สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เชื่อเถิดครับมี คนดีจริงเก่งจริง อยู่รอบข้างปลอดภัยกว่า

เชื่อเถิดครับมี "คนดีจริงเก่งจริง" อยู่รอบข้างปลอดภัยกว่า

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




อุทาหรณ์กรณีพระราชบัญญัติ “นิรโทษกรรม” แบบเหมาเข่ง สะท้อนความจริงตามปรัชญาความเชื่อที่ว่า “คบคนพาลพาลพาไปหาผิด คบบัณฑิตนั้นพาไปหาผล (ดี)”

โดยส่วนตัวเชื่อว่าทั้งนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงคุณทักษิณ ชินวัตร มีคนเก่งกล้าสามารถความคิดฉลาดหลักแหลมแวดล้อมอยู่มากมาย แต่เรื่องน่าห่วงใยประการหนึ่งคือ คนจำนวนมากที่ห้อมล้อมหน้าหลังอยู่นั้น ส่วนใหญ่ “คนดีจริงดีแท้” เป็นกัลยาณมิตรออกจะหายากยิ่งนัก

การมุ่งมั่นด้วยความเชื่อในฐานะผู้มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ ทำให้ “เสียงทัดทานใดๆ” ถึงแม้จะดังและกึกก้องเพียงใด ก็ดูเหมือนทางฝ่ายรัฐบาลจะไม่ได้ยินหรือไม่คิดจะโอนอ่อนผ่อนตาม เพราะอาจด้วย “ข้อคิดความเห็นของคนรอบช้างที่นำเสนอแต่สิ่งซึ่งมองไปทางไหนก็ไม่มีอุปสรรคขวากหนาม เห็นแต่ความสำเร็จอันสดใสรออยู่เบื้องหน้า” จึงทำให้เดินหน้าถลำลึก เรียก “แขก” ออกมาเต็มท้องถนนในหลายพื้นที่

ถึงกระแสความเคลื่อนไหวที่เกือบจะ “โค่นรัฐบาล” ได้อ่อนตัวเหมือนพายุที่ตั้งเค้าเป็นพายุใหญ่แต่กลับกลายเป็นลมมรสุมหรือพายุฝนธรรมดา เพราะรัฐบาลยอม “เสียหน้า” ใส่เกียร์ถอยแบบสุดกำลัง ถึงแม้แกนนำของ “ฝ่ายค้าน” จะเลือกใช้ยุทธศาสตร์การลาออกเพื่อเดินหน้าหมดหน้าตักอย่างที่พูดๆ กัน แต่กระแสไม่แรงพอจะทำให้เกิดความสั่นสะเทือนต่อรัฐบาลที่เพิ่งผ่านการลุ้นคดีประวัติศาสตร์พระวิหารมาสดๆ ร้อนๆ

การตีความโดยคำพิพากษาของศาลโลก ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “หากไม่มีการนำคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาล ซึ่งคดีต่างๆ จะต้องได้รับความยินยอม (contentious case) ของคู่กรณี” สภาพดังเดิมนั้นถึงจะมีคำตัดสินในปี 2505 ให้กัมพูชาเป็นฝ่ายได้ประโยชน์แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจนในเรื่องอาณาบริเวณ (vivcinity) ที่แวดล้อมบริเวณตัวปราสาท พร้อมทั้งทางขึ้นไปสู่ตัวปราสาท แต่คำตัดสินในวันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน 2556 มีความพยายามที่จะทำให้สิ่งที่คลุมเครือมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งคนที่ตามเรื่องนี้มาแต่ต้นอย่างระมัดระวังจะพบว่า ความเพลี่ยงพล้ำในทางการเมืองระหว่างประเทศครั้งนี้ ทางพรรคฝ่ายค้านในขณะทำหน้าที่บริหารปกครองประเทศย่อมต้องมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้ความพยายามจะหยิบยกประเด็นผลคำพิพากษามาเป็นเชื้อทางการเมืองให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกระทำได้อย่างไม่เต็มปากเต็มคำนัก

