บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัดนั้นนายสุริยาไม่ได้ถือไว้ในชื่อของตนเอง แต่ได้ให้ตัวแทนลงชื่อถือหุ้นแทน นายสุริยายังคงมีอำนาจควบคุมที่แท้จริงอยู่

@อ้างเสี่ยปิคนิคติดหนี้ 232 ล้าน  

       พล.ต.ท.ชัจจ์ให้การว่า นายสุริยาเป็นลูกหนี้ของนางวิมลรัตน์ ได้มาขอยืมเงินเพื่อนำไปใช้จ่ายในธุรกิจส่วนตัวมาโดยตลอด การกู้ยืมเงินนั้นมีทั้งการทำสัญญา  และไม่ได้ทำสัญญาเงินกู้ บางครั้งก็มีการนำเช็คมาแลกเป็นเงินสด ตลอดจนการซื้อเครื่องประดับเพชรพลอยจากร้านค้าเพชรพลอยของนางวิมลรัตน์ภรรยา  

      จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2551 นายสุริยามีหนี้สินคงค้างชำระกับนางวิมลรัตน์ภรรยาประมาณ 232 ล้านบาท  ซึ่ง พล.ต.ท.ชัจจ์ และนางวิมลรัตน์ได้ติดตามทวงถามให้นายสุริยาชำระหนี้มาโดยตลอด นายสุริยาได้เจรจาชำระหนี้กับนางวิมลรัตน์โดยตกลงจะนำหุ้นของบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด จำนวน 51%ที่ได้ชำระมูลค่าหุ้นครบถ้วนแล้วมาชำระหนี้แก่นางวิมลรัตน์ ซึ่งหุ้นดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของนายสุริยาแต่ให้ตัวแทนถือหุ้นไว้แทนโดย ณ เวลานั้นมีชื่อนายสุวิทย์ สัจจวิทย์ ตัวแทน เป็นผู้ได้รับโดยหุ้นจากนายธรรมนูญ ทองลือ  (จำเลยที่ 2) ตัวแทนอีกคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่ออยู่ในทะเบียนผู้ถือหุ้นบริษัทฯว่าเป็นผู้ถือหุ้น ซึ่งนางวิมลรัน์ กับนายสุริยามีการนัดหมายกันว่าจะดำเนินการโอนหุ้นให้กับนางวิมลรัตน์  

       ต่อมาวันที่12 พฤศจิกายน 2551 เวลากลางวันนายสุริยาได้นัดนางวิมลรัตน์ให้ไปพบตัวแทนที่ให้ถือหุ้นแทน และผู้เกี่ยวข้อง ที่บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด (จำเลยที่4) เลขที่ 195/13 ชั้น 12  อาคารเลครัชดา ออฟฟิศคอมเพล็กซ์ ถนนรัชดาฯ แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ โดยมีนายสุริยา นายสุวิทย์ สัจจวิทย์ นายสมบัติ สร้อยเงิน และนายโดนัล เอียน แม็คเบน ซึ่งเป็นกรรมการและนายทะเบียนของบริษัท บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด และบุคคลอื่นอีก 2-3 คน  

       นายสุริยาและนายสุวิทย์ได้แจ้งกับนางวิมลรัตน์ว่า นายสุริยาเป็นเจ้าของหุ้น บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด จำนวน 51% หุ้นหมายเลขที่ 00000001-10199600 จำนวน 10,199,600 หุ้น ที่แท้จริง โดยนายสุริยาให้นางธรรมนูญ ทองลือ เป็นตัวแทนถือไว้แทน และนายสุริยาได้ให้นายธรรมนูญทำหนังสือโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้นายสุวิทย์ สัจจวิทย์ ตัวแทนอีกคนหนึ่ง เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2551 โดยทำเป็นหนังสือการโอนหุ้นลงลายมือชื่อ นายธรรมนูญ ผู้โอน นายสุวิทย์ ผู้รับโอน มีนายสมบัติ สร้อยเงิน และนายสุริยาลงลายมือเป็นพยาน มีนายโดนัล เอียน แม็คเบน ลงลายมือชื่อฐานะนายทะเบียนบริษัท ลงนามรับทราบการโอน  ปรากฏตามใบโอนหุ้น ฉบับวันที่ 10 ตุลาคม 2551  

