สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดแนวคำพิพากษาศาลฎีกากรณีคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา เทียบเคียงกรณี วิมลรัตน์ เมียชัจจ์ กุลดิลก ปล่อยกู้ 14 ล้านโขกดอกร้อยละ 3 ต่อเดือน

เปิดแนวคำพิพากษาศาลฎีกากรณีคิดดอกเบี้ยเกินอัตรา เทียบเคียงกรณี“วิมลรัตน์”เมียชัจจ์ กุลดิลก ปล่อยกู้ 14 ล้านโขกดอกร้อยละ 3 ต่อเดือน

จากสำนักข่าวอิสรา

     มีแนวคำพิพากษาศาลฎีกา 2 คดีที่ชี้ให้เห็นว่าการที่ นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ทำสัญญาปล่อยกู้ให้แก่ นายไชยรัตน์ มโนมัยวิบูลย์ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 517/488 หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี “ลูกหนี้” วงเงิน 14 ล้านบาทในอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน อาจส่อว่าเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดร้อยละ 15 ต่อปีหรือไม่?

 

     แนวคำพิพากษาคดีแรก (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6465/2552) ระหว่าง บริษัท มีนามาร์เก็ตติ้ง จำกัด โจทก์ กับ นางรัศมี กิติรัตนสัมพันธ์ หรือ เสนาแพทย์ กับพวก จำเลย

     โจทก์เป็นบริษัทจำกัดที่ประกอบกิจการให้เช่าซื้อทรัพย์สินและให้กู้เงิน เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์เป็นสถาบันการเงินตามกฎหมาย การเรียกดอกเบี้ยเงินกู้ของโจทก์จึงต้องอยู่ภายใต้บังคับของ ป.พ.พ. มาตรา 654 และ พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ.2475 มาตรา 3 ดอกเบี้ยที่โจทก์เรียกเก็บในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือน และค่าธรรมเนียมที่โจทก์หักไว้ล่วงหน้าซึ่งคิดแล้วเกินอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จึงฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายและตกเป็นโมฆะ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวรวมทั้งค่าธรรมเนียมจากจำเลย ทั้งสองได้ ต้องนำดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมที่โจทก์เรียกเก็บล่วงหน้าไปแล้วทั้งหมดหัก ออกจากเงินต้นตามสัญญากู้

     ส่วน ดอกเบี้ยซึ่งกำหนดตามสัญญาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่โจทก์คิดจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือน หรือร้อยละ 30 ต่อปี ซึ่งเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดให้เรียกดอกเบี้ยได้ ตกเป็นโมฆะ โจทก์จะกลับมาใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ตามกำหนดในสัญญาอีกไม่ได้ คงเรียกได้เพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 3 พฤษภาคม 2550 อันเป็นวันถัดจากวันครบกำหนดชำระหนี้ตามสัญญากู้เงินตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง

     แนว คำพิพากษาคดีที่สอง (คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4738/2552) ระหว่าง นายพรศักดิ์ เพ็ชรตระกูลชาติ โจทก์ กับ นางนุชพร หางแก้ว กับพวก จำเลย 

     จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 20,000 บาท ตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน แต่ได้รับเงินกู้จากโจทก์เพียง 16,000 บาท เพราะโจทก์หักไว้เป็นค่าดอกเบี้ยล่วงหน้า 2 เดือน และโจทก์ให้จำเลยที่ 1 เขียนสัญญากู้ยืมเงินว่ากู้เงินโจทก์จำนวน 160,000 บาท อันผิดไปจากความจริง 

     อย่างไรก็ตามที่สัญญากู้ระบุจำนวนเงินกู้ไว้จำนวน 160,000 บาท แต่จำเลยต่อสู้และนำสืบหักล้างฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์เพียงจำนวน 20,000 บาท ก็เป็นเพียงการทำให้จำนวนหนี้ในสัญญากู้ไม่สมบูรณ์เท่านั้นหาใช่ทำให้เป็น สัญญากู้ปลอมแต่อย่างใดไม่

     โจทก์จึงอาศัยสัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมาฟ้องร้องบังคับให้ชำระหนี้เงินกู้ ยืมที่แท้จริงจำนวน 20,000 บาท ได้ จำเลยที่ 1 ผู้กู้และจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันอย่างลูกหนี้ร่วมจึงต้องร่วมรับผิดชดใช้ต้นเงินจำนวน 20,000 บาท ให้แก่โจทก์ ทั้งนี้โดยจำเลยทั้งสองไม่มีสิทธินำเงินจำนวน 4,000 บาท ซึ่งเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน รวม 2 เดือน ที่จำเลยที่ 1 ยินยอมให้โจทก์หักไว้ขณะทำสัญญากู้ยืมเงินมาหักชำระหนี้ต้นเงินได้

     เพราะเป็นการชำระหนี้ตามอำเภอใจและฝ่าฝืนข้อห้ามตามกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 407 และมาตรา 411 

     สำหรับข้อตกลงดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ที่ระบุไว้ในสัญญากู้ยืมเงินนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ขณะทำสัญญาคู่สัญญามิได้มีเจตนาจะคิดดอกเบี้ยกันในอัตราดังกล่าว แต่ตกลงให้โจทก์คิดในอัตราร้อยละ 10 ต่อเดือน อันเป็นการคิดดอกเบี้ยเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เป็นการฝ่าฝืน พ.ร.บ.ห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราฯ มาตรา 3 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 654 มีผลให้ดอกเบี้ยดังกล่าวตกเป็นโมฆะเสียแล้ว

     โจทก์จึงไม่อาจคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองได้ แต่เนื่องจากกรณีเป็นหนี้เงิน โจทก์ย่อมมีสิทธิคิดอกเบี้ยในระหว่างผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ซึ่งคดีนี้สัญญากู้ยืมเงินมีข้อตกลงให้ชำระเงินที่กู้ยืมคืนภายในวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2544 อันเป็นกำหนดเวลาชำระหนี้แน่นอนตามวันแห่งปฏิทิน

     โจทก์ จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยทั้งสองในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 20,000 บาท นับแต่วันผิดนัดคือวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2544 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ และเมื่อความรับผิดของจำเลยทั้งสองเป็นการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้

     แม้จำเลยที่ 2 มิได้ฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 247

    (อ่านประกอบ http://www.isranews.org/investigate/investigative-01/item/18415-“ชัจจ์”โชว์เช็ค-2-ฉบับ-14-ล้าน-เมียปล่อยกู้ดอกเบี้ยร้อยละ-3-ต่อเดือน.html)


ชัจจ์”โชว์เช็ค 2 ฉบับ 14 ล้าน เมียปล่อยกู้ดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน

จากสำนักข่าวอิสรา

ลูกหนี้เมีย 2 ฉบับ 14 ล้าน “วิมลรัตน์ กุลดิลก”ทำสัญญาปล่อยกู้นักธุรกิจคิดดอกเบี้ยร้อยละ 3 ต่อเดือน

  

     ลูกหนี้ 3 ราย(จากจำนวน 5 ราย)ของนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดีอาญา พ.ร.บ.เช็ค (จ่ายเช็คเด้ง) ตามที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการป้องกัน และปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตอนพ้นตำแหน่งส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ครบ 1 ปี วันที่ 24 สิงหาคม 2555 คือนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำนวน 108 ล้านบาท  นายสมพงษ์ วิทยารักษ์สรรค์   จำนวน 40 ล้านบาท  และนายพรชัย  มโนมัยวิบูลย์  จำนวน  14 ล้านบาท 

     ในจำนวนนี้ 1 รายที่ พล.ต.ท.ชัจจ์แสดงสำเนาสัญญากู้ยืมเงินและสำเนาเช็คเงินสดต่อ ป.ป.ช.คือ นายไชยรัตน์ มโนมัยวิบูลย์ (แต่สำเนาสัญญาเงินกู้มิได้ปรากฏชื่อนายพรชัยเป็นผู้กู้ หากแต่เป็นชื่อ ระหว่างนายไชยรัตน์ มโนมัยวิบูลย์ ในฐานะผู้กู้ กับ นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ในฐานะผู้ให้กู้)  

