จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
แจ็ค เอ็ม. ซูเฟลท์ นักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก ไขรหัสวิถีทางสร้างความสำเร็จเพื่อไปสู่สุดยอดความปรารถนาทั้ง 6 ด้านของคนเรา ชี้ทุกคนสามารถบรรลุเป้าหมายได้แน่ เผยขั้นตอนและวิธีตั้งคำถามเพื่อหาคำตอบของความต้องการที่แท้จริง หรือ Core Desire พร้อมยกตัวอย่างที่ทำให้เห็นภาพและสร้างความเข้าใจได้อย่างชัดเจน “The DNA of Success หรือสิ่งที่ก่อกำเนิดความสำเร็จของคนเรา เป็นเหมือนการเปิดสวิตช์เพื่อดึงพลังที่มีอยู่ภายในตัวเราทุกคนออกมา ด้วยการที่ต้องรู้ให้ได้ว่าสิ่งที่ใจเราต้องการ “ทั้งใจ” คืออะไร ไม่ใช่ครึ่งใจหรือสามในสี่เท่านั้น เพราะเมื่อใดที่รู้ว่าต้องการสิ่งนั้นทั้งใจ เราจะเริ่มใช้สมองว่าจะทำอย่างไรให้ได้สิ่งนั้นมา นี่คือแนวความคิดหลักของเรื่องนี้" แจ็ค เอ็ม. ซูเฟลท์ (Jack M. Zufelt) สุดยอดนักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลก และผู้แต่งหนังสือเรื่อง The DNA of Success เริ่มต้นกล่าวถึงวิธีสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นในชีวิตของทุกๆ คน |
||||
แนวคิดหรือหลักการนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องไม่ว่าจะเป็นเรื่องธุรกิจ หรือเรื่องส่วนตัว สำหรับผู้บริหารซึ่งต้องการกระตุ้นทีมงาน เช่น ในองค์กรที่เน้นการขายสามารถแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ตามปกติกลุ่มบนสุดที่ประสบความสำเร็จสามารถสร้างยอดขายได้มากมีเพียง 5% เท่านั้น ส่วนกลุ่มระดับกลางที่มีรายได้แบบพออยู่ได้มีประมาณ 30% และอีก 65% ต้องไปหางานใหม่หรือควรจะมีงานสำรอง ความแตกต่างระหว่างกลุ่มบนสุดและล่างสุดคือความต้องการที่ อยู่ภายในใจของพวกเขา กลุ่มบนสุดจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เขาต้องการ ส่วนกลุ่มล่างสุดจะหยุดเมื่อพบอุปสรรคหรือปัญหา โดยไม่พยายามก้าวผ่านหรือเปลี่ยนมุมมองหรือเปลี่ยนทัศนคติเพื่อไปสู่สิ่งที่ ต้องการให้ได้ |
||||
ดังนั้น สิ่งที่แต่ละคนต้องรู้คือ “อะไรคือสิ่งที่ต้องการมากที่สุดในชีวิต?” และเพื่อให้แต่ละคนประสบความสำเร็จพร้อมๆ กันใน 6 ด้านสำคัญของชีวิต คือด้านการเงิน ด้านครอบครัว ด้านสังคม ด้านสุขภาพ ด้านจิตวิญญาณ และด้านการศึกษา เพราะอะไรก็ตามที่คนเราต้องการมักจะอยู่ภายใน 6 ด้านนี้ ประเด็นสำคัญคือมันไม่สำคัญว่าพื้นฐานหรือแม้แต่ประสบการณ์ในเรื่องนั้นๆ ของแต่ละคนจะเป็นอย่างไรก็ตาม |
||||
สำหรับวิธีการ (How) ของการที่จะรู้ว่าสิ่งที่ต้องการ “ทั้งใจ” นั้นคืออะไร เริ่มจากข้อแรก การ“ใช้”ใจหรือความรู้สึก โดย“ไม่ใช้“สมองหรือความคิด ไม่ต้องคิดว่าสิ่งที่ต้องการนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่ได้มากน้อยแค่ไหนก็ตาม เพราะสมองของเราอาจจะให้เหตุผลว่าเราทำไม่ได้แน่เพราะไม่เคยทำมาก่อน แต่ใจของเราบอกว่าอยากทำ ข้อสอง ถามสองคำถามนี้ คำถามแรก อะไรคือสิ่งที่คุณอยากได้ แต่คุณยังไม่มี ? คำตอบที่ได้จะเป็น แก่นแท้ของความต้องการ หรือ Core Desire ซึ่งต่างจากความหวัง (Hope) ความต้องการ (Wish) ความจำเป็น (Need) สิ่งที่ควรจะเป็นจะมีจะได้ (Should) แต่เป็นสิ่งที่ใจเราต้องการจริงๆ คำถามที่สอง แบบแผนของคำถามเพื่อเจาะลึกให้รู้ในสิ่งที่เราต้องการหรือให้ได้คำตอบที่แท้ จริง นั่นก็คือคำถามว่า1.อะไรคือสิ่งที่เราต้องการ 2.เมื่อเราได้สิ่งนั้นมาแล้ว เราจะได้อะไรหรือจะรู้สึกอย่างไร |
||||