ถึงแม้รัฐบาลในวันนี้อาจยัง “โชคดี” ที่สามารถปรับตัวและเลือกใช้ ความสงบสยบความเคลื่อนไหวต่างๆ แต่สิ่งที่ได้ดำเนินการไปหลายๆ อย่างเป็นการสะท้อนความจริงว่า รัฐบาลกับกลุ่มก้อนทางการเมืองอย่าง “พลพรรคเสื้อแดง” เป็นเนื้อเดียวกันอย่างแยกไม่ออก เพราะพอรัฐบาลออกมาปรามหรือมีคนออกมาประสาน ทางฝ่าย “เสื้อแดง” ที่ดูแข็งขืนดึงดันก็สามารถหันหลังกลับหรือหักมุมได้อย่างทันท่วงที

ยิ่งกว่านั้นยังพบอีกว่า ทางฝ่ายวุฒิสมาชิกโดยเฉพาะในส่วนที่มาจากการเลือกตั้งและสรรหา (บางส่วน) แสดงตนเสมือนอยู่ภายใต้การควบคุมสั่งการของรัฐบาลได้อย่างชัดเจน ทำให้ความน่าเชื่อถือและศรัทธาของประชาชนต่อบทบาทในการตรวจสอบและคานอำนาจรัฐบาลแลดูเป็นเรื่องน่า “ขบขัน” และถึงขั้นมีคนเห็นพ้องกันว่าการมีอยู่หรือการไม่มีวุฒิสภาแทบไม่มีความแตกต่างกัน หากการทำหน้าที่ของวุฒิสมาชิกยังมีสภาพอย่างที่เห็น ทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ผ่านไป ถึงขั้นฝ่ายค้านโยนเก้าอี้ หรือวอล์คเอ้าท์ออกจากห้องประชุม กลายเป็นเรื่องมี “น้ำหนัก” ให้ต้องนำกลับมาคิดตริตรองถึงความเหมาะควรในการผ่านการแก้ไขเปิดทางให้มี “สภาผัวเมีย” กันได้อีก

นี่คือสิ่งที่เป็นประจักษ์พยานอย่างที่รัฐบาลไม่พึงโต้แย้งว่า ผลพวงทั้งหมดมาจาก “กุนซือ” บรรดาที่ปรึกษาการเมืองและกฎหมายที่แวดล้อมอยู่อย่างมากมาย ทุกคนพยายามแสดง “ศักยภาพ” อวดตนว่า เป็นผู้มากความรู้ ความสามารถ และอยู่เคียงข้างผู้นำรัฐบาล แต่วันนี้ผลงานที่ออกมาของคนเหล่านี้ หากรัฐบาลยัง “ลุ่มหลงในคำหวาน คำป้อยอ” ของคนเหล่านี้ เหมือนต้องมนต์ไม่เสื่อมคลาย ขอเรียนด้วยความเคารพว่า คนที่จะพารัฐนาวาเกยตื้นไม่ใช่ใครที่ไหน ไม่ใช่พรรคฝ่ายค้าน ไม่ใช่ คปท. ไม่ใช่พันธมิตรฯ แต่คือ คนใกล้ตัวที่แวดล้อมนายกรัฐมนตรี และ ผู้นำผู้มีอำนาจเต็มของพรรคเพื่อไทย

ถ้ารัฐบาลยังต้องการรักษาสถานะเอาไว้ให้มั่นคง ต้องกล้าจะตัดเนื้อร้าย เลือกใช้ “คนดีจริง เก่งจริง” ซึ่งมีความหวังดีแต่มีปราการของคนจำพวกที่หยิบยกมาข้างต้นคอย “กีดกัน” และสกัดกั้นเพราะเกรงว่าจะถูกแย่งชิงเอาผลประโยชน์หรือลาภยศของตนไปต่อหน้าต่อตา ชี้ชัดขนาดนี้แล้ว ท่านนายกรัฐมนตรีคงทราบนะครับเป็นใครกันบ้าง


เบื้องลึกปฏิบัติการ "ลิ่วล้อ"พา"นาย"กลับ

ความวุ่นวายของบ้านเมืองในวันนี้ เชื่อว่าคนทั้งประเทศ คงจะมองเห็นว่า เกิดอะไรขึ้นกับสังคมไทย ปมปัญหาแท้จริงมาจากอะไร?