       พล.ต.ท.ชัจจ์ให้การว่า นางวิมลรัตน์ ภรรยา ตกลงรับโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวเป็นการชำระหนี้บางส่วนของนายสุริยา จึงได้ทำหนังสือการโอนหุ้นกัน ปรากฏตามหนังสือใบโอนหุ้น ลงวันที่ 10 พฤศจิกายน 2551 ซึ่งหนังสือฉบับดังกล่าวนายสุริยาได้จัดเตรียมมาโดยจัดทำลงวันที่   10 พฤศจิกายน 2551 แต่ผู้เกี่ยวข้องลงนามกันจริงๆ ในวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551  

@เชิญกินข้าวเจรจาเคลียร์หนี้ที่บ้าน  

      หลังจากนั้น นางวิมลรัตน์ได้โทรศัพท์แจ้งเรื่องนายสุริยาโอนหุ้นเพื่อชำระหนี้บางส่วนให้ พล.ต.ท.ชัจจ์ทราบเรื่อง พล.ต.ท.ชัจจ์จึงได้เชิญนายสุริยา และนายโดนัล เอียน แม็คเบน มาที่บ้านของพล.ต.ท.ชัจจ์เลขที่ 581/14-15 ถนนประชาอุทิศ ซอยสหการประมูล เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ เพื่อรับประทานอาหารและพูดคุยเรื่องการโอนหุ้นชำระหนี้บางส่วน  

      พล.ต.ท.ชัจจ์ให้การว่า ในเย็นวันที่ 12 พฤศจิกายน 2551 นั้นเองในวงอาหาร ได้ร่วมพูดคุยกันถึงเรื่องการโอนหุ้นเพื่อชำระหนี้บางส่วนของนายสุริยาซึ่ง พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้แนะนำให้มีการทำหลักฐานไว้ นายสุริยาจึงได้มีการจัดทำเป็นหนังสือข้อตกลงการชำระหนี้โดยเขียนด้วยลายมือ ของนายสุริยาซึ่งมีนายโดนัล เอียน แม็คเบน ลงนามเป็นพยาน โดยมีข้อตกลงว่า โอนหุ้นของบริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด เป็นหุ้นหมายเลขที่ 00000001-10199600 มูลค่าหุ้นละ 10 บาท คิดเป็นเงิน ประมาณ 101,960,000 บาท โดยเอกสารดังกล่าวทำเพื่อประกอบการโอนหุ้นให้กับ พล.ต.ท.ชัจจ์ โดยมีข้อตกลงเพิ่มเติมว่า หากนายสุริยาชำระหนี้ให้ภายใน 1 ปี นางวิมลรัตน์ภรรยา จะต้องโอนหุ้นคืนให้กับ นายสุริยา หรือ นายสุวิทย์ 

@คุย“สมยศ”หลัง“สุริยา”เผ่นหนีต่างประเทศ  

      หลังจากนายสุริยาชำระหนี้บางส่วนด้วยการโอนหุ้นบริษัท แอสเซ็ทฯ ให้กับ พล.ต.ท.ชัจจ์ แล้ว ในเดือนธันวาคม 2551 พล.ต.ท.ชัจจ์ทราบว่านายสุริยาได้หลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ ไม่สามารถติดต่อได้ พล.ต.ท.ชัจจ์ นางวิมลรัตน์ และ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้พูดคุยปรึกษากันหลายครั้ง เพื่อหาวิธีที่จะได้รับชำระหนี้คืนจากนายสุริยา  

      พล.ต.ท.ชัจจ์และ พล.ต.ท.สมยศทราบกันอยู่แก่ใจแล้วว่าทรัพย์สินของนายสุริยาที่ยังเหลืออยู่ เพียงพอที่จะนำมาชำระหนี้ได้คือหุ้นบริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด จำนวน 51% ที่นายสุริยาให้ตัวแทนถือหุ้นไว้แทน ซึ่งหุ้นจำนวนนี้นางวิมลรัตน์ได้รับโอนเพื่อชำระหนี้บางส่วนจากนายสุริย ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2551 ซึ่ง พล.ต.ท.สมยศก็พยายามติดต่อนายสุริยาให้นำหุ้นจำนวนนี้มาชำระหนี้สินของ พล.ต.ท.สมยศเช่นเดียวกันแต่ไม่สามารถติดต่อนายสุริยาได้   