4 คำตอบที่ได้มา ตั้งแต่เรื่องเงิน ท่องเที่ยว ความสงบ การอยู่กับสามีอย่างสงบสุข จุดที่เขาจะเข้าไปช่วยให้ความต้องการสำเร็จผลขึ้นมาได้คือคำตอบสุดท้าย ด้วยการทำให้เธอกับสามีไม่ต้องแยกทางกัน เพราะเป็นสิ่งที่เธอต้องการมากที่สุดในเวลานั้น และ 6 เดือนต่อมา เขาได้คำตอบจากเธอว่า ไม่ได้มีเงินมากขึ้น แต่ชีวิตมีความสงบดี และไม่ต้องการไปเที่ยวที่ไหนโดยสามีไม่ได้ไปด้วย ท้ายสุดคือการมีชีวิตคู่ที่มีความสุข อีกตัวอย่าง ทีมขาย 50 คน มีพนักงานขายคนหนึ่งอายุ 31 ปี มาบอกเขาว่าสิ่งที่เป็น Core Desire คืออยากเพิ่มยอดขาย เขาจึงถามว่าเมื่อได้ยอดขายมากขึ้นแล้วจะได้อะไร คำตอบคือการมีเงินมากขึ้น เขาถามต่อว่าแล้วอยากได้อะไรต่อจากนั้น คำตอบคือจะได้มีอิสรภาพเพื่อจะไปทำอะไรก็ได้ อย่างการมีรถดีๆ การไปท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ในขณะที่คู่หมั้นของชายคนนั้นซึ่งอยู่ด้วยก็พูดว่า “คุณรู้ว่าทำไมคุณต้องการเงินเพิ่ม คุณเคยบอกว่ายังไม่สามารถแต่งงานได้จนกว่าจะมีเงินมากพอที่จะดูแลฉัน” พนักงานขายคนนั้นก็น้ำตาไหล ดังนั้น เขาจึงมุ่งไปที่การทำให้พนักงานขายคนนั้นสามารถแต่งงานได้ และหันไปถามคู่หมั้นของพนักงานขายคนนี้ว่าจะแต่งงานด้วยหรือไม่แม้ว่าชายคน นี้จะยังจนอยู่ก็ตาม คู่หมั้นตอบว่าอยาก ขณะที่ พนักงานขายงงเพราะไม่เคยรู้มาก่อน Core Desire ของพนักงานขายคนนี้คือต้องการแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ แต่ในความคิดของชายคนนี้คือต้องมีเงินให้มากก่อนจึงจะได้แต่ง จนกระทั่งเมื่อได้รู้ความต้องการที่แท้จริง 3 เดือนต่อมาทั้งสองคนได้แต่งงานกัน หลังจากที่ทั้งคู่หมั้นกันมานานถึง 6 ปี แต่พนักงานขายคนนี้ยังไม่ได้ทำเงินได้มากกว่าเดิม จนกระทั่ง ได้รับการสอนว่าจะค้นหา Core Desire ของลูกค้าได้อย่างไรและนำสินค้าที่มีอยู่มาตอบโจทย์ให้ตรงกับความต้องการที่ แท้จริงของลูกค้าให้ได้ จากนั้น 3 เดือนต่อมา พนักงานขายคนนี้ซึ่งมีอาชีพขายประกันมียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 300% และอีก 1 ปีต่อมา ก็กลายเป็นพนักงานขายอันดับหนึ่งของบริษัท |
||||
ในการบริหารจัดการ เมื่อเป้าหมายของบริษัททุกแห่งต้องการมีผลกำไรและหวังว่าพนักงานจะมีความสุข ในการทำงาน ดังนั้น ผู้บริหารจึงต้องรู้ว่าพนักงานต้องการอะไรและพยายามให้พนักงานได้ในสิ่งที่ ต้องการมากที่สุดโดยไม่ส่งผลเสียต่อนโยบายในการบริหารงานของบริษัท เพราะเมื่อพนักงานมีความสุขจะทำให้เกิด synergy ส่งผลให้เกิดการทุ่มเททำงานอย่างมีประสิทธิภาพ เกิดความจงรักภักดี สุดท้ายคือบริษัทได้ผลประกอบการที่ดีหรือมีผลกำไร จากการทำงานอย่างมีผลิตภาพ (productivity) เพราะ Core Desire ทำให้สิ่งที่อยู่ในระดับกลางๆ หายไป เนื่องจากทุกคนพุ่งตรงสู่ความเป็นเลิศเท่านั้น นักสร้างแรงบันดาลใจระดับโลกทิ้งท้ายว่า สำหรับผู้บริหารหาก เข้าใจ Core Desire ของพนักงานที่จะจ้างเข้ามา จะรู้ว่าไม่ต้องการจะจ้างใครและต้องการจะจ้างใคร การจะรู้ว่าอะไรคือ Core Desire ก็คือเมื่อเจาะลึกลงไปจนถึงความต้องการที่แท้จริงแล้ว สิ่งที่จะบ่งบอกหรือเหตุการณ์ที่จะทำให้รู้ได้คือ ความรู้สึกที่แท้จริงจะแสดงออกมาให้เห็น เมื่อยังแสดงอาการลังเลหรือถ้ายังต้องคิดแสดงว่า“ยังไม่ใช่” แต่เมื่อใดที่ “ใช่”จะไม่มีความสงสัย ไม่งงหรือลังเล เพราะจะเป็นอารมณ์ความรู้สึกที่บอกได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้ความคิดพิจารณาว่า ใช่หรือไม่ใช่ |
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน