สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

คำเตือนที่ต้องวิตก

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
สุพรรณี พุฒิพิสุทธิ์



เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา 3 อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกอบด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล , กรณ์ จาติกวณิช และ ธีระชัย ภูวนารถนรานุบาล

ออกโรงวิพากษ์การดำเนินนโยบายด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลอย่างตรงไปตรงมา สรุปความได้ว่า รัฐบาล ไม่มี “หิริโอตัปปะ” หรือ ความละอายต่อการกระทำในการดำเนินนโยบาย พร้อมให้คะแนน “สอบตก” ในการบริหารวินัยการคลังของประเทศ

3 อดีตรัฐมนตรีคลังเตือนว่า ระดับหนี้สาธารณะของประเทศอาจพุ่งจากระดับ 42%ต่อจีดีพี เข้าสู่ระดับ 70-80%ต่อจีดีพี ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หากรัฐบาลยังยืนหยัดบริหารประเทศด้วยนโยบาย “ประชานิยม” โดยนำเงินของลูกหลานในอนาคตมาใช้ แทนที่จะใช้จากรายได้ที่จัดเก็บในแต่ละปี ที่สำคัญ เงินดังกล่าวไม่ได้นำไปใช้เพื่อการลงทุนให้แก่ลูกหลาน แต่ใช้เพื่อกระตุ้นการบริโภคของคนในปัจจุบัน

ม.ร.ว.ปรีดิยาธรบอกว่า ที่น่ากลัวกว่านั้น คือ ประเทศกำลังติดกับดักของคำว่า “ประชาธิปไตย” เหตุผล คือ ที่ผ่านมา เราไม่เคยใช้งบของรัฐในการหาเสียงกับประชาชน แต่รัฐบาลชุดนี้ ได้หาเสียงจากงบประมาณรัฐ ซึ่งได้ผล ฉะนั้น เมื่อรัฐบาลหนึ่งทำได้ รัฐบาลต่อไปก็จะใช้แนวทางเดียวกัน จึงเป็นกับดักประชาธิปไตยที่จะสร้างหนี้ให้กับประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ จนที่สุด จะเกิดปัญหาต่อการคลัง

“เราจะรอดจากกับดักนี้ได้อย่างไร ผมยังหาทางออกไม่เจอ เพราะการใช้งบประชานิยมนั้น ใช้ได้เท่ากันในทุกรัฐบาล เป็นโจทก์ที่ท้าทายการบริหารเศรษฐกิจของประเทศ” ม.ร.ว.ปรีดิยาธรกล่าว

นโยบายที่ถูกวิจารณ์หนักและแนะนำให้ยกเลิก คือ จำนำข้าวทุกเมล็ด เพราะทำให้รัฐสูญเสียเม็ดเงินจำนวนมาก ประเมินคร่าวๆ กันว่า รัฐจะขาดทุนจากการดำเนินโครงการประมาณ 50% ของเม็ดเงินที่ใช้ โดยในปีที่ผ่านมารัฐบาลกู้เงินมาจำนวนประมาณ 4 แสนล้านบาท เพื่อใช้ในโครงการดังกล่าว มีผลขาดทุนประมาณ 2 แสนล้านบาท

หากขาดทุนในระดับนี้ไปประมาณ 5 ปี เท่ากับว่า รัฐขาดทุนไปถึง 1 ล้านล้านบาท ใกล้เคียงกับความเสียหายของกองทุนฟื้นฟูฯที่รัฐนำเงินเข้าไปอุ้มสถาบันการเงินเมื่อครั้งเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 จำนวนประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่า รัฐบาลอาจต้องตั้งกองทุนขึ้นมาอีกกองหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ชำระบัญชีโครงการจำนำข้าวเป็นการเฉพาะ

ขณะที่ รัฐมนตรีคลังคนปัจจุบัน “กิตติรัตน์ ณ ระนอง” ไม่ได้แสดงอาการวิตกตามคำเตือนดังกล่าว พร้อมยืนยันว่า แม้รัฐบาลจะกู้เงินอีก 2 ล้านล้านบาท เพื่อนำมาลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศระยะ 7 ปีครึ่งข้างหน้า ก็จะไม่สักวินาทีใดที่ระดับหนี้สาธารณะของประเทศเกินกว่า 50%ต่อจีดีพี

อย่างไรก็ดี สำหรับแผนลงทุน 2 ล้านล้านบาทดังกล่าวนั้น ไม่มีเสียงคัดค้านจาก 3 อดีตรัฐมนตรีคลังคนเดิม เพราะประเทศไม่มีการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานมานาน แต่ข้อสังเกตหนึ่งที่แนะให้จับตา คือ “ค่าน้ำร้อนน้ำชา” ที่จะเกิดขึ้นต่อโครงการดังกล่าว เป็นการดักคอบรรดานักการเมืองและข้าราชการประจำที่จ้องผลประโยชน์จากโครงการนี้

ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อย้ำให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะรัฐบาล ได้ตระหนักถึงปัญหาที่เกิดขึ้นและกำลังลุกลาม เพราะเมื่อเกิดความเสียหายต่อเงินงบประมาณของประเทศ สุดท้ายแล้ว คนที่ดำเนินนโยบายก็ไม่ได้มีภาระความรับผิดชอบที่มากไปกว่าผู้เสียภาษีคนหนึ่ง


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : คำเตือนที่ต้องวิตก

view