     สัญญากู้ยืมเงินระบุว่า ทำขึ้นวันที่ 28 กันยายน 2554 ที่บ้านเลขที่ 584/14 ถ.ประชาอุทิศ แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กทม.  ระหว่างนายไชยรัตน์ มโนมัยวิบูลย์ อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 517/488 หมู่ 9 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี  ผู้กู้ กับ นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ผู้ให้กู้  

     สัญญาข้อที่ 1 (จากทั้งหมด 4 ข้อ) ระบุว่า “ผู้กู้ตกลงกู้เงิน และผู้ให้กู้ตกลงให้กู้เงิน จำนวน 14,000,000 บาท (สิบสี่บ้านบาทถ้วน)  และผู้กู้ได้รับเงินจำนวนดังกล่าวไปเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เวลาที่ทำสัญญาฉบับ นี้”  

     สัญญาข้อที่2  ระบุว่า “ผู้กู้ตกลงยินยอมชำระดอกเบี้ยให้กู้ในอัตราร้อยละ 3 ต่อเดือน นับตั้งแต่วันทำสัญญาถึงวันที่ชำระเสร็จสิ้น รวมเป็นเงิน 420,000 บาท (สี่แสนสองหมื่นบาทถ้วน) โดยสั่งจ่ายเช็คเลขที่ 8754603 ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ลงวันที่ 26/10/54

     สัญญาข้อที่ 3 ระบุว่า ผู้กู้ตกลงชำระเงินกู้คืนโดย

     1.ชำระเงินต้นจำนนวน 7,000,000 บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยสั่งจ่ายเช็คเลขที่ 8754601 ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)   ลงวันที่ 18/10/54  

     2.ชำระเงินต้นจำนนวน 7,000,000 บาท (เจ็ดล้านบาทถ้วน) โดยสั่งจ่ายเช็คเลขที่ 8754602 ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน)   ลงวันที่ 26/10/54  

      สัญญาข้อที่ 4 ระบุว่า ผู้กู้ให้สัญญาว่าถ้าผู้กู้ไม่ปฏิบัติตามสัญญาไม่ว่าข้อหนึ่งข้อใด ผู้ให้กู้มีสิทธิบอกเลิกสัญญาและเรียกร้องให้ผู้กู้ชำระเงินต้นพร้อม ดอกเบี้ยคืนแก่ผู้ให้กู้ได้ทันที และผู้กู้ยินยอมชำระค่าเสียหายต่างๆ ในการเรียกทวงถามรวมทั้งค่าทนายความรวมทั้งค่าฤชาธรรมเนียมศาลอันเกี่ยวข้อง กับหารฟ้องร้องด้วย

     น่าสังเกตว่า สัญญากู้ยืมเงินดังกล่าวมิได้มีการลงชื่อของพยาน

 

     ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพรชัย  มโนมัยวิบูลย์ จากการตรวจสอบพบว่า เป็นเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี

 

 

  

 

 

 

 


เปิดคำพิพากษาศาลสั่ง พล.ต.อ.สมยศ-พวก คืนหุ้น“เมียชัจจ์”101 ล้าน

จากสำนักข่าวอิสรา

เปิดคำพิพากษาปมชิงหุ้น บ.แอสเซ็ท มิลเลี่ยน 101.9 ล้านของสุริยา ลาภวิสุทธิสิน “เมียชัจจ์ กุลดิลก”ชนะ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง-พวก ยกแรก ศาลสั่งคืนหุ้น“วิมลรัตน์”ระบุโอนโดยมิชอบ

 

      ความขัดแย้งกรณีการแย่งชิงกรรมสิทธิ์ถือครองหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ 99.91%ในบริษัท เวิลด์แก๊ส) จำนวน 10,199,600 หุ้น มูลค่า 101,996,000 บาท ระหว่าง นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน นายธรรมนูญ ทองลือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ปัจจุบันครองยศพลตำรวจเอก ดำรงตำแหน่ง รอง ผบ.ตร.) 

     โดยนางวิมลรัตน์ได้ยื่นฟ้องนายสุริยา นายธรรมนูญ พล.ต.ท.สมยศ กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2553 เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้นจำนวนดังกล่าวระหว่างนายธรรมนูญ กับ พล.ต.ท.สมยศ (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553)

     ปรากฏว่าได้ข้อยุติเมื่อศาลพิพากษาให้นางวิมลรัตน์ได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทดังกล่าว

      คำพิพากษาศาลแพ่งวันที่ 14 ตุลาคม 2554 (คดีหมายเลขแดงที่ 3998/2554) สรุปได้ว่า นายธรรมนูญ ทองลือ (จำเลยที่ 2) เป็น “ตัวแทน”ในการถือครองหุ้นของนายสุริยา ลาภวิสุทธิ์สิน (จำเลยที่ 1) การที่ พล.ต.อ.สมยศ (จำเลยที่ 3) ได้รับโอนหุ้นมาจากนายธรรมนูญจึงเป็นการกระทำโดยไม่มีอำนาจ เพราะในขณะนั้นนายธรรมนูญมิได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่แท้จริง นางวิมลรัตน์ (โจทก์) เป็นผู้รับโอนหุ้นดังกล่าวมาก่อน พล.ต.ท.สมยศ นางวิมลรัตน์จึงเป็นเจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทดังกล่าว และพล.ต.ท.สมยศจึงไม่มีสิทธิ์โอนหุ้นบางส่วนไปให้บุคคลอื่น การที่ พล.ต.ท.สมยศโอนหุ้นบางส่วนไปให้บุคคลอื่น(จำเลยที่ 5-จำเลยที่ 10) จึงเป็นการโอนหุ้นโดยมิชอบด้วยกฎหมาย 

     นางวิมลรัตน์จึงมีสิทธิขอให้เพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ขายหุ้นพิพาทระหว่าง นายธรรมนูญกับ พล.ต.ท.สมยศ และระหว่าง พล.ต.ท.สมยศกับบุคคลอื่น(จำเลยที่ 5-จำเลยที่ 10) การที่ พล.ต.ท.สมยศอ้างว่าซื้อหุ้นมาจากนายธรรมนูญซึ่งมิใช่เจ้าของผู้มีกรรมสิทธิ์ พล.ต.ท.สมยศย่อมมีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าซื้อขายหุ้นพิพาทคืนจากนายธรรมนูญ ได้

     พิพากษาให้เพิกถอนการโอนหุ้นของบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ระหว่างนายธรรมนูญ (จำเลยที่ 2) กับ พล.ต.ท.สมยศ (จำเลยที่ 3) รวม 10,199,600 หุ้น 

     เพิกถอนการโอนหุ้นพิพาทระหว่าง พล.ต.ท.สมยศ (จำเลยที่ 3) กับ จำเลยที่ 5 รวม 2,000 หุ้น

     เพิกถอนการโอนหุ้นพิพาทระหว่างจำเลยที่ 3 กับจำเลยที่ 6-ที่ 10 รายละ 2,000 หุ้น (รวม 10,000 หุ้น) โดยให้หุ้นจำนวนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของนางวิมลรัตน์ โจทก์ และ ห้ามจำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 5-ที่ 10 เกี่ยวข้องกับหุ้นดังกล่าว

     หากไม่สามารถเพิกถอนการโอนหุ้นดังกล่าวได้ ให้จำเลยที่ 2-ที่ 3 ที่ 5 -ที่ 10 ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ 407,999,964 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับจากวันถัดจากวันฟ้อง(วันที่ 5 มีนาคม 2553)เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ

     สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงานว่า คดีนี้ นางวิมลรัตน์ กุลดิลก เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง

     นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำเลยที่ 1

     นายธรรมนูญ ทองลือ จำเลยที่ 2 

     พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 3 

     บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด จำเลย ที่ 4 

     นายพิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 5 

     นายสง่า รัตนชาติชูชัย จำเลยที่ 6 

     นายอดุลย์ บุญรอด จำเลยที่ 7 

     พ.ต.ท.ธีระ หรือ นายธีระ ทองระยับ จำเลยที่ 8 

     พ.ต.ท.ภูมินทร์ หรือนายภูมินทร์ พุ่มพันธุ์ม่วง จำเลยที่ 9 

     นายธีรชัย ลีนะบรรจง จำเลยที่ 10 

     นาง วิมลรัตน์ และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุดิลก ให้การว่า พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (จำเลยที่ 3) และนายสุริยา (จำเลยที่ 1) รู้จักกันมาเป็นเวลานานหลายปีแล้ว โดยนายสุริยาเป็นลูกหนี้กู้ยืมเงินจากนางวิมลรัตน์ และ พล.ต.ท.สมยศ มาโดยตลอด จนกระทั่งเดือนพฤศจิกายน 2551 นายสุริยามีหนี้สินคงค้างชำระประมาณ 232 ล้านบาท

