สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

195ผู้ทรงคุณวุฒิตั้งเครือข่ายหนุนปฏิรูป

195ผู้ทรงคุณวุฒิตั้งเครือข่ายหนุนปฏิรูป

จาก โพสต์ทูเดย์

195นักวิชาการ-ผู้ทรงคุณวุฒิร่วมตั้งเครือข่ายสนับสนุนการปฏิรูป "นพ.พลเดช"แนะเดินหน้าปฏิรูปประเทศ 4 เรื่องหลัก

เมื่อวันที่ 28 ม.ค.ที่โรงแรมเดอะสุโกศล นายธีรยุทธ บุญมี นักวิชาการอาวุโส แถลงข่าวตั้งเครือข่าย “ผู้รับใช้การปฎิรูปประเทศไทยโดยสันติของประชาชนไทย"  และจัดสัมมนา Restart  ประเทศไทย โดยมีผู้ที่ร่วมลงชื่อกว่า 195 คน ประกอบด้วยนักวิชาการ อดีตข้าราชการ และนักเคลื่อนไหวทางสังคม อาทิ ภญ.กฤษณา ไกรสินธุ์ คณบดีคณะการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต, เกริกไกร จีระแพทย์  อดีตรมว.พาณิชย์, คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา อดีตปลัดกระ ทรวงศึกษาธิการ, ศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, นายนิวัติ กองเพียร นักเขียน, ม.รงว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรมว.คลัง, ศ.ระพี สาคริก นักวิชาการอาวุโส, ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช นายกสภามหาวิทยาลัยมหิดล เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมี นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข เข้าร่วมด้วย

นพ.พลเดช ปิ่นประทีป อดีตรมว.พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า ความตั้งใจในการร่วมตัวครั้งนี้ มาจากความต้องการ restart ประเทศไทย หลังเผชิญวิกฤตรอบด้าน ทั้งด้านทุจริตคอร์รัปชัน การเมือง การปกครอง ความเหลื่อมล้ำ ความไม่เป็นธรรม ระบบการศึกษาที่อ่อนแอ องค์กรสื่อสารมวลชนใช้เสรีภาพที่ขาดความรับผิดชอบต่อสังคม และมีส่วนสร้างความแตกแยก ในสภาพที่การเมืองต่างหมดความชอบธรรมที่จะนำพาการแก้ปัญหา อย่างไรก็ตาม เครือข่ายนี้จะไม่พูดถึงว่าการเลือกตั้ง จะต้องเลื่อนหรือไม่ เพียงแต่เห็นพ้องกันเท่านั้นว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ควรใช้พลังในการปฏิรูปประเทศเท่านั้น

ทั้งนี้โดยเฉพาะในประเด็นสำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่ 1.ปฏิรูปปรับปรุงโครงสร้าง ระบบและกฎหมายที่จำเป็น 2.ปฏิรูปโครงสร้างการเมือง การปกครองและระบบบริหารราชการแผ่นดิน 3.ปฏิรูปโครงสร้างและกระบวนการยุติธรรม 4.ปฏิรูปโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาด สร้างธรรมาภิบาลทางเศรษฐกิจ และ 5.ปฏิรูปสังคมเพื่อเสริมสร้างพลังพลเมืองที่เข้มแข็ง รวมถึงมีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ ได้แก่ 1.เชื่อมโยงบุคคลลผู้มีจุดยืนการปฏิรูปชัดเจนและมีทุนทางสังคมสูง เพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง 2.ร่วมประคับประคองประเทศในระยเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ 3.น้อมตัวเป็นผู้รับใช้ในการปฏิรูปประเทศ และ 4.สร้างเสริมเครือข่ายเฉพาะประเด็นและพื้นที่

“เป็นความตั้งใจของธีรยุทธ กับผู้ริเริ่มว่าเป็นผู้รับใช้ ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหมายความว่าประชาชนต้องการเปลี่ยนแปลงไปทางไหนอะไรที่ช่วยรับใช้ได้ ก็ยินดีที่จะปวารณาตัวรับใช้จะเสริมสร้างเครือข่ายเฉพาะประเด็น และเฉพาะพื้นที่ ดำเนินการให้บรรลุผลและทะลุทะลวงเฝ้าระวังเป็นวอทช์ด็อกทั่วทั้งประเทศ เป็นพลังการเปลี่ยนแปลงที่มหาศาล”นพ.พลเดช กล่าว