ใครคือผู้ที่ต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้น กับเรื่องราวที่ทำให้ประชาชนจำนวนมหาศาล เกิดความไม่พอใจ ลุกลามไปถึงความไม่ไว้วางใจ

ประเด็นนี้ เกือบนำพาไปสู่ความเสียหายของประเทศแบบไม่คาดคิด ด้วยการพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ในรัฐสภา เพราะไส้ในของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ กลายเป็น"ตัวกระตุ้น"ความเกลียดชัง และสร้างความไม่ไว้วางใจ ให้คนในสังคมอย่างรุนแรง เมื่อพยายามดันทุรังให้ผ่าน พ.ร.บ."ฉบับสุดซอย"

ว่ากันว่า ก่อนจะเป็นเรื่องเป็นราว ลุกลามใหญ่โต มีกลุ่ม"ลิ่วล้อ"จำนวนไม่น้อย ทำตัวเป็น"พ่อเพ็ดทูล"ขนทีมวิ่งโร่ไปหา"นายใหญ่"กันไม่ว่างเว้น บ้างก็เสนอไอเดีย ชนิดเอาอกเอาใจสุดๆ เพื่อให้นายเห็นภาพความสำเร็จ

ความพยายามที่จะพานายกลับประเทศ จึงเป็นเหตุให้นาย"ฮึกเหิม"อยาก"เอาชนะ"ให้ได้ โดยไม่คำนึงว่า ผลที่จะตามมา จะเป็นอย่างไร

กลุ่มคนที่ทำตัวเสมือนลิ่วล้อ วิ่งไปหาทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นดูไบหรือสิงคโปร์ แต่ละกลุ่มต่างมีข้อเสนอที่หลากหลาย เพียงเพื่อต้องการให้นายรู้สึกว่า พวกเขาสามารถช่วยนายกลับบ้านได้

คนที่อยู่แดนไกล เป็นเวลานานๆ อารมณ์อยากกลับบ้าน ย่อมพุ่งปรี๊ดขึ้นมา ใครเสนออะไร ก็รับฟังทั้งหมด แต่อีกมุมหนึ่ง คนที่เสนอย่อมจะไม่บอกถึงปัญหาที่จะลุกลามตามมา เพราะทุกคนก็อยากให้นายรัก

ฉะนั้น ทุกคนที่วิ่งไปหานาย กลับมาก็จะมีข้ออ้างจากนายทั้งสิ้น ว่านายต้องการแบบนั้นแบบนี้ จนในที่สุด แผนผลักดันร่าง พ.ร.บ.ฉบับสุดซอย ได้ถูกลิ่วล้อหยิบขึ้นมา โดยอ้างความต้องการของนายเป็นที่ตั้ง จนร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ น่าจะใช้ชื่อว่าพ.ร.บ.ฉบับลิ่วล้อสุดซอยน่าจะเหมาะกว่า

สำหรับลิ่วล้อจอมเพ็ดทูลมีทั้งกลุ่มที่เป็นคนในพรรค และกลุ่มที่แอบแฝงหวังหาผลประโยชน์ เรียกว่า บินไปเยี่ยมนายแทบ"หัวกระไดไม่แห้ง"ใส่ข้อมูลกัน ชนิดไม่สนใจฟ้าดิน

ซ้ำร้ายไปกว่านั้น ลิ่วล้อบางกลุ่ม มีหวังร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่านายจะกลับประเทศไทยได้ ถึงขั้นจองโรงแรมหรูรอไว้แล้ว ฉะนั้นแผนพยายามเอานายกลับบ้านจึงไม่ใช่ข่าวลือ แต่มันเป็นกระบวนการจัดวางแบบเบ็ดเสร็จที่น่ากลัวยิ่งนัก

ก่อนที่สถานการณ์ ต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษฉบับสุดซอย จะสุกงอม ถนนทุกสายต่างก็มุ่งหน้าไปหานายเพื่อปูทางกลับบ้าน แต่เมื่อกระแสตีกลับ เพราะมวลชนทั่วประเทศ ทุกกลุ่มสาขาอาชีพออกมารวมพลังคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ฉบับสุดซอยลิ่วล้อทั้งหลายจึงแตกกระเจิง ถึงขนาดคนที่สนับสนุน บินไปหานายเป็นว่าเล่น ก็ยังชิ่งหนี ตีมึน แบบข้าไม่รู้ ไม่เกี่ยว บางกลุ่มถึงขั้นเตรียมถีบหัวเรือส่ง ขณะที่บางกลุ่ม ก็พยายามเหยียบเรือสองแคม

จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ คงจะทำให้นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เห็นแล้วว่า ใครคือมิตรแท้ยามวิกฤติใครคือคนที่อยู่รอบข้างยามที่เกิดเหตุร้ายๆ และใครคือคนที่ชิ่งหนีเร็วที่สุด

ก็เพราะเมื่อไม่กี่วันมานี้ เห็นนายกฯยิ่งลักษณ์ ปรี๊ดแตกใส่ใครบางคน แบบไม่ไว้หน้า เพราะไม่ยอมออกมาช่วยชี้แจงประชาชนให้เข้าใจ ปล่อยให้สถานการณ์บานปลาย

เชื่อว่า..เสร็จภารกิจ"ถอยสุดซอย"แล้ว คงมีการไล่เช็กบิลกันยกใหญ่ คาดว่าไม่เกินเดือน ม.ค. 2557 จะเรียกว่า ปรับคณะรัฐมนตรีหนีอภิปราย ก็คงไม่ผิด แต่เมื่อถึงตอนนั้น ยังจะมีใครกล้าวิ่งไปขอตำแหน่งจากคนแดนไกล

สำหรับคนแดนไกล เชื่อขนมกินล่วงหน้าได้เลยว่า นับจากนี้ หมดสิทธิ์ ที่จะได้กลับบ้านเกิดในเร็ววันนี้ เพราะแค่หายใจ สังคมก็ปฏิเสธแล้ว ฉะนั้น..ก็ต้องอดทนอยู่นอกประเทศต่อไปเถอะครับท่าน


ก็ต่างสุดซอยกันทั้งนั้น....

นับตั้งแต่ปี 2553 เป็นต้นมา สถานการณ์การเมืองไทยเวลานี้อยู่ในช่วงที่วิกฤติที่สุด จากเดิมที่คาดว่าก็น่าจะแย่อยู่แล้ว

ด้วยสองแรงบวกของการพยายามแก้กฎหมายหลายมาตราหลายฉบับของรัฐบาลและคำวินิจฉัยของศาลโลกเรื่องเขาพระวิหาร แต่สถานการณ์ยิ่งวิกฤติหนักเมื่อรัฐบาลดันผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ทำให้ฝ่ายค้านและเครือข่ายรุกตีไม่หยุด แม้จะพยายามดับชนวน แต่ฝ่ายค้านที่กำลังได้มวลชนของตนกลับคืนมาก็ไม่เพลามือ ก็ "สุดซอย" ด้วยเหมือนกัน สังคมอยู่ในความอกสั่นขวัญแขวนว่าอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบกะทันหัน แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยหลายอย่างแล้ว ฝ่ายค้านน่าที่จะสถาปนาแนวตั้งรับเร่งด่วนและค่อยๆ ร่นถอยอย่างสวยงาม ก่อนที่จะเกิดเหตุที่ควบคุมไม่ได้

ทักษิณทำพลาดอย่างแรงที่เปลี่ยนแปลงร่าง พ.ร.บ.นิรโทษฉบับวรชัย เหมะ อาจเป็นเพราะเขาเชื่อมั่นว่าฝ่ายตรงข้ามไม่มีน้ำยาต้าน ฝ่ายเสื้อแดงถึงไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีทางญาติดีกับประชาธิปัตย์ จึงเท่ากับสนับสนุนตนทางอ้อมอยู่ดี เขาคิดว่าตนเองทรมานมาพอแล้วกับความผิดที่ตนเองไม่ได้ก่อ โดนระบบยุติธรรมจำแลงที่ไม่เป็นธรรมกับเขาเลย ยึดทรัพย์ ยึดเวลา ยึดโอกาสเขาไปโดยไม่ถูกต้อง ความเข้าใจนี้เป็นความเข้าใจเดียวกับที่ก่อให้เกิดมวลชนเสื้อแดงมหาศาล เขาจึงคิดว่าจะทวงคืนในคราวเดียวกันนี้เสียเลย แต่เขาคาดผิด ไม่ต่างจากนโปเลียนและฮิตเลอร์ที่เพี้ยนไปบุกรัสเซีย ในยามที่ตนครองยุโรปไว้ได้หมด หรือพระมหาอุปราชาโยนโอกาสทหารนับหมื่นบดขยี้ช้างสองเชือกให้เหมือนมดปลวก ดันคว้าง้าวไปรบกับสมเด็จพระนเรศวรตัวต่อตัว เป็นการแลกสิ่งที่มีอยู่แล้วกับโอกาสที่แทบจะไร้หวัง ผลคือพลาดท่าจริงๆ เปิดโอกาสให้ม็อบต้านที่เกือบหมดพลังไปแล้วฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีก ขณะที่ฝ่ายของตนเองแตกคอกันอย่างรุนแรง