     นายสุริยาได้เจรจาชำระหนี้กับนางวิมลรัตน์โดยตกลงจะนำหุ้นของบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด จำนวน 51% ที่ได้ชำระมูลค่าหุ้นครบถ้วนแล้วมาชำระหนี้แก่นางวิมลรัตน์ ซึ่งนายสุริยาให้ตัวแทนถือหุ้นไว้แทน คือ นายสุวิทย์ สัจจวิทย์ ซึ่งได้รับโอนหุ้นจากนายธรรมนูญ ทองลือ (จำเลยที่ 2) ตัวแทนอีกคนหนึ่ง

     แต่ ระหว่างที่มีการเจรจาตกลงกันนั้น วันที่ 31 กรกฎาคม 2552 นายพิศาล พุ่มพันธุ์ม่วง (จำเลยที่ 5) เข้ามาเป็นกรรมการบริษัท บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด และนายทะนงศักดิ์ ศรีทองคำ ซึ่งเป็นกรรมการของ บริษัท แอสเซท มิลเลี่ยน จำกัด ได้ร่วมกัน เปลี่ยนแปลงรายชื่อผู้ถือหุ้นโดยโอนหุ้นจาก นายธรรมนูญ ทองลือ ทั้งหมดมาเป็นชื่อ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จึงกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมาย

     ขณะ ที่ วันที่ 19 พฤษภาคม 2554 พล.ต.ท.สมยศได้ยื่นเรื่องต่อประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่ง ชาติ (ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบการยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินของ พล.ต.ท.ชัจจ์ ตอนรับตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปี 2551 ว่าจงใจปกปิดบัญชีฯหรือไม่ และได้ฟ้องกลับนางวิมลรัตน์หลายคดี

----------------

(อ่านเพิ่มเติม ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน “ชัจจ์-สุริยา-สมยศ” เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด? http://www.isranews.org/investigate/item/18016-ชัจจ์-สุริยา-สมยศ.html)

(อ่านประกอบ เปิดรายชื่อผู้ถือหุ้น“แอสเซ็ท มิลเลี่ยน”ชนวนแตกหัก“ชัจจ์-สมยศ-สุริยา” http://www.isranews.org/investigate/item/18258-three-man.html

(อ่านประกอบ “สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้ 232 ล้าน ชงประธาน ป.ป.ช.สอบแจ้งเท็จ? http://www.isranews.org/investigate/item/18059-“สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้-232-ล้าน-ชงประธาน-ป-ป-ช-สอบแจ้งเท็จ.html)

(อ่านประกอบ แลกคนละหมัด!เมีย“ชัจจ์”เล่านาที“สมยศ”พาตำรวจ 30 คนบุกยึด“เวิลด์แก๊ส” http://www.isranews.org/investigate/item/18073-แลกคนละหมัด-เล่านาที.html)

(อ่านประกอบ กลุ่ม พล.ต.อ.สมยศฟ้องอาญา“เมียชัจจ์-พวก”2 คดีรวด ซัดปลอมใบโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/investigate/investigative-01/item/18287-สมยศฟ้องอาญา-เมียชัจจ์.html)


พล.ต.อ.สมยศ ซัด“เมียชัจจ์ กุลดิลก”ปั้นเงินกู้ 232 ล้าน

จากสำนักข่าวอิสรา

เปิดคำให้การ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อุทธรณ์คดีชิงหุ้น บ.แอสเซ็ท มิลเลี่ยน 101 ล้าน ซัด “วิมลรัตน์”เมีย“ชัจจ์ กุลดิลก”ส่อร่วมมือ“สุริยา”ปั้นเงินกู้ 232 ล้าน หลังไม่พบในบัญชีทรัพย์สิน ป.ป.ช. 

 

พล.ต.อ.สม ยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ระบุว่า ไม่มีการกู้ยืมเงินระหว่างนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยาพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กับ นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำนวน 232 ล้านบาท ตามคำให้การของนางวิมลรัตน์และพล.ต.ท.ชัจจ์ ต่อศาลแพ่ง หาก แต่นางวิมลรัตน์ได้สร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จขึ้นมาเพื่อหวังผลทางคดีเท่า นั้น 

คำให้การดังกล่าวเป็นประเด็นหนึ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ ใช้ต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์ ในคดีที่นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ได้ ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน (ต่อมาได้ถอนฟ้อง) นายธรรมนูญ ทองลือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศขณะนั้น) กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 5 มีนาคม 2553 เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101,996,000 บาท ระหว่างนายธรรมนูญ กับ พล.ต.ท.สมยศ (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553) ซึ่งนางวิมลรัตน์อ้างว่าหุ้นที่ถือครองในชื่อนายธรรมนูญแท้ที่จริงเป็นหุ้น ที่นายสุริยาชำระหนี้เงินกู้ 232 ล้านบาท ปรากฏว่าศาลพิพากษาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2554 ให้นางวิมลรัตน์ได้กรรมสิทธิ์ในหุ้นพิพาทดังกล่าว (คดีหมายเลขแดงที่ 3998/2554)

(อ่านประกอบ เปิดคำพิพากษาศาลสั่ง พล.ต.อ.สมยศ-พวก คืนหุ้น“เมียชัจจ์”101 ล้านhttp://www.isranews.org/investigate/item/18755-คำพิพากษา.html)

สำนักข่าวอิศรา www.isrsnews.org สรุปสาระสำคัญในประเด็นนี้มานำเสนอดังนี้

พล.ต.อ. สมยศระบุว่า เมื่อพิจารณาถึงจำนวนยอดหนี้ที่โจทก์ (นางวิมลรัตน์) กล่าวอ้างว่านางวิมลรัตน์ เป็นเจ้าหนี้จำเลยที่ 1 (นายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน) ซึ่งมีจำนวนเงินถึง 232 ล้านบาทนั้น ในชั้นพิจารณากลับปรากฏว่า นางวิมลรัตน์มิได้นำสืบพยานหลักฐานการเป็นเจ้าหนี้ดังกล่าวให้ปรากฏต่อศาล ได้เลย

ทั้งที่นางวิมลรัตน์ กล่าวอ้างว่า เป็นหนี้ที่นายสุริยาเช็คมาแลกเงินสด และหนี้ที่นายสุริยาได้มาซื้อเครื่องเพชรพลอยจากร้านเพชรของนางวิมลรัตน์ รวมหนี้สินทุกรายการเป็นเงินสูงถึง 232 ล้านบาท

แต่ ในชั้นพิจารณานางวิมลรัตน์กลับไม่มีหลักฐานการกู้ยืมเงินหรือการรับเงินหรือ เช็คของนายสุริยาหรือใบเสร็จการซื้อเครื่องเพชรมาแสดงต่อศาลแม้แต่ฉบับเดียว ทั้งที่นางวิมลรัตน์ยืนยันต่อศาลว่าเอกสารหลักฐานที่แสดงว่านายสุริยาเป็น หนี้จำนวน 232 ล้านบาทอยู่ที่บ้านของนางวิมลรัตน์

ประกอบ กับนางวิมลรัตน์มิได้นำตัวนายสุริยามาเบิกความเป็นพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จ จริง แต่ในทางตรงกันข้าม นางวิมลรัตน์กลับยื่นถอนฟ้องนายสุริยาจากจำเลยที่ 1 ทั้งที่นายสุริยาขาดนัดยื่นคำให้การ พฤติการณ์ของนางวิมลรัตน์ดังกล่าวจึงส่อชัดว่าไม่ไดด้เป็นเจ้าหนี้นายสุริยา จำนวน 232 ล้านบาทจริง