      ต่อมา พล.ต.ท.ชัจจ์และภรรยาได้ทราบว่าเมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2552  คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาเหลักทรัพย์ (กลต.) ได้มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินผู้ทีถูกกล่าวโทษกรณีทุจริต ยักยอกเงินและทรัพย์สิน บมจ.ปิคนิค โดยมีผู้เกี่ยวข้องคือ บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด นายทะนงศักดิ์ ศรีทองคำ และนายธรรมนูญ ทองลือ เป็นบุคคลที่ถูกล่าวโทษและถูกอายัดทรัพย์ เป็นเหตุให้นางวิมลรัตน์ ไม่ไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นจากจำเลยที่ 2 มาเป็นชื่อของนางวิมลรัตน์เพราะหุ้นดังกล่าวเห็นทรัพย์สินที่ถูกกลต.สั่ง อายัดไว้ แต่นางวิมลรัตน์ก็ยังคงยึดถือหุ้นจำนวนดังกล่าวไว้เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง ซึ่งนายโดนัล ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจ และในฐานะนายทะเบียนบริษัท ได้จดแจ้งชื่อนางวิมลรัตน์ เป็นผู้ถือหุ้นที่ได้รับโอนมาดังกล่าวในสมุดบัญชีผู้ถือหุ้นของบริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด  

      ในช่วงเดือนพฤษภาคม – สิงหาคม 2552  พล.ต.ท.ชัจจ์ นางวิมลรัตน์ พล.ต.ท.สมยศ และนายโดนัล ได้พบพูดคุยกันหลายครั้งเพื่อตกลงเกี่ยวกับการจัดสรรหุ้น บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด ทั้ง 100%  ชำระหนี้ที่นายสุริยามีต่อนางวิมลรัตน์ และ พล.ต.ท.สมยศ ซึ่ง พล.ต.ท.ชัจจ์ได้ยืนยันให้ พล.ต.ท.สมยศทราบว่า นางวิมลรัตน์ได้รับโอนหุ้นของนายสุริยาที่ให้นายธรรมนูญ ทองลือ ตัวแทนถือไว้ทั้งหมด มาถือครองไว้แล้ว โดยมีหนังสือการโอนหุ้นลงลายมือชื่อพยานถูกต้องตามกฎหมาย แต่ยังไมสามารถไปจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือได้เพราะ นายธรรมนูญ ทองลือ ถูก กลต.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สิน

@คนสกุลพุ่มพันธุ์ม่วงชิงโอนหุ้น 101 ล้านให้“สมยศ”  

      พล.ต.ท.ชัจจ์การว่า แต่ตัว พล.ต.ท.ชัจจ์และนางวิมลรัตน์ทราบภายหลังว่า ระหว่างที่มีการเจรจาตกลงกันนั้นว่าเมื่อวันที่  31 กรกฎาคม 2552 นายพิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง (จำเลยที่ 5) เข้ามาเป็นกรรมการบริษัท บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด และนายทนงศักดิ์ ศรีทองคำ  ซึ่งเป็นกรรมการของ บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด ได้ร่วมกันลงลายมือชื่อ ในเอกสาร แบบ บอจ. 5  (บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น) ถึงนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัทกรุงเทพมหานครว่าขอเปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือ หุ้นในส่วนของ นายธรรมนูญ ทองลือ ทั้งหมดมาเป็นชื่อ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง เป็นผู้ถือหุ้นโดยอ้างว่า พล.ต.ท.สมยศได้รับโอนหุ้นมาจาก นายธรรมนูญ ทองลือ และลงทะเบียนผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11  มีนาคม 2552 ซึ่งหุ้นที่มีชื่อ พล.ต.ท.สมยศ ดังกล่าวนั้น เป็นหุ้นจำนวนเดียวกับที่นางวิมลรัตน์ได้รับโอนมาจากนายสุริยาที่ให้นาย ธรรมนูญถือครองแทนไว้ พล.ต.ท.สมยศไม่มีเคยมีกรรมสิทธิ์ในหุ้นจำนวนดังกล่าว  

@ซัดน่าเชื่อทำสัญญาโอนหุ้นย้อนหลัง?  

      พล.ต.ท.ชัจจ์การว่า สัญญาโอนหุ้นระหว่าง นายธรรมนูญ กับ พล.ต.ท.สมยศ  เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 นั้นน่าเชื่อว่ามิได้ทำขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม 2552 จริง แต่เป็นเอกสารที่น่าจะทำขึ้นภายหลัง โดยลงวันที่ ย้อนหลังเป็นวันที่ 11 มีนาคม 2552 ก่อนวันที่  13 มีนาคม 2552 อันเป็นวันที่ กลต.มีคำสั่งอายัดทรัพย์สินของ นายธรรมนูญ เพื่อให้บุคคลเข้าใจว่าได้มีการซื้อขายโอนหุ้นกันก่อนมีคำสั่งอายัด ทรัพย์สิน นายธรรมนูญ เพราะหากมีสัญญาโอนหุ้นกันเมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2552 จริง นายโดนัลซึ่งเป็นตัวแทนของนายสุริยามาตกลงเรื่องหนี้สินย่อมต้องรับรู้ และตั้งแต่เดือนมีนาคม 2552 เป็นต้นมาช่วงระหว่างที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ นางวิมลรัตน์และนายโดนัล และ พล.ต.ท.สมยศ เจรจาตกลงแบ่งสรรหุ้นกันนั้น พล.ต.ท.สมยศ ไม่เคยบอกให้พล.ต.ท.ชัจจ์ และนายโดนับให้ทราบเลยว่า ได้รับโอนหุ้นมาจากนายธรรมนูญแล้ว มีแต่ พล.ต.ท.สมยศเท่านั้นที่บอกให้ พล.ต.ท.สมยศทราบว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ได้รับโอนหุ้นมาจานายสุริยาและตัวแทนแล้ว  

      พล.ต.ท.ชัจจ์ให้การว่า การที่นายธรรมนูญ และ พล.ต.ท.สมยศ จัดทำเอกสารการโอนหุ้นดังกล่าว จึงเป็นการจัดทำเอกสารอันเป็นเท็จซึ่งนางวิมลรัตน์ภรรยาได้แจ้งความร้อง ทุกข์ไว้ต่อพนักงานสอบสวนและได้ยื่นฟ้องคดีไว้ต่อศาลอาญากรุงเทพใต้  

      ตอนท้าย พล.ต.ท.ชัจจ์ให้การว่า หุ้นจำนวนดังกล่าวเป็นของนางวิมลรัตน์ภรรยา เมื่อ นายธรรมนูญ และ พล.ต.ท.สมยศ ได้ร่วมกันจัดทำเอกสารและได้โอนหุ้นจำนวนดังกล่าวให้แก่ จำเลยที่ 5 –ที่ 10  จึงได้หุ้นไปโดยไม่ชอบและต้องร่วมกับ พล.ต.ท.สมยศคืนหุ้นจำนวนดังกล่าวแก่นางวิมลรัตน์  

      คดีนี้นางวิมลรัตน์ฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำเลยที่ 1  นาย ธรรมนูญ ทองลือ จำเลยที่ 2  พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 3  บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด จำเลย ที่ 4  นายพิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 5   นายสง่า รัตนชาติชูชัย จำเลยที่ 6  นายอดุลย์ บุญรอด จำเลยที่ 7  พ.ต.ท.ธีระ หรือ นายธีระ ทองระยับ  จำเลยที่ 8    พ.ต.ท.ภูมินทร์ หรือนายภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 9  นายธีรชัย ลีนะบรรจง จำเลยที่ 10  

      อย่างไรก็ตาม หลังจากนางวิมลรัตน์ยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งเพิกถอนการโอนหุ้นมูลค่า 101,996,000 บาท  ต่อมาวันที่ 19  พฤษภาคม 2554  ฝ่าย พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ยื่นเรื่องต่อประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ  พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ตอนรับตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ปี 2551 กรณีไม่แจ้งว่ามีกู้ให้ยืมนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำนวน  232 ล้านบาท ว่า เข้าข่ายจงใจปกปิดบัญชีฯหรือไม่?  

      เท่ากับต่างฝ่ายต่างไปพิสูจน์ความจริงกันที่ศาลและที่ ป.ป.ช.  

      แลกกันคนละหมัดชนิดรู้ตื้น-ลึก หนา-บาง กันดี? 


สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้ 232 ล้าน ชงประธาน ป.ป.ช.สอบแจ้งเท็จ?

จาก สำนักข่าวอิศรานิวส์

เปิดคำร้อง“สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง”รอง ผบ.ตร.ซัด“ชัจจ์ กุลดิลก”ส่อซุกเมีย-ไม่แจ้งเงินปล่อยกู้ 232 ล้าน ชงข้อมูลประธาน ป.ป.ช.สอบแจ้งบัญชีฯเท็จ?

     ความขัดแย้งระหว่าง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก กับ นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน และ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ปัจจุบัน พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.) ไม่ได้ปรากฏเฉพาะกรณีนางวิมลรัตน์ กุลดิลก  ยื่นฟ้องนายสุริยา พล.ต.ท.สมยศ กับพวกรวม 10 คนเป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2553 เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นมูลค่า 101,996,000 บาท (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553) โดยอ้างว่าหุ้นจำนวนดังกล่าวเป็นหุ้นที่นายสุริยาโอนชำระหนี้บางส่วนให้นาง วิมลรัตน์จากจำนวนหนี้ทั้งหมด 232 ล้านบาท แต่ต่อมาหุ้นกลับถูกโอนไปอยู่ในชื่อ พล.ต.ท.สมยศและบุคคลอื่น  

     (อ่านประกอบ ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน “ชัจจ์-สุริยา-สมยศ” เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด? http://www.isranews.org/investigate/item/18016-ชัจจ์-สุริยา-สมยศ.html)  

     หากยังมีกรณี พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ได้ยื่นเรื่องต่อประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เมื่อวันที่ 19  พฤษภาคม 2554 ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ  พล.ต.ท.ชัจจ์ ตอนรับตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ปี 2551 ว่าจงใจปกปิดบัญชีฯหรือไม่ใน 3  กรณี  

     1.ไม่แจ้งว่ามีเงินกู้ให้ยืมแก่นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำนวน  232 ล้านบาท    

     2.แจ้งในบัญชีทรัพย์สินว่ามีสถานภาพ“หย่า” แต่ กลับเบิกความในศาลแพ่งว่าเป็นสามีนางวิมลรัตน์  

     3.ไม่แจ้งว่ามีรายได้ค่าที่ปรึกษาบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด  

     สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org เรียบเรียงคำร้องเรียนของพล.ต.ท.สมยศ (ยศขณะนั้น) ต่อประธานกรรมการ ป.ป.ช. ในแต่ละประเด็นดังนี้  

กรณีไม่แจ้งว่ามีเงินกู้ให้ยืมแก่นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำนวน 232 ล้าน    

     หนังสือร้องเรียนระบุว่า สืบเนื่องจากกรณีที่นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยาของ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ที่ 1 กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง โดยยืนยันในคำฟ้องว่านางวิมลรัตน์ เป็นเจ้าหนี้ นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำเลยที่ 1 ซึ่งมีมูลหนี้จากกู้เงินที่มีสัญญากู้และไม่มีสัญญากู้ รวมตลอดถึงหนี้ที่เกิดจากการแลกเปลี่ยนเช็ค และการซื้อเครื่องประดับเพชรพลอยจากนางวิมลรัตน์ คิดถึงเดือนพฤศจิกายน 2551 จำนวนรวมกัน 232 ล้านบาท ซึ่ง พล.ต.ท.ชัจจ์  ได้เชิญนายสุริยา มาทำการตกลงในรายละเอียดการชำระหนี้และเงื่อนไขการชำระหนี้จำนวนดังกล่าวให้ กับนางวิมลรัตน์ ตามสำเนาคำฟ้องและหนังสือรับสภาพหนี้ 

     ต่อมาเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2554 นางวิมลรัตน์ ได้เบิกความยืนยันต่อศาลแพ่งว่า เป็นเจ้าหนี้นายสุริยา  ในมูลหนี้คิดถึงเดือนพฤศจิกายน 2551 เป็นจำนวนเงินรวมกันทั้งสิ้น 232 ล้านบาท โดยที่ พล.ต.ท.ชัจจ์   ทราบเรื่องดังกล่าวเป็นอย่างดี เพราะเป็นผู้เชิญนายสุริยาให้มาร่วมตกลงในรายละเอียดการชำระหนี้และเงื่อนไข การชำระหนี้   ณ ที่บ้านของ พล.ต.ท.ชัจจ์  และนางวิมลรัตน์   ยิ่งไปกว่านั้น นางวิมลรัตน์ยังเบิกความยืนยันต่อศาลตอนตอบทนายจำเลยที่ 2 ถามค้านอีกด้วยว่า เงินส่วนหนึ่งที่นำมาให้นายสุริยา กู้ยืมนั้น เป็นเงินของ พล.ต.ท.ชัจจ์     

     โดยที่ในช่วงเวลาดังกล่าว พล.ต.ท.ชัจจ์  เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ในรัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 และพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551

     ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 วรรค 1 ประกอบมาตรา 260 บัญญัติให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการ ทรัพย์สินและหนี้สินของตน คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ทุกครั้งที่เข้ารับตำแหน่ง โดยให้ยื่นภายในกำหนดเวลา 30 วัน นับแต่วันเข้ารับตำแหน่ง , ภายใน 30 วัน นับแต่พ้นจากตำแหน่ง และภายใน 30 วัน นับแต่วันที่พ้นตำแหน่งมาแล้วเป็นเวลา 1 ปี

     ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทนายจำเลยที่ 2  (นายธรรมนูญ ทองลือ จำเลยที่ 2)ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลแพ่งออกหมายเรียกบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและ หนี้สินของ พล.ต.ท.ชัจจ์  ที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.เพื่อตรวจสอบว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้ระบุว่าตนเองและภรรยาเป็นเจ้าหนี้นายสุริยาไว้ในบัญชีฯตามจำนวนหนี้  232 ล้านบาท ตามที่นางวิมลรัตน์ฟ้องและนำสืบต่อศาลหรือไม่  

     ทั้งนี้ เพื่อนำมาประกอบการถามค้าน พล.ต.ท.ชัจจ์  แต่ปรากฏว่าเมื่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. ส่งบัญชีฯของ พล.ต.ท.ชัจจ์  มาศาลแล้ว  ข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า  พล.ต.ท.ชัจจ์ ไม่ได้ระบุถึงยอดหนี้ 232 ล้านในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน   

     ประกอบกับทนายจำเลยที่ 2 ได้ถามค้าน นางวิมลรัตน์  เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2554 เกี่ยวกับเรื่องเงินกู้ในส่วนที่ นางวิมลรัตน์   และพล.ต.ท.ชัจจ์ นำมาให้นายสุริยา   กู้นั้น พล.ต.ท.ชัจจ์ ได้ระบุไว้ในบัญชีฯ ที่ได้ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.  หรือไม่ นางวิมลรัตน์  ตอบว่า  “ไม่ทราบ”

     จากคำถามของทนายจำเลยที่ 2 ที่ได้ถามค้าน นางวิมลรัตน์  ดังกล่าวในวันรุ่งขึ้น (วันที่ 11 มีนาคม 2554) ซึ่งเป็นวัดนัดที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ จะต้องมาเบิกความต่อศาล พล.ต.ท.ชัจจ์ กลับไม่ยอมมาให้การที่ศาล โดยทนายของนางวิมลรัตน์   อ้างว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ ติดภารกิจไม่อาจมาเบิกความต่อศาลได้ในวันนี้ ทั้งที่ก่อนหน้านั้นทนายความของ นางวิมลรัตน์   ก็แถลงยืนยันต่อศาลแล้วว่า จะนำตัว พล.ต.ท.ชัจจ์ มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลแพ่งในวันที่ 11 มีนาคม 2554 และได้ส่งคำเบิกความเป็นลายลักษณ์อักษรต่อศาลแล้วต่อมาในที่สุดทนายความของ นางวิมลรัตน์ ก็แถลงตัดพยานไม่นำ พล.ต.ท.ชัจจ์ มาสืบ  

     กรณีดังกล่าวจึงเป็นข้อพิรุธที่เห็นได้ชัดว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ ไม่กล้ามาเบิกความต่อศาล เพราะเกรงว่าทนายจำเลยที่ 2 จะต้องถามค้านเกี่ยวกับเรื่องหนี้เงินกู้ที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ และภรรยา นำเงินของตนเองไปให้ นายสุริยากู้  