การที่ชนชั้นกลางจำนวนหนึ่งในกรุงเทพที่เคยเอือมระอากับฝีมือการบริหารประเทศหรือการค้านทุกเรื่องของฝ่ายค้านและเครือข่ายจนหายไปจากฉากการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ หวนกลับมาแสดงพลังร่วมหัวจมท้ายกันอีกอันเนื่องมาจากการต่อต้าน พ.ร.บ.สุดซอยนี้ ส่งแรงกดดันรัฐบาลได้อย่างหนักหน่วง ขณะที่ฝ่ายเสื้อแดงที่เคยกลืนเลือดกับความล่าช้าของรัฐบาลมาเหมือนกัน กลับแสดงออกอย่างต่อต้าน พ.ร.บ.ที่ยกโทษให้คนที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นผู้ "สั่งตาย" พี่น้องเพื่อนผองเขาอย่างไม่มีเงื่อนไข ถึงขั้นจะตัดตายไม่เผาผีกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อน รัฐบาลถึงกับต้องทบทวนแนวทางกันใหม่ แล้วตัดสินใจถอยออกจากซอยซะแรงเกิน ชนิดที่เรียกว่าทะลุออกปากตรอกข้ามเกาะกลางถนนไปอีกเลนนึงทีเดียว เพื่อหวังดับไฟที่กำลังลามให้ได้ ผลคือสถานการณ์เริ่มพลิกกลับทันที

ฝ่ายค้านที่ลอยอยู่บนเมฆมวลชนที่ตนเองเชื่อว่าจุดติดแล้ว ไม่สนใจการถอยของฝ่ายรัฐ เพราะรอจังหวะทองนี้มา 2 ปีแล้ว รุกต่อโดยไม่สนใจว่ากระแสจะตีกลับ เปิดเวทีต่อเนื่อง โยงเรื่องมาตรา 190 และเขาพระวิหาร มาหล่อเลี้ยงม็อบที่เหลืออยู่ไม่ให้จบ แม้ว่าผู้มีแนวคิดเดียวกันส่วนใหญ่ได้สิ่งที่ต้องการก็กลับไปทำมาหากินปกติแล้ว ฝ่ายค้านหวังลึกๆ ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี้อาจเปลี่ยนสภาพการเมืองตามที่พวกเขาเรียกร้องได้จริง คือรัฐบาลต้องล้มไปด้วยตัวแปรอะไรก็ได้ แต่สิ่งที่เป็นรูปธรรมจับต้องได้มากที่สุดคือมวลชนของตนกลับมาเป็นปึกแผ่นซะยิ่งกว่าเมื่อตอนเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพเชิงยุทธศาสตร์เสียอีก หากต้องเลือกตั้งใหม่ต้นไป 57 เสียงเหล่านี้น่าจะยกประชาธิปัตย์ให้กระชับใกล้เข้ามาหาเพื่อไทยอีกหลายสิบเสียงหรืออาจถึงขั้นพลิกกลับได้จับขั้วพรรคร่วม จัดตั้งเป็นรัฐบาลอีกก็ได้ หรือถ้าเกิดเหตุว่ารัฐบาลหน้าไม่ได้มาจากเลือกตั้ง ตนเองก็คงไม่เสียหายมากมายอะไรเมื่อเทียบกับคู่แข่ง