นายธีรยุทธ กล่าวว่า ปัญหานักการเมืองไทยว่าปัจจุบันมีความโลภและใช้อำนาจแบบไม่จำกัดซึ่งจะนำประเทศไปสู่ความพินาศ เพราะฉะนั้นจึงขอเสนอให้ประชาชน ทบทวนรับฟังข่าวสารอย่างมีสติ เช่น ความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้ง2ก.พ.ซึ่งความแตกต่างในความคิด แต่ทั้งสองฝ่ายใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเหมือนกัน และไม่จำเป็นต้องทำร้ายกัน รวมทั้ง การดูถูกวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในภูมิภาค หรือคนเมืองกับคนชนบท ที่มีผู้หยิบยกมาเป็นประเด็นทางการเมือง ซึ่งปัจจุบันมีความเท่าเทียมกันมากแล้ว ส่วนกระแสการปฎิรูป เป็นหน้าที่ทุกคน ร่วมกันสร้างสังคมเข้มแข็ง ภาคสังคม ภาคประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง ในการตรวจสอบต่อไป ทั้งนี้ ยืนยันว่าสนับสนุนการเคลื่อนไหวของมวลมหาประชาชน เพราะเชื่อว่าจะนำไปสู่การปฏิรูปประเทศในทุกๆ ด้านได้

“การทบทวนความรู้ ความเข้าใจข่าวสารอย่างปราศจากอคติจะช่วยลดความรุนแรงได้ แต่ประเทศไทยมีกรรม กระแสปฏิรูปหลัง 14 ต.ค. มี หลังพฤษภาทมิฬก็มี เพราะคนคิดว่าเป็นเรื่องง่าย มีกฎหมายแก้ได้ แต่ความจริงยาก เพราะต้องต่อสู้จนนำไปสู่การปฏิบัติ และทุกคนต้องเอาด้วย ส่วนที่คิดว่าชนชั้นนำแก้ปัญหาได้ต้องตัดทิ้ง ซึ่งต้องเปลี่ยนวิธีคิด ซึ่งจากล่างสู่บนถือว่าดีที่สุด เพราะต้องขยายไปต่างจังหวัดให้ทุกกลุ่มมากที่สุด เพื่อให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริง”นายธีรยุทธ กล่าว

ทั้งนี้ เครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย จะเดินสาย รับฟังความคิดเห็นทั่วประเทศ โดยจะเริ่มจาก จ.เชียงใหม่ จ.นครราชสีมา และ จ.สงขลา เพื่อผลักดันข้อเสนอการปฏิรูปประเทศต่อไป


มีชัยเขียนจม-เปิดผนึกชวนทุกฝ่ายร่วมปฏิรูป

จาก โพสต์ทูเดย์

"มีชัย"ร่วมเครือข่ายปฏิรูป ส่งจม.เปิดผนึก ให้สติผู้สำนึกต่อบ้านเมืองต้องร่วมปฏิรูปประเทศขจัดผู้มีอำนาจคิดพิสดาร

เมื่อวันที่ 27 ม.ค.นายมีชัย ฤชุพันธ์ อดีตประธานวุฒิสภาเขียนจดหมายเปิดผนึกถึงการรวมตัวกันของกลุ่มผู้มีชื่อเสียงทางสังคมจากทุกวงการจำนวน 195คน ในนามเครือข่ายผู้รับใช้การปฎิรูปประเทศไทยโดยสันติของประชาชนไทย โดยเนื้อความในจดหมายมีดังนี้

ใครก็ตามที่มีสำนึกในความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองและสังคมย่อมตระหนักดีถึงความเสื่อมโทรมที่ปรากฎอยู่ในทุกด้านในบ้านเมืองเรา บรรดากลไกของกลไกกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันมิได้ล้าสมัยเมื่อเปรียบเทียบกับนานาประเทศแต่ไม่อาจใช้ได้อย่างได้ผลกับสังคมที่คนส่วนหนึ่งซึ่งมักจะเป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้มีวิธีคิดที่พิสดารเกินกว่าใครจะคาดคิดถึง ความจำเป็นในการปฏิรูปในทุกเรื่องจึงเป็นเรื่องรีบด่วนที่สุด เพื่อให้ทุกคนสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสงบและถูกต้องตามคำนองคลองธรรม และประเทศไทยจะสามารถพัฒนาไปได้อย่างที่ควรจะเป็น