การ ที่นางวิมลรัตน์กล่าวอ้างว่าเป็นเจ้าหนี้นายสุริยาสูงถึง 232 ล้านบาทโดยปราศจากหลักฐานการกู้ยืมเงินหรือหลักฐานมูลหนี้มาแสดงต่อศาลจึง เห็นชัดว่า เป็นเพียงการสมอ้างสร้างหลักฐานเท็จเพื่อใช้ประโยชน์ในฟ้องคดีนี้ โดยที่ไม่มีมูลหนี้กันจริง กล่าวอ้างเอามูลหนี้จำนวนดังกล่าวมาเป็นมูลเหตุในการฟ้องคดี ครั้นเมื่อศาลรับฟ้องและมีการพิจารณาคดีกันแล้วโจทก์ก็ถอนฟ้องนายสุริยา จำเลยที่ 1 ทั้งที่ไม่มีเหตุผลให้ต้องถอนฟ้อง เนื่องจากนายสุริยายังชำระหนี้ให้แก่โจทก์ไม่ครบถ้วนตามที่นางวิมลรัตน์ กล่าวอ้าง

พล.ต.อ.สมยศและ จำเลยกล่าวอีกว่า ยิ่งไปกว่านั้น ในช่วงเวลาดังกล่าว พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก สามีโจทก์ ดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551 และได้พ้นตำแหน่งเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2551 พล.ต.ท.ชัจจ์มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ของตนเอง ภรรยา และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ

พล.ต.ท. ชัจจ์ก็ทราบเรื่องนายสุริยาเป็นลูกหนี้นางวิมลรัตน์ภรรยาเป็นอย่างดีเพราะ นางวิมลรัตน์นำสืบอ้างว่า พล.ต.ท.ชัจจ์มีส่วนร่วมในการเจรจาเรื่องหนี้สินโดย พล.ต.ท.ชัจจ์และนางวิมลรัตน์ได้ร่วมกันนำเงินของตนเองมาให้นายสุริยากู้ยืม อีกด้วย

แต่ เมื่อทนายความของนายธรรมนูญ ทองลือ จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลออกหมายเรียกบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของพล.ต.ท.ชัจจ์จาก คณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิสูจน์ว่านางวิมลรัตน์เป็นเจ้าหนี้นายสุริยาจริงหรือไม่ ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ไม่ได้ระบุว่ามีเงินให้กู้ จำนวน 232 ล้านบาทตามที่อ้างในบัญชีทรัพย์สิน ทั้ง 3 ครั้ง และพล.ต.ท.ชัจจ์ก็ไม่มาเบิกความเป็นพยานต่อศาล และนางวิมลรัตน์ได้แถลงตัด พล.ต.ท.ชัจจ์จากการเป็นพยานโดยปราศจากเหตุผล

จึง เป็นข้อพิรุธประการสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่า หนี้สินจำนวน 232 ล้านบาทไม่มีอยู่จริง หากแต่เป็นหนี้ที่เกิดขึ้นจากการสมยอมและ/หรือสร้างพยานหลักฐานเท็จเพื่อ ประโยชน์ในการฟ้องคดีเท่านั้น จึงขอให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาหยิบยกเอาปัญหาข้อเท็จจริงและปัญหาข้อกฎหมายใน ประเด็นนี้มาวินิจฉัยให้เป็นคุณต่อจำเลยในชั้นอุทธรณ์ด้วย

(อ่านประกอบ ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน “ชัจจ์-สุริยา-สมยศ” เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด? http://www.isranews.org/investigate/item/18016-ชัจจ์-สุริยา-สมยศ.html)
(อ่านประกอบ เปิดรายชื่อผู้ถือหุ้น“แอสเซ็ท มิลเลี่ยน”ชนวนแตกหัก“ชัจจ์-สมยศ-สุริยา” http://www.isranews.org/investigate/item/18258-three-man.html
(อ่านประกอบ “สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้ 232 ล้าน ชงประธาน ป.ป.ช.สอบแจ้งเท็จ? http://www.isranews.org/investigate/item/18059-“สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้-232-ล้าน-ชงประธาน-ป-ป-ช-สอบแจ้งเท็จ.html)
(อ่านประกอบ แลกคนละหมัด!เมีย“ชัจจ์”เล่านาที“สมยศ”พาตำรวจ 30 คนบุกยึด“เวิลด์แก๊ส” http://www.isranews.org/investigate/item/18073-แลกคนละหมัด-เล่านาที.html)
(อ่านประกอบ กลุ่ม พล.ต.อ.สมยศฟ้องอาญา“เมียชัจจ์-พวก”2 คดีรวด ซัดปลอมใบโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/investigate/investigative-01/item/18287-สมยศฟ้องอาญา-เมียชัจจ์.html)
(อ่านประกอบ อัยการสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ-พวก คดีปลอมเอกสารโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/ข่าว/item/18844-คดีปลอมเอกสาร.html)


ปูด“ชัจจ์ กุลดิลก”ส่ง“เมีย”ช่วยชาวต่างชาติเข้าประเทศโยงคดีชิงหุ้น 101 ล้าน

จากสำนักข่าวอิสรา

ปูดในศาล“ชัจจ์ กุลดิลก”พัวพันส่งเมียช่วยชาวต่างชาติเข้าประเทศ หลังถูกกักตัวสนามบินสุวรรณภูมิ พยานอ้างโทร.ขอช่วยเหลือ โยงคดีชิงหุ้น บ.แอสเซ็ท มิลเลี่ยน 101 ล้าน 

 

พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ถูกซัดทอดว่าเกี่ยวพันกับการช่วยเหลือชาวต่างชาติที่ถูกห้ามเข้าประเทศในการ เดินทางเข้ามาประเทศไทยเพื่อมาเป็นพยานในคดีเพิกถอนการโอนหุ้นบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101 ล้านบาท

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงาน ว่า คดีที่นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน (ต่อมาได้ถอนฟ้อง) นายธรรมนูญ ทองลือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศขณะนั้น) กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101,996,000 บาท

ต่อมาศาลพิพากษาได้มีคำพิพากษา ให้นางวิมลรัตน์เป็นผู้ชนะคดี ปรากฏข้อมูลจากคำให้การในชั้นศาลอุทธรณ์ว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ปัจจุบันได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวพันกับการให้ความช่วยเหลือนายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ชาวต่างชาติ (ออสเตรเลีย) ซึ่งถูกคำสั่งห้ามเข้าประเทศในการเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร เพื่อมาเป็นพยานให้แก่นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยาพล.ต.ท.ชัจจ์

ข้อมูล ดังกล่าวปรากฏในคำยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลแพ่งของฝ่ายจำเลย โดยจำเลยระบุว่า นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ มีความสนิทสนมกับนางวิมลรัตน์ กุลดิลก และ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก เป็นอย่างมาก ดังจะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ถูกคำสั่งห้ามเข้าประเทศไทย นายโดนัล เอียน แม็คเบล์ ได้โทรศัพท์ไปร้องขอความช่วยเหลือจาก พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ซึ่งต่อมานางวิมลรัตน์ และพ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี พนักงานสอบสวนก็เดินทางไปพบกับนายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ภายในห้องที่ถูกกักตัว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้อุทธรณ์ได้ยกคำเบิกความของนายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ตอบทนายจำเลยยอมรับว่า
“ข้าฯ เดินทางมาที่ประเทศไทยครั้งหนึ่งแล้ว ในขณะที่ที่ถูกห้ามเข้าประเทศ ในขณะที่นั่งอยู่ภายในห้องเปลี่ยนเครื่องโดยสารเครื่องบิน มีเจ้าพนักงานตำรวจชั้นผู้ใหญ่และโจทก์ (นางวิมลรัตน์) มาพบข้าฯ ที่ห้องดังกล่าวซึ่งเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าวชื่อ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี เหตุที่ พ.ต.อ.ชาคริตและโจทก์มาพบข้าฯเนื่องจากข้าฯโทรศัพท์ไปหา พล.ต.ท.ชัจจ์ และแจ้งว่าไม่สามารถเข้าประเทศได้”

จำเลยในได้ในคำยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลแพ่ง ระบุว่า เมื่อ นายโดนัล เอียน แม็ค เบลล์ สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ จากความใกล้ชิดและมีการให้ความช่วยเหลือกันดังกล่าวจึงเป็นผลให้นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ได้ร่วมมือกันโจทก์สร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ คือปลอมใบโอนหุ้นบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ระหว่างนายสุวิทย์ สัจจวิทย์ กับ นางวิมลรัตน์ กุลดิลก เพื่อให้โจทก์ใช้หลักฐานในการดำเนินคดีกับ พล.ต.ท.สมยศกับพวกในคดีนี้