แต่การที่รัฐบาลพยายามถอดชนวนให้เห็นไปแล้ว ก่อให้เกิดผลกระทบในใจคนส่วนใหญ่ผู้มีแนวคิดต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมอย่างมหาศาล ฝ่ายเสื้อเหลืองถึงไม่มั่นใจสัจจะรัฐบาลก็ไม่อยากเข้าร่วมม็อบอีกต่อไปเพราะตระหนักแล้วว่าเป้าหมายเกินเลยกว่าความต้องการล้มกฎหมาย อีกทั้งมองไม่ออกว่ารัฐบาลหน้าจะดีกว่ารัฐบาลนี้จนคุ้มแรงที่ออกมาตากแดดหรือไม่ ฝ่ายเสื้อแดงนั้นก็พลิกผัน มองว่ารัฐบาลยอมรับผิดแล้วแม้ว่าจะแอบขุ่นใจที่ระดับรากหญ้าติดกับการถอน/คว่ำ พ.ร.บ.นี้ ยังต้องอยู่ในเรือนจำต่อไป แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามระดมตีรัฐบาลแบบสุดซอยถึงขั้นจะเอาให้ล้ม พวกเขาก็หันหลังมารวมกันแสดงพลังว่าหนุนรัฐบาลต่ออย่างมหาศาลเหมือนที่เคยทำ ภาพเช่นนี้ทำให้ฝ่ายที่อยู่ในมุมมืดต้องคิดหนักชะงักไปไม่กล้าทำอะไรผลีผลาม

ถ้าสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ รัฐบาลอาจยื้อเลือกตั้งไปถึงต้นปี 58 ถึงตอนนั้นกระแสมวลชนที่สนับสนุนพรรคฝ่ายค้านลดอะดรีนารีนลง แผลในกลุ่มเสื้อแดงสมานแล้ว การพัฒนาและแก้ปัญหาในประเทศเริ่มฉายผลให้เห็นบ้าง รัฐบาลหน้าก็ยังน่าจะเป็นของเพื่อไทยอยู่ ซึ่งฝ่ายค้านไม่ต้องการให้เป็นเช่นนั้น ในเมื่อเอาชนะไม่ได้ก็ต้องร่นถอยอย่างมีชั้นเชิง ค่อยๆ ปล่อยให้การเดินเกมแรงนอกสภานั้นเป็นของมืออาชีพที่มิใช่นักการเมือง แม้ว่ายุคนี้ก็วางใจในประสิทธิภาพมืออาชีพนั้นไม่ค่อยได้ ส่วนตนกลับไปเดินเกมในสภา ยื่นร้องฟ้องถอด ประสานกับเครือข่ายที่ตนเองมีในสังคมต่อไปเหมือนที่เคยทำมาจนกว่าจะเลือกตั้งใหม่ รักษาแต้มที่ได้มาเป็นกอบเป็นกำไว้ด้วยกิจกรรมต่อเนื่อง โดยอ้างเสียงต่อต้าน พ.ร.บ.สุดซอยได้ตลอดเวลาว่าเข้าข้างตน หากมีความสม่ำเสมอเช่นนี้ ประตูชัยก็คงไม่ปิดตายสำหรับฝ่ายค้าน แต่บ้านเมืองจะได้ประโยชน์อะไรนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ความไม่สงบยังคลี่คลายไม่ได้ เพราะคนเกือบทั้งหมดที่แบ่งฝ่ายกันยอมไม่ได้ที่จะให้อีกฝ่ายรอดคุกรอดประหาร เพราะคิดว่าฝ่ายตนสูญเสียหนักหรือจะสูญเสียอย่างหนักจนไม่มีอะไรทดแทนได้ ตราบใดที่ยังขึ้งเกลียดกันเช่นนี้ ไม่ต้องถามว่าจะเกิดความรุนแรงอีกไหม ถามว่าเมื่อไหร่จะเหมาะกว่า บางทีปรากฏการณ์ที่เกิดกับโซเวียต เมื่อ ส.ค.34 อาจเตือนใจคนบางฝ่ายได้


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เชื่อเถิดครับ คนดีจริงเก่งจริง อยู่รอบข้าง ปลอดภัยกว่า

view