แต่การปฏิรูปนั้นไม่อาจทำได้ให้สมบูรณ์โดยลำพังคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง จำเป็นต้องร่วมมือกันจากทุกฝ่าย ทุกอาชีพ ทุกวงการ เพื่อให้ทุกกลุ่มจะนำปัญหาที่ประสบมาเปิดเผย พร้อมเสนอแนวทางแก้ไขมาหลอมรวมกันให้เป็นแนวทางที่ครบถ้วนและสมบูรณ์สามารถนำไปปฏิบัติได้

การที่บุคคลจากหลากหลายอาชีพ หลากหลายวงการมารวมตัวกันเพื่อผลักดันและเข้าร่วมในการปฏิรูปประเทศ จึงเป็นนิมิตหมายที่ดี เป็นช่องทางที่จะทำให้การปฏิรูปที่จะดำเนินการกันต่อไปเกดิความสมบูรณ์และมีส่วนร่วมอย่างหลากหลาย นับเป้นเรื่องที่น่ายินดีและน่าชื่นชม


'ธีรยุทธ'ชี้'ทักษิณ'ยอดสุดของปัญหา

เปิดตัวเครือข่ายใหม่ ชูธงปฏิรูปประเทศโดยสันติ ด้าน"สมเกียรติ"ปลุกสื่อทำหน้าที่ค้นหาความจริง ด้าน"ธีรยุทธ"ชี้ "ทักษิณ"อยู่ยอดสุดของปัญหา

ที่โรงแรมสุโกศล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคล ที่มีชื่อเสียงทางสังคม ทั้งจากภาคธุรกิจ วิชาการ ประชาสังคม จำนวน 217 คน อาทิ นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ ม.ธรรมศาสตร์, นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีต ส.ว. กทม., นายสมเกียรติ อ่อนวิมล อดีต ส.ว.สุพรรณบุรี ได้จัดแถลงข่าว "Restart ประเทศไทย"เพื่อสะท้อนความเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤติรอบด้าน ทั้งการเมืองการปกครอง ความเหลื่อมล้ำของสังคม ระบบการศึกษาที่อ่อนแอ องค์การสื่อใช้เสรีภาพโดยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาคประชาชนต้องร่วมกันปฏิรูป

โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปปรับปรุงโครงสร้าง ระบบและกฎหมายที่จำเป็น เพื่อขจัดการคอร์รัปชั่น โกงกินบ้านเมือง 2.ปฏิรูปโครงสร้างการเมือง การปกครองและระบบบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ 3.ปฏิรูปโครงสร้างและกระบวนการยุติธรรม 4.ปฏิรูปโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาด สร้างธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ และ5. ปฏิรูปสังคมเพื่อเสริมสร้างพลังพลเมืองที่เข้มเข็ง โดยมีวัตถุประสงค์ เชื่อมโยงกลุ่มบุคคลที่มีจุดยืนในการปฏิรูปเข้าด้วยกัน และประคับประคองประเทศในระยะเปลี่ยนฝ่ายให้เป็นไปด้วยสันติ และเป็นเพียงผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศ และสร้างเสริมเครือข่ายให้มากขึ้นตามภูมิภาคต่างๆ โดยไม่รอว่าต้องเลือกตั้งก่อนหรือไม่ โดยในวันที่ 31 ม.ค. จะมีการประชุมเครือข่ายจาก 77 จังหวัด เพื่อหารือถึงการจัดเวทีการพูดคุย ที่ จ.นครราชสีมา เชียงใหม่ หาดใหญ่ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป

โดยนายสมเกียรติ กล่าวถึงการ Restart ประเทศไทยในมุมมองของสื่อมวลชนว่า สื่อมวลชนถือเป็นตัวแปรสำคัญในการปฏิรูปประเทศ และสื่อต้องรักษาอิสรภาพเสรีภาพในการค้นหาความจริง และทำงานควบคู่ไปกับกลุ่มเครือข่ายปฏิรูปประเทศ โดยยึดมั่นหลักวิชาชีพ อิสระและเสรีภาพของสื่อมวลชน นำเสนอรายงานข้อเท็จจริง เน้นการรับใช้ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญและต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดกว้างเพื่อสะท้อน ความต้องการของประชาชนออกมา

นางวรวรรณ ธาราภูมิ ตัวแทนภาคธุรกิจ กล่าวว่า สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำ คนที่รวยที่สุดในสังคมเป็นกลุ่มชนชั้นที่บั่นทอนระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสามารถผลักดันและชี้นำรัฐบาลให้ออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มของตนได้และกีดกัน ชนชั้นอื่นๆออกไปจากเส้นทางผลประโยชน์ และหากกระทำผิดก็จะไม่ถูกดำเนินคดี และมีการกระซิบให้หนีออกนอกประเทศ และภาคธุรกิจส่วนใหญ่ จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมืองเพราะมีข้อบังคับไว้อยู่ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคิดผิด เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้การเมืองเอื้อให้กับนายทุน และมีความเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน หากจะเริ่มต้นต้องเริ่มจากการปฏิรูปตัวเอง และเชิญชวนให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วมเนื่องจากภาคการเมืองอ่อนแอ จากแต่ก็จะไม่โทษมีส่วนชี้นำและบั่นทอนระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถผลักดันให้ในนามภาคธุรกิจ เมื่อภาคก่อนเมืองอ่อนแอเนื่องจากมีเถ้าแก่ในแต่ละพรรค ดังนั้นภาคประชาชนต้องช่วยกันในการปฏิรูปประเทศ

ด้านนายโสภณ สุภาพงษ์ อดีตส.ว.กทม. กล่าวว่า นักการเมืองมีการเอาเปรียบคนจน โกงกินบ้านเมือง โดยจะเห็นได้จากดัชนีที่ต่างชาติประเมินประเทศไทยที่เลวร้ายไปเรื่อยๆ ทั้งการคอร์รัปชั่น การไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจ และปัจจุบันนักการเมืองก็มีการคดโกง ดังนั้นกฎหมายต้องมีการปฏิรูป และสังคมก็ต้องช่วยกันปกป้องข้าราชการที่ทำดี

ขณะที่ นายปราโมทย์ ไม้กลัด กล่าวว่า ระบบข้าราชการของประเทศไทยถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองเป็นอย่างมาก ทำให้ข้าราชการไม่กล้าใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ และก่อนหน้านี้ มีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานราชการ แต่ก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด และส่วนตัวในฐานะที่เป็นข้าราชการเก่า การแก้ปัญหาโครงสร้างราชการนั้น ต้องป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองให้ได้

จากนั้น นายธีรยุทธ ได้กล่าวว่า นักการเมืองไทยมีความโลภ และใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งจะทำให้ประเทศพังพินาจ และจากการสังเกตการเมือง ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่อำนาจ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหา แต่เป็นยอดสุดของปัญหา มีส่วนสำคัญในการทำให้โครงสร้างต่างๆมีการพังทลายลงไป เช่น โครงสร้างระบบพรรคการเมือง โครงสร้างของอำนาจ 3 ฝ่าย รวมไปถึงระบบตรวจสอบของสื่อเสียศูนย์ไปมาก เพราะสมัย 14 ต.ค. สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้การต่อสู้ของนักศึกษาประสบความสำเร็จ แต่ตอนนี้จิตวิญญาณการตรวจสอบพังทลายไป รวมถึงโครงสร้างข้าราชการ กลุ่มธุรกิจ ก็ได้พังทลายลงไป และสุดท้ายคือโครงสร้างคุณธรรมจริยธรรม ที่มองว่ามีความเสียหายไปแล้วกว่าครึ่ง โดยจะเห็นได้จากการขู่อาฆาตกันโดยปราศจากความรู้สึก ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่าการที่กปปส. ระบุว่าต้อสู่กับการโกงกินของนักการเมือง เพื่อลูกหลาน ถือว่าฟังขึ้น

นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า ได้เห็นการต่อสู้ของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ตั้งแต่สมัยที่อยู่แยกอุรุพงษ์ มองว่าเป็นการต่อสู้เพื่อปฏิรูปประเทศที่มั่นคง ซึ่งถือเป็นความหวังและเป็นประเด็นที่ถูกต้องคล้ายกับเมื่อปี 2540 ถือเป็นความหวังของคนกรุงเทพฯทุกสาขาอาชีพจนมีการสนับสนุนผ่านการบริจาคอย่างมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงอาการทนไม่ไหวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ไม่มีขีดจำกัด ตกผลึกเป็นความคิดในการปฏิรูปประเทศของภาคประชาชนที่ชัดเจนขึ้น เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด และปัจจุบันคนไทยเกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยแสวงหาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตัวเอง ทำให้เห็นว่าโครงสร้างของประเทศมีปัญหา จึงเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกัน และปรากฏการณ์การออกมาชุมนุมของกปปส. ไม่ใช้กระแสที่ฉาบฉวย เพราะในบางพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อย่างกินดีมีสุข ก็ออกมาสนับสนุนการเดินขบวนของ กปปส. หากใครที่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของตนก็ขอให้ออกมาแสดงความกล้าเพราะอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ทำให้บ้านเมืองกับมาดีได้

นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า การรับฟังข่าวสารอย่างรอบด้าน ทบทวนข้อมูลและสร้างความเข้าใจที่ดีให้กับประชาชนในสังคม จะช่วยลดความขัดแย้งที่รุนแรงให้กับกลุ่ม ผู้ที่มีความเห็นแตกต่างทางการเมืองได้ ซึ่งในการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ส่วนตัวมองว่า เป็นความต่างทางความคิดในระดับประชาชน คือ กลุ่มคนที่ต้องการรักษาสิทธิการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง กับกลุ่มคนที่ต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง โดยมุ่งการแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น เนื่องจากจากปัญหากระทบต่อสิทธิและการดำเนินชีวิต

นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า ความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้งว่าจำเป็นต้องเลื่อนออกไปหรือไม่นั้น เป็นความขัดแย้งทางความคิดที่ไม่ควรต้องสูญเสียเลือดเนื้อ เพราะกลุ่มหนึ่งต้องการเรียกร้องใช้สิทธิของตัวเอง แต่อีกกลุ่มเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ซึ่งต่างมีสิทธิของตัวเองทั้งคู่ ทั้งนี้ตนเคารพทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งพวกจุดเทียนตนก็ชอบ ที่แสดงความรักในประชาธิปไตย ส่วนผู้ที่ออกมาชุมนุมให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็เห็นใจเพราะต่อสู้มานาน ทั้งนี้ตนเห็นด้วยกับทุกกลุ่ม แต่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ “ถ้าเจอหน้ากันตนก็พร้อมทำผิดกฎหมายแรงๆ กับพ.ต.ท.ทักษิณ” และการดูหมิ่นดูแคลนระหว่างคนจนคนรวยและคนที่ต่างภูมิภาคกันนั้น ก็ไม่ควรเกิดขึ้น ขอเรียกร้องไม่ให้นำประเด็นดังกล่าวไปขยายความ และประเทศของเราเกิดกระแสการปฏิรูปมาหลายครั้ง แต่ก็ถูกมองข้ามไปเพราะหลายคนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วทุกคนในสังคมต้องช่วยกัน ก่อนหน้านี้ เคยใช้คำว่า “สังคมเข้มเข็ง” นั้นตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็น “สังคมเอาจริง” เพื่อช่วยกันปฏิรูปประเทศ ตรวจสอบการคอร์รัปชั่น กดดันนักการเมืองที่โกงกินในรูปแบบต่าง แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ


“ธีรยุทธ” เปิดตัว Restart ไทย 5 ข้อ ชี้ “แม้ว” ยอดสุดปัญหา ยันคิดขัดแย้งได้แต่อย่าทำร้ายกัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

“ธีรยุทธ” เปิดตัว “เครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย” รวม 217 ราย แถลง “Restart ประเทศไทย” 5 ข้อ ปรับปรุงโครงสร้างระบบ และกม., การเมืองและลดเหลื่อมล้ำรายได้, กระบวนการยุติธรรม, สร้างธรรมาภิบาล ศก. และเสริมพลังพลเมือง นัดเครือข่ายคุย 31 ม.ค.จวกนักการเมืองโลภใช้อำนาจตามใจ ชี้ “แม้ว” ยอดสุดของปัญหาทำชาติพัง ชู คปท.สู้เริ่มแรกคือความหวัง ระบุขัดแย้งเลื่อนโหวตหรือไม่ก็ไม่ควรสูญเสีย ยันเห็นด้วยทุกกลุ่มรวมพวกจุดเทียน แต่ไม่เอาระบอบทักษิณ
       
       วันนี้ (28 ม.ค.) ที่โรงแรมสุโกศล เครือข่ายผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศโดยสันติของประชาชนไทย ซึ่งเป็นการรวมตัวกันของกลุ่มบุคคลที่มีชื่อเสียงทางสังคม ทั้งจากภาคธุรกิจ วิชาการ ประชาสังคม จำนวน 217 คน นำโดย นายธีรยุทธ บุญมี ผู้อำนวยการสถาบันสัญญาธรรมศักดิ์ ม.ธรรมศาสตร์ นายปราโมทย์ ไม้กลัด อดีต ส.ว.กทม. นายสมเกียรติ อ่อนวิมล อดีต ส.ว.สุพรรณบุรี ได้จัดแถลงข่าว “Restart ประเทศไทย” เพื่อสะท้อนความเห็นว่าประเทศไทยอยู่ในภาวะวิกฤตรอบด้าน ทั้งการเมืองการปกครอง ความเหลื่อมล้ำของสังคม ระบบการศึกษาที่อ่อนแอ องค์การสื่อใช้เสรีภาพโดยขาดความรับผิดชอบต่อสังคม จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่ภาคประชาชนต้องร่วมกันปฏิรูป
       
       โดยเฉพาะประเด็นสำคัญ 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.การปฏิรูปปรับปรุงโครงสร้าง ระบบและกฎหมายที่จำเป็น เพื่อขจัดการคอร์รัปชัน โกงกินบ้านเมือง 2.ปฏิรูปโครงสร้างการเมือง การปกครอง และระบบบริหารราชการแผ่นดิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้ 3.ปฏิรูปโครงสร้างและกระบวนการยุติธรรม 4.ปฏิรูปโครงสร้างเพื่อป้องกันการผูกขาด สร้างธรรมาภิบาลเศรษฐกิจ และ 5.ปฏิรูปสังคมเพื่อเสริมสร้างพลังพลเมืองที่เข้มเข็ง โดยมีวัตถุประสงค์ เชื่อมโยงกลุ่มบุคคลที่มีจุดยืนในการปฏิรูปเข้าด้วยกัน และประคับประคองประเทศในระยะเปลี่ยนผ่านให้เป็นไปด้วยสันติ และเป็นเพียงผู้รับใช้การปฏิรูปประเทศ และสร้างเสริมเครือข่ายให้มากขึ้นตามภูมิภาคต่างๆ โดยไม่รอว่าต้องเลือกตั้งก่อนหรือไม่ โดยในวันที่ 31 ม.ค.จะมีการประชุมเครือข่ายจาก 77 จังหวัด เพื่อหารือถึงการจัดเวทีการพูดคุย ที่ จ.นครราชสีมา เชียงใหม่ หาดใหญ่ ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป
       
       โดย นายสมเกียรติ กล่าวถึงการ Restart ประเทศไทย ในมุมมองของสื่อมวลชนว่า สื่อมวลชนถือเป็นตัวแปรสำคัญในการปฏิรูปประเทศ และสื่อต้องรักษาอิสรภาพเสรีภาพในการค้นหาความจริง และทำงานควบคู่ไปกับกลุ่มเครือข่ายปฏิรูปประเทศ โดยยึดมั่นหลักวิชาชีพ อิสระ และเสรีภาพของสื่อมวลชน นำเสนอรายงานข้อเท็จจริง เน้นการรับใช้ประชาชนเป็นสิ่งสำคัญ และต้องรับฟังความคิดเห็นของประชาชนอย่างเปิดกว้างเพื่อสะท้อนความต้องการ ของประชาชนออกมา
       
       นางวรวรรณ ธาราภูมิ ตัวแทนภาคธุรกิจ กล่าวว่า สังคมไทยมีความเหลื่อมล้ำ คนที่รวยที่สุดในสังคมเป็นกลุ่มชนชั้นที่บั่นทอนระบอบประชาธิปไตย ซึ่งสามารถผลักดันและชี้นำรัฐบาลให้ออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มของ ตนได้ และกีดกันชนชั้นอื่นๆออกไปจากเส้นทางผลประโยชน์ และหากกระทำผิดก็จะไม่ถูกดำเนินคดี และมีการกระซิบให้หนีออกนอกประเทศ และภาคธุรกิจส่วนใหญ่จะไม่มีความเกี่ยวข้องกับการเมือง เพราะมีข้อบังคับไว้อยู่ แต่ตอนนี้รู้สึกว่าคิดผิด เนื่องจากสถานการณ์ขณะนี้การเมืองเอื้อให้กับนายทุน และมีความเกี่ยวข้องกันอย่างชัดเจน หากจะเริ่มต้นต้องเริ่มจากการปฏิรูปตัวเอง และเชิญชวนให้ภาคธุรกิจเข้ามามีส่วนร่วม เนื่องจากภาคการเมืองอ่อนแอ แต่ก็จะไม่โทษมีส่วนชี้นำและบั่นทอนระบอบประชาธิปไตย โดยสามารถผลักดันให้ในนามภาคธุรกิจ เมื่อภาคการเมืองอ่อนแอเนื่องจากมีเถ้าแก่ในแต่ละพรรค ดังนั้นภาคประชาชนต้องช่วยกันในการปฏิรูปประเทศ
       
       ด้าน นายโสภณ สุภาพงศ์ อดีต ส.ว.กทม.กล่าวว่า นักการเมืองมีการเอาเปรียบคนจน โกงกินบ้านเมือง โดยจะเห็นได้จากดัชนีที่ต่างชาติประเมินประเทศไทยที่เลวร้ายไปเรื่อยๆ ทั้งการคอร์รัปชัน การไม่ไว้วางใจการทำงานของรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจ และปัจจุบันนักการเมืองก็มีการคดโกง ดังนั้นกฎหมายต้องมีการปฏิรูป และสังคมก็ต้องช่วยกันปกป้องข้าราชการที่ทำดี
       
       ขณะที่ นายปราโมทย์ ไม้กลัด กล่าวว่า ระบบข้าราชการของประเทศไทยถูกแทรกแซงโดยนักการเมืองเป็นอย่างมาก ทำให้ข้าราชการไม่กล้าใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ และก่อนหน้านี้ มีการปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานราชการ แต่ก็ไม่ใช่การแก้ไขปัญหาอย่างถูกจุด และส่วนตัวในฐานะที่เป็นข้าราชการเก่า การแก้ปัญหาโครงสร้างราชการนั้น ต้องป้องกันการแทรกแซงจากฝ่ายการเมืองให้ได้
       
       จากนั้น นายธีรยุทธ ได้กล่าวว่า นักการเมืองไทยมีความโลภ และใช้อำนาจตามอำเภอใจอย่างไม่มีขีดจำกัด ซึ่งจะทำให้ประเทศพังพินาศ และจากการสังเกตการเมือง ตั้งแต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาสู่อำนาจ โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่ทั้งหมดของปัญหา แต่เป็นยอดสุดของปัญหา มีส่วนสำคัญในการทำให้โครงสร้างต่างๆ มีการพังทลายลงไป เช่น โครงสร้างระบบพรรคการเมือง โครงสร้างของอำนาจ 3 ฝ่าย รวมไปถึงระบบตรวจสอบของสื่อเสียศูนย์ไปมาก เพราะสมัย 14 ต.ค.สื่อมวลชนมีส่วนสำคัญเป็นอย่างมากที่ทำให้การต่อสู้ของนักศึกษาประสบ ความสำเร็จ แต่ตอนนี้จิตวิญญาณการตรวจสอบพังทลายไป รวมถึงโครงสร้างข้าราชการ กลุ่มธุรกิจ ก็ได้พังทลายลงไป และสุดท้ายคือโครงสร้างคุณธรรมจริยธรรม ที่มองว่ามีความเสียหายไปแล้วกว่าครึ่ง โดยจะเห็นได้จากการขู่อาฆาตกันโดยปราศจากความรู้สึก ทั้งนี้ส่วนตัวมองว่า การที่ กปปส.ระบุว่าต่อสู้กับการโกงกินของนักการเมืองเพื่อลูกหลาน ถือว่าฟังขึ้น
       
