สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

สินทรัพย์เฟ้อ

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ คิด วิเคราะห์ แยกแยะ โดย วีระพงษ์ ธัม

www.10000Li.net


หลังจากโลกต้องผ่านวิกฤตทางการเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่ง คือ วิกฤตเลห์แมน บราเธอร์ส หรือวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ซึ่งส่งผลต่อสถาบันการเงินและระบบเศรษฐกิจในประเทศฝั่งอเมริกาหรือยุโรปโดย ตรง วิธีแก้ปัญหาวิกฤตครั้งนี้ธนาคารกลางหลาย ๆ ประเทศเลือกที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเข้าระบบ อย่างที่เห็นจากมาตรการ QE ของสหรัฐ

นับจากนี้สิ่งที่อาจจะเป็นผลพวงต่อเนื่อง หรือมรดกชิ้นใหญ่จากมาตรการอัดฉีดมาหลายปี คือ สภาวะที่สินทรัพย์เกือบทุกประเภทมีราคาพุ่งสูงขึ้นอย่างมาก หรือเกิดสภาวะสินทรัพย์เฟ้อ เพราะคนเลือกที่จะไม่ถือเงินสดที่เหมือนจะด้อยค่าลงทุกวัน อีกทั้งดอกเบี้ยในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาก็ต่ำมาก เพื่อให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดีขึ้น

สิ่งนี้แตกต่างจากสภาวะเงินเฟ้อที่คงอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจและวิธีการคิดเงินเฟ้อพื้นฐานจากสูตรคำนวณทางเศรษฐศาสตร์

อย่างไรก็ดีบ่อยครั้งที่ตัวเลขเงินเฟ้ออาจจะขัดแย้งกับความรู้สึกคนอยู่บ้าง เช่น อัตราเงินเฟ้อในปีนี้มีแนวโน้มเติบโตน้อยสุดในหลาย ๆ ปีให้หลัง แต่ความรู้สึกเราคือ สินค้ามีราคาแพงขึ้นมาก

แต่ในทางกลับกัน ความรู้สึกว่าค่าครองชีพสูงขึ้นมากอาจจะมาจากราคาสินทรัพย์เฟ้อที่มีการ ติดตามหรือควบคุมน้อยกว่ามาก สภาวะสินทรัพย์เฟ้อที่เกิดขึ้น เช่น ราคาที่อยู่อาศัยปัจจุบัน คอนโดฯกลางเมืองมีราคาสูงขึ้นมากกว่าเงินเฟ้อทั่วไปหลายเท่า ยิ่งถ้าเปรียบเทียบราคาค่าเช่าที่ได้รับแล้ว ยิ่งทำให้เห็นภาพความเฟ้อของสินทรัพย์ยิ่งขึ้น ในอดีตผู้ให้เช่าอาจหาผลตอบแทนการเช่าระดับ 8-10% ไม่ยากนัก แต่ปัจจุบันผลตอบแทนค่าเช่าอาจจะต่ำเพียง 3-4%

นอกจากนั้น ราคาที่ดินในกรุงเทพฯรวมถึงต่างจังหวัด ก็ปรับตัวสูงขึ้นมากในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงสินทรัพย์ที่เป็นสินทรัพย์กลางระดับโลกอย่างทองคำก็มีการปรับตัวขึ้น อย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ดังนั้นสิ่งที่ตลาดหุ้นมีสภาพเป็น กระทิงในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา โดยมีการเติบโตของราคาหุ้นสูงกว่าการเติบโตของกำไรต่อหุ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ค่าเฉลี่ย P/E ของตลาดหุ้นไทยก็เขยิบขึ้นมาจากระดับที่ต่ำกว่า 10 เท่าในช่วงหลายปีที่แล้ว เป็น 14 เท่าในปัจจุบัน

รวมถึงเงินปันผล รวมทั้งตลาดที่ลดลงมาตลอด เป็นสภาวะเดียวกันกับสินทรัพย์ประเภทอื่น ๆ และถ้าลองดูตลาดหุ้นอื่น ๆ ที่เป็นประเทศกำลังพัฒนาก็พบปรากฏการณ์เดียวกันเกือบทั้งสิ้น เรียกได้ว่าสภาวะเงินทุนส่วนเกิน หรือ Fund Flow จากทั้งกระเป๋าสตางค์คนต่างชาติหรือคนไทยด้วยกันเอง ทำให้ดัชนีหุ้นและราคาหุ้น รวมถึงสินทรัพย์อื่น ๆ ถีบตัวสูงขึ้นทั้งกระดาน

ปรากฏการณ์ นี้ถ้าเป็นนักลงทุนเราควรจะทำอย่างไร บัฟเฟตต์เคยบอกว่า สิ่งที่ยากที่สุดในการลงทุนคือการรอ ถ้าราคาสินทรัพย์พุ่งเกินพื้นฐานขึ้นไปอย่างต่อเนื่องเราก็ไม่จำเป็นต้อง ซื้อ

แต่อย่างไรก็ดี ผมคิดว่าถ้ามองกลับไปที่พื้นฐาน บางสิ่งอาจจะขึ้นโดยไม่มีวันที่ราคาจะต่ำลงมาได้อีก เช่น ต้นทุนค่าแรง เพราะเป็นแนวโน้มที่ "ค่าแรงของโลก" จะมีความใกล้เคียงกันมากขึ้น และเป็นไปได้ยากขึ้นมากที่เราจะจ้างคนที่มีความสามารถใกล้เคียงกันในราคาที่ แตกต่างกันมากอย่างสุดกู่ รวมถึงทรัพยากรทางเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มลด น้อยลงและขาดแคลน อย่างที่ดิน สิ่งเหล่านี้คือปัจจัยที่ผลักดันให้ราคาสูงขึ้นจากต้นทุน (Cost Push) โลกในช่วงนี้ผมคิดว่าเป็นการปรับสมดุลครั้งใหญ่เนื่องจากการเชื่อมต่อกันของ โลกสมัยใหม่

อย่าง ไรก็ดี ก็เป็นไปได้ที่สินทรัพย์มีราคาสูงขึ้นเนื่องจากความต้องการของตลาด (Demand Pull) หรือสูงขึ้นเพราะเหตุผลที่ว่า ถ้าไม่ซื้อวันนี้จะไม่ได้ซื้ออีกแน่นอนในวันพรุ่งนี้ เช่น สภาวะสินทรัพย์เฟ้อที่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 90 ซึ่งสุดท้ายก็จะเกิดสภาวะฟองสบู่ โดยฟองสบู่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นก่อตัวปี 1985 ดัชนีนิกเคอิอยู่ที่ 13,000 จุด และทำจุดสูงสุดตลอดกาลที่ 38,957.44 จุด ในวันที่ 29 ธันวาคม 1989 และดัชนีนิกเคอิตกลงมากว่า 35% ในปีต่อมา และลดลงมาโดยตลอด และไม่เคยได้เห็นจุดนั้นอีกเลย สินทรัพย์เฟ้อครั้งนี้ผมคิดว่าเกิดขึ้นทั้ง 2 เหตุผล หน้าที่ของนักลงทุนคือ หาความแตกต่างในความเหมือน ดั่งเช่น เพชร และถ่าน เพราะแม้จะเกิดจากธาตุคาร์บอนเหมือนกัน แต่ด้วยความแตกต่าง

บางอย่างทำให้สิ่งหนึ่งเป็นแค่ถ่าน แต่อีกสิ่งหนึ่งคือเพชร


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : สินทรัพย์เฟ้อ

view