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า คดีนี้นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ได้ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน (ต่อมาได้ถอนฟ้อง) นายธรรมนูญ ทองลือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศขณะนั้น) กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101,996,000 บาท ระหว่างนายธรรมนูญ กับ พล.ต.ท.สมยศ (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553) ซึ่งนางวิมลรัตน์อ้างว่าหุ้นที่ถือครองในชื่อนายธรรมนูญแท้จริงแล้วเป็นหุ้น ของนายสุริยาและนายสุริยาใช้หุ้นดังกล่าวชำระหนี้เงินกู้ 232 ล้านบาทแก่นางวิมลรัตน์ ต่อมาศาลแพ่งได้มีคำพิพากษา ให้นางวิมลรัตน์เป็นผู้ชนะคดีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2554 ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์

-------------------

อ่านประกอบ
ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน “ชัจจ์-สุริยา-สมยศ” เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด? http://www.isranews.org/investigate/item/18016-ชัจจ์-สุริยา-สมยศ.html)
เปิดรายชื่อผู้ถือหุ้น“แอสเซ็ท มิลเลี่ยน”ชนวนแตกหัก“ชัจจ์-สมยศ-สุริยา” http://www.isranews.org/investigate/item/18258-three-man.html
“สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้ 232 ล้าน ชงประธาน ป.ป.ช.สอบแจ้งเท็จ? http://www.isranews.org/investigate/item/18059-“สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้-232-ล้าน-ชงประธาน-ป-ป-ช-สอบแจ้งเท็จ.html)
แลกคนละหมัด!เมีย“ชัจจ์”เล่านาที“สมยศ”พาตำรวจ 30 คนบุกยึด“เวิลด์แก๊ส” http://www.isranews.org/investigate/item/18073-แลกคนละหมัด-เล่านาที.html)
กลุ่ม พล.ต.อ.สมยศฟ้องอาญา“เมียชัจจ์-พวก”2 คดีรวด ซัดปลอมใบโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/investigate/investigative-01/item/18287-สมยศฟ้องอาญา-เมียชัจจ์.html)
อัยการสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ-พวก คดีปลอมเอกสารโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/ข่าว/item/18844-คดีปลอมเอกสาร.html)
พล.ต.อ.สมยศ ซัด“เมียชัจจ์ กุลดิลก”ปั้นเงินกู้ 232 ล้านhttp://www.isranews.org/investigate/item/18860-ปั้นเงินกู้.html


เปิดภาพชุด“เมียชัจจ์”โผล่สนามบินสุวรรณภูมิพาชาวต่างชาติออกจากห้องกักตัว

จากสำนักข่าวอิสรา

เปิดภาพชุด“เมียชัจจ์ กุลดิลก”โผล่สนามบินสุวรรณภูมิ หิ้วกระเป๋า พร้อมนายตำรวจ พาชาวต่างชาติออกจากห้องกักตัว โยงพยานคดีชิงหุ้น 101 ล้าน 

 

ใน การต่อสู้คดีเพิกถอนโอนหุ้นบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101 ล้านบาทที่นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน จำเลยที่ 1 (ต่อมาได้ถอนฟ้องนายสุริยา) นายธรรมนูญ ทองลือ จำเลยที่ 2 พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศขณะนั้น) จำเลยที่ 3 กับพวกรวม 10 คน  

ประเด็น ที่ฝ่ายจำเลยหยิบมาต่อสู้ในชั้นศาลอุทธรณ์คือ นายโดนัล เอียน แม็ค เบลล์ พยานผู้ลงลายมือชื่อในบัญชีผู้ถือหุ้นอ้างว่านายสุริยาได้โอนหุ้นให้นางวิมล รัตน์เพื่อชำระหนี้บางส่วนที่นายสุริยาติดค้างจากทั้งหมด 232 ล้านบาท มีความสนิทสนมสนิทสนมคุ้นเคยเป็นอย่างดีกับโจทก์จึงร่วมกันสร้างพยานหลักฐาน ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นมูลเหตุในการฟ้องคดี

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงาน ว่า หลักฐานชิ้นหนึ่งที่จำเลยยื่นให้ศาลประกอบการพิจารณาในชั้นอุทธรธ์คือ ภาพถ่ายนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ปรากฏตัว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ โดยจำเลยอ้างว่านางวิมลรัตน์ไปพบนายโดนัล เอียน แม็ค เบลล์ และพานายโดนัล เอียน แม็ค เบลล์ ออกมาห้องเปลี่ยนเครื่องโดยสาร สนามบินสุวรรณภูมิ

หลัง จากนาย โดนัล เอียน แม็ค เบล ถูกกักตัวไม่ให้เดินทางเข้าประเทศ และได้โทรศัพท์ไปร้องขอความช่วยเหลือจาก พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก สามีนางวิมลรัตน์ ซึ่งต่อมานางวิมลรัตน์ และพ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี พนักงานสอบสวนก็เดินทางไปพบกับนายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ภายในห้องที่ถูกกักตัว ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งภาพถ่ายดังกล่าวมีจำนวน 8 ภาพระบุนางวิมลรัตน์หิ้วกระเป๋า ตอนเข้าห้องและออกจากห้องกักตัวพร้อมชาวต่างชาติ

ในคำอุทธรณ์ดังกล่าว นอกจากเอกสารภาพถ่ายฝ่าย จำเลยอ้างคำเบิกความของ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี พยานโจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยที่ 2 สนับสนุนข้อเท็จจริงว่า 

“คดีอาญาที่ข้าฯ (พ.ต.อ.ชาคริต) สอบสวนอยู่ที่เกี่ยวกับโจทก์ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยที่ 2 ขณะนี้อยู่ใน ระหว่างการส่งมอบให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ทนายความจำเลยที่ 2 ให้พยานภาพถ่าย ที่อ้างส่งศาล หมาย ล. 36 พยานเบิกความว่า ภาพถ่ายดังปรากฏ มีข้าฯ ,โจทก์ เป็นภาพถ่ายของข้าฯ ที่เข้าไปช่วยนายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ซึ่งอยู่ที่เป็นสถานที่ฝ่ายวิธีการเข้าเมือง ไม่ใช่ห้องกักกัน ซึ่งบุคคลทั่วไปไม่สามารถเข้าไปได้ แต่ข้าฯได้ขออนุญาตจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมอถูกต้องแล้ว”

จำเลย ระบุว่า จากคำเบิกความของพยานโจทก์ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังเป็นยุติว่า นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ มีความสนิทสนมกับโจทก์ และพล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก สามีโจทก์ และนายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ยังได้รับการอนุเคราะห์ช่วยเหลือจากสามีโจทก์ในช่วงที่นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ถูกกักตัวไม่ให้เข้ามาในราชอาณาจักรจนในที่สุด ต่อมานายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ก็สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ 
จาก ความใกล้ชิดและได้มีการช่วยเหลือกันดังกล่าว จึงเป็นผลให้นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ ได้ร่วมมือกับโจทก์สร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ (หนังสือโอนหุ้นระหว่าง นายธรรมนูญ ทองลือ ตัวแทนนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน ผู้โอน นายสุวิทย์ สัจจวิทย์ ผู้รับโอน)

จำเลย อ้างอีกว่า สมุดบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (ฉบับที่นางวิมลรัตน์ใช้กล่าวอ้างฟ้องคดี) จึงเป็นเอกสารที่นางวิมลรัตน์ โจทก์ นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ และนายสนทนา น้อยเจริญ ร่วมกันจัดทำปลอมย้อนหลังขึ้นมาใหม่เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงต่อศาลเพื่อ ประโยชน์ในการฟ้องและต่อสู้คดีเท่านั้น

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ณ วันที่ 30 เมษายน 2555 นายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ สัญชาติออสเตรเลีย ถือหุ้น 5,800,000 หุ้น (29%) มูลค่า 58 ล้านบาท นายมัลคอม เลสลี่ เอ็ดเวร์ด สัญชาติออสเตรเลีย 4,000,000 หุ้น (20%) มูลค่า 40 ล้านบาท พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง 10,187,600 หุ้น (50.93%) มูลค่า 101,876,000 บาท จากทั้งหมด 20 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท

ไม่มีปรากฏข้อมูลว่านายโดนัล เอียน แม็คเบลล์ เป็นกรรมการบริษัทใด

คดี นี้นางวิมลรัตน์ กุลดิลก เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน นายธรรมนูญ ทองลือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศขณะนั้น) กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้เพิกถอนการโอนหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101,996,000 บาท ระหว่างนายธรรมนูญ กับ พล.ต.ท.สมยศ (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553)โดยอ้างว่า นายสุริยาติดหนี้นางวิมลรัตน์ และพล.ต.ท.ชัจจ์ จำนวน 232 ล้านบาท ต่อมาไม่มีเงินใช้หนี้ นายสุริยาได้ยกหุ้นดังกล่าวที่อยู่ในชื่อนายธรรมนูญ ทองลือ โดยเป็นการโอนหุ้นจากนายธรรมนูญให้นายสุวิทย์ สัจจวิทย์ ตัวแทนอีกคนหนึ่ง เพื่อใช้หนี้นางวิมลรัตน์ แต่ระหว่างนั้นนายธรรมนูญได้โอนหุ้นให้ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ซึ่งเป็นเจ้าหนี้อีกคนหนึ่งของนายสุริยาด้วยเช่นกัน นางวิมลรัตน์จึงฟ้องให้เพิกถอนการโอนหุ้นระหว่างนายธรรมนูญ กับ พล.ต.ท.สมยศ

ต่อ มาศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาให้นางวิมลรัตน์เป็นผู้ชนะคดีเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม 2554 จำเลยยื่นอุทธรณ์ ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์

-----------------

อ่านประกอบ

ผ่าปมขัดแย้งคดีโอนหุ้น 101 ล้าน “ชัจจ์-สุริยา-สมยศ” เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด? http://www.isranews.org/investigate/item/18016-ชัจจ์-สุริยา-สมยศ.html)
เปิดรายชื่อผู้ถือหุ้น“แอสเซ็ท มิลเลี่ยน”ชนวนแตกหัก“ชัจจ์-สมยศ-สุริยา” http://www.isranews.org/investigate/item/18258-three-man.html
“สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้ 232 ล้าน ชงประธาน ป.ป.ช.สอบแจ้งเท็จ? http://www.isranews.org/investigate/item/18059-“สมยศ”ซัด“ชัจจ์”ส่อซุกเมีย-เงินปล่อยกู้-232-ล้าน-ชงประธาน-ป-ป-ช-สอบแจ้งเท็จ.html)
แลกคนละหมัด!เมีย“ชัจจ์”เล่านาที“สมยศ”พาตำรวจ 30 คนบุกยึด“เวิลด์แก๊ส” http://www.isranews.org/investigate/item/18073-แลกคนละหมัด-เล่านาที.html)
กลุ่ม พล.ต.อ.สมยศฟ้องอาญา“เมียชัจจ์-พวก”2 คดีรวด ซัดปลอมใบโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/investigate/investigative-01/item/18287-สมยศฟ้องอาญา-เมียชัจจ์.html)
อัยการสั่งไม่ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ-พวก คดีปลอมเอกสารโอนหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/ข่าว/item/18844-คดีปลอมเอกสาร.html)
พล.ต.อ.สมยศ ซัด“เมียชัจจ์ กุลดิลก”ปั้นเงินกู้ 232 ล้านhttp://www.isranews.org/investigate/item/18860-ปั้นเงินกู้.html
ปูด“ชัจจ์ กุลดิลก”ส่ง“เมีย”ช่วยชาวต่างชาติเข้าประเทศโยงคดีชิงหุ้น 101 ล้าน http://www.isranews.org/investigate/item/18902-ช่วยชาวต่างชาติ.html


เปิดปูมหลัง“โดนัล แม็คเบน”พยาน“เมียชัจจ์”ถูกขึ้นบัญชีดำ-ยกเลิกยุค“ชวรัตน์”

จากสำนักข่าวอิสรา

เปิดปูมหลัง“โดนัล เอียน แม็คเบน”ชาวต่างชาติพยานคดีชิงหุ้น 101 ล้าน เคยทำผิดกม.ถูกขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ โทร.หา“ชัจจ์ กุลดิลก”พาออกสนามบินสุวรรณภูมิ ยกเลิกคำสั่งยุค“ชวรัตน์ ชาญวีรกูล”มท.1

 

นาย โดนัล เอียน แม็คเบน ซึ่งนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย พาออกจากห้องเปลี่ยนเครื่องโดยสาร สนามบินสุวรรณภูมิ หลังจากนาย โดนัล เอียน แม็คเบน ถูกกักตัวไม่ให้เดินทางเข้าประเทศ นั้นเคยมีประวัติเป็นบุคคลซึ่งมีลักษณะต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรอัน เนื่องจากกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 แต่คำสั่งดังกล่าวได้ถูกยกเลิกในยุคนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย  

(อ่านประกอบ เปิดภาพชุด“เมียชัจจ์”โผล่สนามบินสุวรรณภูมิพาชาวต่างชาติออกจากห้องกักตัว http://www.isranews.org/investigate/item/18976-เปิดภาพชุด.html)

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจ สอบพบว่า เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2552 นายโดนัล เอียน แม็คเบน ถูกพนักงานบริษัท เวิลด์แก๊ส(ประเทศไทย)จำกัด มีหนังสือร้องเรียนขอให้ สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ตรวจสอบการเข้ามาทำงานในราชอาณาจักร เนื่องจากทำงานนอกเหนือจากประเภทหรือตำแหน่งที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551

ต่อมาผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง ผลการตรวจสอบพบว่า

นาย โดนัล เอียน แม็คเบน ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ให้ทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัทเวิลด์แก๊ส(ประเทศไทย)จำกัด แต่ได้แสดงตนเป็นประธานกรรมการ และทำงานในบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ในตำแหน่งกรรมการ โดยไม่ได้รับอนุญาต ได้มีการร้องเรียนไปยังสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน แจ้งพฤติการณ์ของนายโดนัล เอียน แม็คเบน เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมาย สำนัก บริหารแรงงานต่างด้าว สอบสวน นายโดนัล เอียน แม็คเบน ให้การรับสารภาพ จึงเปรียบเทียบปรับ นายโดนัล เอียน แม็คเบน คนต่างด้าว 5,000 บาท กรณีทำงานในบริษัท เวิลด์แก๊ส(ประเทศไทย)จำกัด เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 ตามมาตรา 26 วรรค 2 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 เปรียบเทียบปรับ 10,000 บาท กรณีทำงานในบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยนจำกัด ตามมาตรา 26 วรรค 2 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 

 

สำนักบริหารแรงงานต่างด้าว แจ้งผลการดำเนินคดีต่อสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

เมื่อ วันที่ 20 กรกฏาคม 2553 สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ดำเนินการบันทึกรายชื่อ นายโดนัล เอียน แม็คเบน ลงในระบบคอมพิวเตอร์สารสนเทศ เป็นบุคคลต่างด้าวซึ่งมีลักษณะห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 12(3) แห่ง พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522

ต่อมาวันที่ 31 สิงหาคม 2553 นายโดนัล เอียน แม็คเบน ยื่น อุทธรณ์คำสั่งห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักร ตามมาตรา 22 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีคำสั่งให้ยกอุทธรณ์ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2553 นายโดนัล เอียน แม็คเบน ยื่นฟ้องผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ต่อศาลปกครองกลาง ว่าเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และขอคุ้มครองชั่วคราว ปรากฏว่าวันที่ 13 พฤศจิกายน 2553 ศาลปกครองกลาง ยกคำร้อง

วัน ที่ 9 มกราคม 2554 นายโดนัล เอียน แม็คเบน เดินทางเข้ามาในราชอาณาจักร ทางด่าน ตรวจคนเข้าเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แล้วได้ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มิได้มีคำสั่งวินิจฉัยอุทธรณ์ ภายใน 7 วัน ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้ถือว่ารัฐมนตรีมีคำสั่งว่าคนต่างด้าวนั้นไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้เข้ามา ในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 จึงเข้าประเทศได้

น่า สังเกตว่า การที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยมิได้มีคำสั่งวินิจฉัยอุทธรณ์ ภายใน 7 วันเมื่อวันที่ 9 มกราคม 2554 นั้นตรงกับนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย


พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ รับรู้ใบโอนหุ้นคดี“เมียชัจจ์-สมยศ”101 ล้าน

จากสำนักข่าวอิสรา

ดึง พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ เลขาฯ รองนายกฯ“เฉลิม อยู่บำรุง”โยงคดี เมียชัจจ์ กุลดิลก ฟ้อง พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อ้างรู้เห็นใบโอนหุ้น 101 ล้าน  หลัง ยุค พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ ตั้งให้สอบ

 

พล.ต.อ. ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา  อดีตรองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.)   รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง (เลขานุการ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ มติครม.9 ต.ค.2555 ) ถูกดึงมาเกี่ยวข้องกับคดีเพิกถอนการโอนหุ้นมูลค่า 101 ล้านบาทที่นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ยื่นฟ้องนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน (ต่อมาได้ถอนฟ้อง) นายธรรมนูญ ทองลือ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง (ยศขณะนั้น) กับพวกรวม 10 คน เป็นจำเลยต่อศาลแพ่ง ต่อมาศาลได้มีคำพิพากษาให้นางวิมลรัตน์เป็นผู้ชนะคดี ขณะนี้อยู่ระหว่างพิจารณาในชั้นศาลอุทธรณ์ 

 

 สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงาน ว่า ในการยื่นอุทธรณ์คดีต่อศาลแพ่งเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2555  ปรากฏในคำเบิกความของ พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี พยานโจทก์(นางวิมลรัตน์ กุลดิลก) ว่า จำเลยที่ 3  (พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง) ได้นำเอกสาร( สมุดทะเบียนผู้ถือหุ้น)มาให้ พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา ซึ่ง พ.ต.อ.ชาคริตร่วมอยู่ด้วย

คำ เบิกความระบุว่า “ ข้าฯ (พ.ต.อ.ชาคริต สวัสดี) ได้สอบสวนการโอนหุ้นระหว่างนางวันดี โตเจริญ โอยให้แก่จำเลยที่ 2 (นายธรรมนูญ ทองลือ) โอนให้จำเลยที่ 3 (พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง) และตามเอกสารหมาย ล.๘ จำเลยที่ 3 ได้นำเอกสารดังกล่าวมาให้พลตำรวจเอกภาณุพงศ์ สิงหลา (ที่ถูกต้องเขียนสิงหรา)ณ อยุธยา ซึ่งข้าฯได้ร่วมอยู่ด้วย ข้าฯได้รับสำเนาสมุดทะเบียนผู้ถือหุ้นของจำเลยที่ 4 (บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด) จากจำเลยที่ 3 ปรากฏตามเอกสารที่ทนายจำเลยที่ 3 ,ที่ 5 ถึงที่ 10 ให้ดูอ้างส่งศาลหมาย ล.๓๗  และ ล.๑๙”

ขณะที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รอง ผบ.ตร. กล่าวกับสำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ว่า พล.ต.อ.ภาณุพงศ์ สิงหรา ณ อยุธยา รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ในช่วงนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบ โดย พล.ต.อ. ภาณุพงศ์ ซึ่งมียศสูงกว่าตนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าคณะกรรมการสอบสวน  

พล.ต.อ.สมยศ  กล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นไม่นานนัก ก็มีการโอนเรื่องห้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) สอบต่ออีกครั้ง

“ผม ทราบมาว่า มีความพยายามของคนบางกลุ่ม ที่จะโอนเรื่องนี้ไปให้ดีเอสไอมาสอบ เพราะจะได้อาศัยอำนาจทางการเมืองเข้ามาแทรกแซงคดี ”พล.ต.อ.สมยศระบุ

ทั้ง นี้ นางวิมลรัตน์ กุลดิลก ได้ยื่นหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษให้ดำเนินคดีอาญานายธรรมนูญ ทองลือ กับพวก ต่อ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ จเรตำรวจแห่งชาติ รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมาตั้งแต่วันที่ 28 ธันวาคม 2552

นาง วิมลรัตน์อ้างว่า นายธรรมนูญ ทองลือ คือตัวแทนของนายสุริยา ลาภวิสุทธิสิน และโอนหุ้น บริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด มูลค่า 101.9 ล้านบาทมาให้ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง จนถูกนางวิมลรัตน์ฟ้องเป็นจำเลยที่ (คดีหมายเลขดำที่ 830/2553)

ผู้สื่อข่าวพยายามติดต่อขอสัมภาษณ์ พล.ต.อ. ภาณุพงศ์ แต่ไม่สามารถติดต่อได้


เปิดหลักฐานคำสั่งปรับ“โดนัล แม็คเบน” ชนวนขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ

จากสำนักข่าวอิสรา

เปิดหลักฐานคำสั่งเปรียบเทียบปรับ“โดนัล เอียน แม็คเบน”พยานปากเอกคดีเมียชัจจ์ กุลดิลก ฟ้อง “สมยศ”ชิงหุ้น 101 ล้าน ผิดกม.การทำงานคนต่างด้าว ชนวนถูก ตม.ขึ้นบัญชีดำห้ามเข้าประเทศ 

 

นาย โดนัล เอียน แม็คเบน พยานในคดีชิงหุ้น 101 ล้านบาทของนางวิมลรัตน์ กุลดิลก เคยถูกขึ้นบัญชีเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรอันเนื่อง จากกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 แต่คำสั่งดังกล่าวได้ถูกยกเลิกในยุคนายชวรัตน์ ชาญวีรกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มิได้มีคำสั่งวินิจฉัยอุทธรณ์ ภายใน 7 วัน ตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ทำให้ถือว่าไม่เป็นผู้ต้องห้ามมิให้เข้ามาในราชอาณาจักรตามมาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ.2522) 

(อ่านประกอบ เปิดปูมหลัง“โดนัล แม็คเบน”พยาน“เมียชัจจ์”ถูกขึ้นบัญชีดำ-ยกเลิกยุค“ชวรัตน์” http://www.isranews.org/investigate/item/19020-เปิดปูมหลัง.html)

ที่ มาของคำสั่งดังกล่าวมาจากนายโดนัล เอียน แม็คเบน ได้รับอนุญาตจากกรมการจัดหางาน ให้ทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัทเวิลด์แก๊ส(ประเทศไทย)จำกัด แต่ได้แสดงตนเป็นประธานกรรมการ และทำงานในบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยน จำกัด ในตำแหน่งกรรมการ โดยไม่ได้รับอนุญาต

และ ได้มีการร้องเรียนไปยังสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว กรมการจัดหางาน เพื่อให้ดำเนินการตามกฎหมาย เมื่อสำนักบริหารแรงงานต่างด้าว สอบสวน นายโดนัล เอียน แม็คเบน ให้การรับสารภาพ จึงเปรียบเทียบปรับ นายโดนัล เอียน แม็คเบน คนต่างด้าว 5,000 บาท กรณีทำงานในบริษัท เวิลด์แก๊ส(ประเทศไทย)จำกัด เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2553 ตามมาตรา 26 วรรค 2 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 เปรียบเทียบปรับ 10,000 บาท กรณีทำงานในบริษัท แอสเซ็ท มิลเลี่ยนจำกัด ตามมาตรา 26 วรรค 2 พระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org นำหลักฐานคำสั่งเปรียบเทียบปรับ นายโดนัล เอียน แม็คเบน กรณีทำงานในบริษัท เวิลด์แก๊ส(ประเทศไทย)จำกัด มาเสนอดังนี้

คำสั่งเปรียบเทียบปรับตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551

คดีเปรียบเทียบที่ 007/2553 ที่ทำการเปรียบเทียบ กรมการจัดหางาน

วันที่ 19 เดือนมกราคม พ.ศ.25523

ระหว่าง กรมการจัดหางาน ผู้กล่าวหา บริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยหม่อมหลวงชัยภัทร ชยางกูร และนายโดนัล เอียน แม็คเบน กรรมการผู้จัดการ

พฤติการณ์แห่งคดี

ข้อ เท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2552 บริษัท เวิลด์ แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายโดนัล เอียน แม็คเบน กรรมการผู้จัดการ ได้มาให้การต่อพนักงานเจ้าหน้าที่กองตรวจและคุ้มครองคนหางาน โดยนายชาญศักดิ์ โตสิงห์ขร และนายพิทสันต์ ถนนทิพย์ กรณีจ้างแรงงานต่างด้าวรายนายโดนัล เอียน แม็คเบน สัญชาติออสเตรเลีย เข้าทำงาน