       นายธีรยุทธ กล่าวด้วยว่า ตนได้เห็นการต่อสู้ของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ตั้งแต่สมัยที่อยู่แยกอุรุพงษ์ มองว่าเป็นการต่อสู้เพื่อปฏิรูปประเทศที่มั่นคง ซึ่งถือเป็นความหวังและเป็นประเด็นที่ถูกต้องคล้ายกับเมื่อปี 2540 ถือเป็นความหวังของคนกรุงเทพฯทุกสาขาอาชีพ จนมีการสนับสนุนผ่านการบริจาคอย่างมากมาย สะท้อนให้เห็นถึงอาการทนไม่ไหวกับการทุจริตคอร์รัปชันที่ไม่มีขีดจำกัด ตกผลึกเป็นความคิดในการปฏิรูปประเทศของภาคประชาชนที่ชัดเจนขึ้น เพราะเป็นการแก้ปัญหาที่ถูกจุด และปัจจุบันคนไทยเกาะกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อยแสวงหาผลประโยชน์ให้กับกลุ่มตัว เอง ทำให้เห็นว่าโครงสร้างของประเทศมีปัญหา จึงเป็นสิ่งที่เราต้องช่วยกัน และปรากฏการณ์การออกมาชุมนุมของ กปปส.ไม่ใช่กระแสที่ฉาบฉวย เพราะในบางพื้นที่ที่ประชาชนอยู่อย่างกินดีมีสุข ก็ออกมาสนับสนุนการเดินขบวนของ กปปส. หากใครที่เห็นด้วยกับการวิเคราะห์ของตน ก็ขอให้ออกมาแสดงความกล้า เพราะอาจเป็นโอกาสสุดท้ายที่ทำให้บ้านเมืองกับมาดีได้
       
       นายธีรยุทธ กล่าวอีกว่า การรับฟังข่าวสารอย่างรอบด้าน ทบทวนข้อมูล และสร้างความเข้าใจที่ดีให้กับประชาชนในสังคม จะช่วยลดความขัดแย้งที่รุนแรงให้กับกลุ่มผู้ที่มีความเห็นแตกต่างทางการ เมืองได้ ซึ่งในการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์นี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นความต่างทางความคิดในระดับประชาชน คือ กลุ่มคนที่ต้องการรักษาสิทธิการลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง กับกลุ่มคนที่ต้องการปฏิรูปการเมืองก่อนเลือกตั้ง โดยมุ่งการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน เนื่องจากปัญหากระทบต่อสิทธิและการดำเนินชีวิต
       
       นายธีรยุทธ กล่าวต่อว่า ความขัดแย้งเรื่องการเลือกตั้งว่าจำเป็นต้องเลื่อนออกไปหรือไม่นั้น เป็นความขัดแย้งทางความคิดที่ไม่ควรต้องสูญเสียเลือดเนื้อ เพราะกลุ่มหนึ่งต้องการเรียกร้องใช้สิทธิของตัวเอง แต่อีกกลุ่มเรียกร้องให้มีการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชัน ซึ่งต่างมีสิทธิของตัวเองทั้งคู่ ทั้งนี้ตนเคารพทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งพวกจุดเทียนตนก็ชอบ ที่แสดงความรักในประชาธิปไตย ส่วนผู้ที่ออกมาชุมนุมให้มีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งก็เห็นใจ เพราะต่อสู้มานาน ทั้งนี้ตนเห็นด้วยกับทุกกลุ่ม แต่ไม่เห็นด้วยกับระบอบทักษิณ “ถ้าเจอหน้ากันตนก็พร้อมทำผิดกฎหมายแรงๆ กับ พ.ต.ท.ทักษิณ” และการดูหมิ่นดูแคลนระหว่างคนจนคนรวย และคนที่ต่างภูมิภาคกันนั้น ก็ไม่ควรเกิดขึ้น ขอเรียกร้องไม่ให้นำประเด็นดังกล่าวไปขยายความ และประเทศของเราเกิดกระแสการปฏิรูปมาหลายครั้ง แต่ก็ถูกมองข้ามไป เพราะหลายคนคิดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องง่าย แต่ที่จริงแล้วทุกคนในสังคมต้องช่วยกัน ก่อนหน้านี้ เคยใช้คำว่า “สังคมเข้มแข็ง” นั้นตอนนี้ขอเปลี่ยนเป็น “สังคมเอาจริง” เพื่อช่วยกันปฏิรูปประเทศ ตรวจสอบการคอร์รัปชัน กดดันนักการเมืองที่โกงกินในรูปแบบต่างๆ แต่ก็ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : 195ผู้ทรงคุณวุฒิ ตั้งเครือข่าย หนุนปฏิรูป

view