     จากคำรับของนางวิมลรัตน์ตามคำฟ้อง และคำเบิกความของนางวิมลรัตน์รวมตลอดถึงคำเบิกความและข้อพิรุธของ พล.ต.ท.ชัจจ์ ดังกล่าว  จึงรับฟังได้ว่า นางวิมลรัตน์เป็นเจ้าหนี้นายสุริยาเป็นจำนวนเงิน 232 ล้านบาทซึ่งเป็นจำนวนยอดหนี้ที่สูงมาก อีกทั้งเงินที่นำมาให้นายสุริยากู้บางส่วนนั้น ก็เป็นเงินของ พล.ต.ท.ชัจจ์ ดังนั้น พล.ต.ท.ชัจจ์ จึงเป็นเจ้าหนี้เงินกู้นายสุริยาด้วยเช่นกัน

     พล.ต.ท.ชัจจ์ ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เป็นรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ตามที่มีอยู่จริงในวันที่ยื่นบัญชีดังกล่าว ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 ประกอบ มาตรา 260 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พุทธศักราช 2542 มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34  

     ดังนั้นเมื่อ นางวิมลรัตน์  ยืนยันตามคำฟ้องและเบิกความต่อศาลแพ่งว่า นางวิมลรัตน์   และพล.ต.ท.ชัจจ์ เป็นเจ้าหนี้ นายสุริยา คิดถึงเดือน พฤศจิกายน 2551 เป็นจำนวนยอดหนี้รวมกันสูงถึง 232 ล้านบาท อีกทั้งเงินที่นำมาให้นายสุริยา   กู้บางส่วนนั้น ก็เป็นเงินของ พล.ต.ท.ชัจจ์ ดังนั้น พล.ต.ท.ชัจจ์ ในฐานะที่เป็นเจ้าหนี้ของ นายสุริยา  ด้วยเช่นกัน จึงมีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินแสดงรายการว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ และนางวิมลรัตน์   เป็นเจ้าหนี้ นายสุริยา  จำนวน 232 ล้านบาท ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.รวม 3 ครั้ง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550   

     แต่จากหลักฐานบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินของ พล.ต.ท.ชัจจ์ ที่ศาลแพ่งได้มีคำสั่งเรียกมาจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.  นั้นข้อเท็จจริงปรากฏชัดว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ไม่ได้แจ้งแสดงถึงยอดหนี้จำนวนดังกล่าวต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช.  ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 ประกอบ มาตรา 260

กรณีแจ้งสถานภาพ“หย่า”แต่เบิกความในศาลแพ่งว่าเป็นสามีนางวิมลรัตน์  

     คำร้องระบุว่า แม้ว่า พล.ต.ท. ชัจจ์จะยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ระบุ สถานภาพ “หย่า” ก็ตาม แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามทางพิจารณาของศาลแพ่งและปรากฏต่อสังคมทั่วไปว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ ยังคงอยู่กินร่วมกันฉันสามีภรรยากับนางวิมลรัตน์ตลอดมา กล่าวคือ  

     พล.ต.ท.ชัจจ์ ระบุในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 463/83 ถนนลูกหลวง แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต กทม. ซึ่งเป็นบ้านเลขที่เดียวกับ นางวิมลรัตน์  ระบุในคำฟ้องคดีอาญาหมายเลขดำเลขที่ 332/2554 ที่ได้ยื่นต่อศาลอาญากรุงเทพใต้ เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2554 ว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านเลขที่ 463/83 ถนนลูกหลวง แขวงสี่แยกมหานาค เขตดุสิต กทม.จึงแสดงให้เห็นได้โดยชัดเจนว่า บุคคลทั้งสองยังคงอยู่ร่วมกินกันฉันสามีภรรยา ณ ภูมิลำเนาตามบ้านเลขที่หลังดังกล่าว

     นอกจากนี้ในการที่นางวิมลรัตน์  และ พล.ต.ท.ชัจจ์ ทำคำเบิกความเป็นลายลักษณ์อักษรเสนอต่อศาลแพ่งตลอดถึงคำร้องทุกข์กล่าวโทษ ของนางวิมลรัตน์ที่ได้ให้การต่อพนักงานสอบสวน และยืนยันต่อพนักงานสอบสวนว่า บุคคลทั้งสองเป็นสามีภรรยากันโดยไม่มีข้อความตอนใดระบุว่าได้หย่าขาดจากการ เป็นสามีภรรยากันแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามบุคคลทั้งสองยังยืนยันถึงสถานภาพในความเป็นสามีภรรยาของ บุคคลทั้งสองในคำเบิกความที่ได้ยื่นต่อศาลแพ่ง ด้วยข้อความเป็นจำนวนรวมกันไม่น้อยกว่า 20 แห่ง และในคำร้องทุกข์กล่าวโทษ นางวิมลรัตน์  ต่อพนักงานสอบสวน ไม่น้อยกว่า 10 แห่ง

     ยิ่งไปกว่านั้น บุคคลทั้งสองยังเบิกความต่อศาลแพ่งถึงพฤติการณ์ในการให้นายสุริยากู้ยืมเงิน ซึ่งเป็นการแสดงถึงการทำมาหากินร่วมกันอีกด้วยว่า บุคคลทั้งสองได้ร่วมกันนำเงินมาให้นายสุริยากู้และได้ร่วมกันทำบันทึกยอมรับ สภาพหนี้ของนายสุริยาดังที่ได้กราบเรียนมาแล้วข้างต้น นอกจากนี้ พล.ต.ท.ชัจจ์ยังได้แสดงออกต่อสาธารณะชนว่านางวิมลรัตน์เป็นภรรยาของตนด้วย การนำนางวิมลรัตน์ออกงานสังคมร่วมกันโดยตลอดมา ดังปรากฏตามภาพถ่ายสิ่งที่ส่งมาด้วย อีกทั้งจวบจนปัจจุบัน นางวิมลรัตน์ก็ยังคงใช้นามสกุล “กุลดิลก” ของพลต.ท.ชัจจ์  กุลดิลก โดยตลอดมา

     พฤติการณ์ทั้งหมดจึงแสดงให้เห็นว่าบุคคลทั้งสองยังคงอยู่กินร่วมกันฉันสามี ภรรยา ดังนั้น แม้ว่าบุคคลทั้งสองจะได้หย่าขาดจากกันตามที่ พล.ต.ท.ชัจจ์กล่าวอ้างก็ตามแต่เมื่อบุคคลทั้งสองยังอยู่ร่วมกันฉันสามีภรรยา พล.ต.ท.ชัจจ์จึงมีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและ หนี้สินของตนเอง คู่สมรส ตามที่มีอยู่จริงในวันที่ยื่นบัญชีดังกล่าว ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 259 ประกอบ มาตรา 260 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พุทธศักราช 2542 มาตรา 32 มาตรา 33 และมาตรา 34 เช่นเดียวกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกหลายคนที่อยู่กินร่วมกันฉันสามี ภรรยาโดยไม่จดทะเบียนสมรส ก็ได้ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของคู่สมรส (ที่หย่าขาดจากกันแล้ว) ต่อ ป.ป.ช. ด้วยเช่นกัน

     จากเหตุผลดังกล่าวมาแล้วทั้งหมด การหย่าขาดจากการเป็นสามีภรรยาของ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก และนางวิมลรัตน์ กุลดิลก จึงเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อปิดบังอำพรางถึงสถานภาพที่แท้จริงของตนเพื่อ ประโยชน์ในการการปกปิดจำนวนทรัพย์สินที่แท้จริงของตนด้วยความจงใจไม่ยื่น บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริง และ/หรือจงใจปกปิดข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทรัพย์สินของตนเองต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เท่านั้น

กรณีไม่แจ้งว่ามีรายได้เป็นที่ปรึกษาบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด  

     คำร้องเรียนระบุอีกว่า ข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกด้วยว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ มีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัท เวิลด์แก๊ส(ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2552 เป็นจำนวนสูงถึง 733,333 บาท  แต่ พล.ต.ท.ชัจจ์ ก็ไม่ได้ระบุแจ้งในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อเดือนกรกฎาคม 2552 ว่ามีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาในบริษัทดังกล่าวด้วยแต่อย่างใด

     ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงขอให้คณะกรรมการ ป.ป.ช.ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.ชัจจ์ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 263 และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 32 ประกอบมาตรา 34 และมาตรา 119  

     สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า บัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ พล.ต.ท.ชัจจ์ที่ยื่นต่อคณะกรรมการป.ป.ช.ตอนรับตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการ กระทรวงคมนาคม วันที่ 9 สิงหาคม 2554 (หลังถูก พล.ต.ท.สมยศ ยื่นร้องต่อป.ป.ช.วันที่ 19  พฤษภาคม 2554) ระบุสถานภาพ“หย่า”ด้วยเหมือนกัน


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ผ่าปมขัดแย้ง คดีโอนหุ้น 101 ล้าน ชัจจ์ สุริยา สมยศ เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด

view