ผลการตรวจ สอบปรากฏว่าบริษัทฯ ได้จ้างคนต่างด้าวสัญชาติออสเตรเลีย จำนวน 1 ราย คือนายโดนัล เอียน แม็คเบน เข้าทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาคณะกรรมการบริษัทฯ ใบอนุญาติทำงานเลขที่ ล 11875/2551 ได้รับใบอนุญาติตั้งแต่วันที่ 24 ตุลาคม 2551 หมดอายุวันที่ 24 พฤศจิกายน 2552 นอกจากนั้นบริษัทฯ ยังให้นายโดนัล เอียน แม็คเบน ทำงานในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารและประธานของบริษัทฯ โดยให้ลงนามในหนังสือเรียกประชุมผู้ถือหุ้นบริษัท เบญจพร ปิโตรเลียม จำกัด โดยไม่ได้รับอนุญาติ ให้ทำงาน ซึ่งบริษัทฯ ให้การยอมรับว่าได้ว่าจ้างนายโดนัล เอียน แม็คเบน คนต่างด้าวสัญชาติออสเตรเลียทำงานนอกเหนือจากประเภทหรือลักษณะงานที่ระบุไว้ ในใบอนุญาต จริง

พนักงาน เจ้าหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 ได้แจ้งข้อกล่าวหาต่อบริษัท เวิลด์ แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยนายโดนัล เอียน แม็คเบน กรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจกระทำการแทนนิติบุคคล นายจ้าง ว่ากระทำการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 มาตรา 27 ข้อหาให้คนต่างด้าวที่มีใบอนุญาตทำงานกับตนทำงานนอกเหนือจากประเภทหรือ ลักษณะงานที่ระบุไว้ในใบอนุญาต ณ ท้องที่หรือสถานที่ที่ระบุไว้ในใบอนุญาต มีอัตราโทษตามมาตรา 54 คือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งบริษัทฯ นายจ้าง ให้การยอมรับว่าได้กระทำผิดกฎหมายจริงและยินยอมให้คณะกรรมการเปรียบเทียบ กรุงเทพมหานครดำเนินการเปรียบเทียบปรับในความผิดที่เกิดขึ้น

อาศัย อำนาจตามความในมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2551 จึงให้เปรียบเทียบ บริษัท เวิลด์ แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด โดยหม่อมหลวงชัยภัทร ชยางกูร และนายโดนัล เอียน แม็คเบน กรรมาการผู้จัดการผู้มีอำนาจกระทำแทนนิติบุคคล นายจ้าง เป็นเงินจำนวน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน)
ทั้งนี้ เมื่อผู้ต้องหาได้ชำระค่าปรับตามจำนวนที่เปรียบเทียบภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่รับทราบคำสั่งแล้ว ให้ถือว่าคดีเลิกกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ลงชื่อ นายสุเมธ มโหสถ รองอธิบดีกรมการจัดหางาน ได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมการจัดหางาน คณะกรรมการเปรียบเทียบ

ลงชื่อ พ.ต.อ.มนตรี เจียมบุรเศรษฐ์ ผู้กำกับการฝ่ายอำนวยการ กองกำกับการตำรวจนครบาล 2 ได้รับมอบหมายจากผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ คณะกรรมการเปรียบเทียบ

ลงชื่อ นางสาวนิตยา สุขะวัธนะกุล ผู้อำนวยการกองนิติการ คณะกรรมการเปรียบเทียบ


เปิดเอกสารร้องสอบ“ชัจจ์”ซุก“ค่าที่ปรึกษา”7 แสน – รับเงินโบนัส 1 ล้าน

จากสำนักข่าวอิสรา

เปิดเอกสารคำร้อง ป.ป.ช. สอบ“ชัจจ์ กุลดิลก”ซุก“ค่าที่ปรึกษา”เวิลด์แก๊ส 7 แสนไม่แจ้งบัญชีฯยุคสมัคร พบรับเงินโบนัส 1 ล้านงวดเดียว 

 

พล.ต.ท. ชัจจ์ กุลดิลก มีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาเอกชนกว่า 1.7 ล้านบาทแต่มิได้ระบุในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินต่อคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) 

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org รายงาน ว่า เอกสารชิ้นหนึ่งที่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ใช้เป็นหลักฐานประกอบการกล่าวหา พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ขณะดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินเป็นเท็จต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการ ทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คือมีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 733,333 บาท แต่มิได้แจ้งในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่นต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในหนังสือร้องเรียนของ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ต่อ ประธานป.ป.ช. เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ระบุว่า ในช่วงที่ พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก มีหน้าที่ต้องยื่นบัญชีแดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินของตนตามช่วงเวลาดัง กล่าวข้างต้นนั้น ข้อเท็จจริงยังปรากฏอีกด้วยว่า พล.ต.ท.ชัจจ์มีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาของบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่วันที่ 17 กันยายน 2552 เป็นจำนวนสูงถึง 733,333 บาท แต่ พล.ต.ท.ชัจจ์ก็ไม่ได้ระบุแจ้งในบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินที่ยื่น ต่อ คณะกรรมการ ป.ป.ช. เมื่อเดือนตุลาคม 2552 ว่ามีรายได้จากการเป็นที่ปรึกษาในบริษัทดังกล่าว

นอก จากนี้ “ค่าที่ปรึกษา”จำนวน 733,333 บาท ยังพบรายงานการประชุมคณะกรรมการบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ครั้งที่ 3/2552 วันที่ 29 กันยายน 2552 ซึ่งมีนายโดนัล เอียน แม็คเบน เป็นประธานกรรมการได้มีมติจ่ายเงิน “รางวัลพิเศษ”ให้ พล.ต.ท.ชัจจ์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาในอัตรา 2 เท่าของค่าตอบแทนเดือน หรือ เท่ากับ 1 ล้านบาท

ทั้งนี้รายงานการประชุมดังกล่าวระบุว่า

“นาย โดนัล เอียน แม็คเบน ประธานกรรมการบริษัท และประธานที่ประชุมได้เสนอต่อที่ประชุมว่า ท่านประธานที่ปรึกษา (พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) ได้สร้างคุณประโยชน์และความดีความชอบ รวมทั้งสร้างความเข้าใจอันดีในฝ่ายบริหาร ทำให้บริษัทฯ สามารถดำเนินงานไปอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นจึงเห็นสมควรพิจารณาจ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ให้กับท่านประธานที่ปรึกษา (พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) จำนวน 2 เท่าของค่าตอบแทนรายเดือน หรือเท่ากับจำนวน 1 ล้านบาท โดยให้จ่ายชำระในงวดเดียว”

“ที่ ประชุมพิจารณาแล้วมีมติเป็นเสียงข้างมาก อนุมัติให้จ่ายเงินรางวัลพิเศษ (โบนัส) ให้กับท่านประธานที่ปรึกษา (พลตำรวจโท ชัจจ์ กุลดิลก) จำนวน 2 เท่าของค่าตอบแทนรายเดือน หรือเท่ากับจำนวน 1 ล้านบาท โดยให้จ่ายชำระในงวดเดียว”

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.ชัจจ์ได้รับแต่งตั้งจากนายโดนัล เอียน แม็คเบน และ หม่อมหลวงชัยภัทร ชยางกูร กรรมการผู้มีอำนาจลงนามบริษัท เวิลด์แก๊ส (ประเทศไทย) จำกัด ให้เป็นที่ปรึกษาของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กันยายน 2552

ผู้ สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้มีข่าวระบุว่า นายโดนัล เอียน แม็คเบน ถูกขึ้นบัญชีเป็นบุคคลต้องห้ามเข้ามาในราชอาณาจักรและถูกกักตัวที่สนามบิน สุวรรณภูมิ ได้โทร.หา พล.ต.ท.ชัจจ์ให้ช่วยเหลือ กระทั่ง พล.ต.ท.ชัจจ์ได้ส่งนางวิมลรัตน์ กุลดิลก ภรรยาและเจ้าหน้าที่ตำรวจไปรับตัวออกมา


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เปิดแนวคำพิพากษาศาลฎีกา คิดดอกเบี้ยเกินอัตรา เทียบเคียงกรณี วิมลรัตน์ เมียชัจจ์ กุลดิลก ปล่อยกู้ โขกดอก ร้อยละ 3 ต่อเดือน

view