จาก โพสต์ทูเดย์
ผลการศึกษาชี้สังคมไทยยังเผชิญความเหลื่อมล้ำสูง ครอบครัวส.ส. 500 คนมีทรัพย์สินรวมกัน 4 หมื่นล้าน เท่ากับเกือบ 2 ล้านครอบครัวรวมกัน
เมื่อวันที่ 4 เม.ย.สถาบันอนาคตไทยศึกษา ได้เปิดเผยผลการศึกษา เรื่อง "8ข้อเท็จจริงความเหลื่อมล้ำในไทย" โดยภาพรวมยังพบว่า ความเหลื่อมล้ำของไทยที่อยู่ในระดับสูงในช่วง 30 ปีที่ผ่านมายังไม่ดีขึ้นเลย โดยรายได้ของครอบครัวยากจนไล่ตามรายได้ของครอบครัวร่ำรวยไม่ทัน ทำให้ช่องว่างรายได้ของครอบครัวที่รวยที่สุด และครอบครัวที่จนที่สุดที่มีสัดส่วนราวฝ่ายละ 10%จากจำนวนครอบครัวทั้งหมด 22 ล้านครอบครัวในปัจจุบันสูงถึง 21 เท่า จากที่เคยต่างกัน 20 เท่าจากเมื่อ 25 ปีที่แล้ว
ที่สำคัญเมื่อพิจารณาทรัพย์สินของ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นตัวแทนของประชาชน พบว่ามีความร่ำรวยมากกว่าประชาชนทั่วไปอย่างชัดเจน โดย อดีตส.ส. ของไทยจำนวน 500 คนที่ได้รับเลือกตั้งมาเมื่อปี 2554 นั้น มีทรัพย์สินโดยเฉลี่ยแต่ละครอบครัวที่ 81 ล้านบาท มากกว่ามูลค่าทรัพย์สินของ 99.999 % ของครอบครัวไทย ซึ่งถ้านำทรัพย์สินทั้งหมดของ 500 ครอบครัวส.ส. มารวมกันจะมีมูลค่าประมาณ 4 หมื่นล้านบาท ซึ่งมากพอๆ กับทรัพย์สินของเกือบ 2 ล้านครอบครัวรวมกัน
เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ข้อมูลทรัพย์สินของนักการเมืองที่พอจะนำมาเปรียบเทียบกันได้คือมูลค่าทรัพย์สินของบรรดาผู้นำประเทศต่าง ๆ สำหรับประเทศไทยก็คือนายกรัฐมนตรี จะพบว่า หากลองเปรียบเทียบระหว่างมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของนายกรัฐมนตรี กับของคนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่กึ่งกลาง คืออยู่ตรงกลางระหว่างคนที่ที่มีทรัพย์สินสุทธิมากที่สุด กับคนที่มีน้อยที่สุด จะพบว่า ผู้นำประเทศของไทยนั้นมีมูลค่าทรัพย์สินสูงกว่าคนที่มีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่กึ่งกลางถึง 9,000 เท่า ซึ่งก็สูงมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ เช่น อินเดีย(2,000เท่า) ฟิลิปปินส์ (600 เท่า)
ผลศึกษาระบุว่า บรรดาผู้กำหนดนโยบายทั้งหลายมีฐานะที่ไม่ใกล้เคียงกับประชาชนส่วนใหญ่ที่พวกเขาจะเป็นตัวแทนให้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลหนึ่งที่ปัญหาความเหลื่อมล้ำไม่ได้ถูกแก้ไข
นอกจากนี้ผลศึกษายังระบุอีกว่า ความเหลื่อมล้ำที่แท้จริงจะต้องสูงกว่าที่รายงานทั่วไปอย่างต่ำ 25% เพราะข้อมูลรายได้ที่นำมาใช้รายงานกันทั่วไปยังไม่ครบ หายไปเกือบ 1 ล้านล้านบาท ข้อมูลรายได้ครัวเรือนจากการสำรวจสภาวะเศรษฐกิจและสังคมของครัวเรือน ซึ่งสำรวจโดยสำนักงานสถิติแห่งชาตินั้นน้อยกว่ารายได้ครัวเรือนที่สภาพัฒน์ประมาณการไว้ใน GDP ถึง 0.9 ล้านล้านบาท หรือหายไปราว 12%ของข้อมูลที่สำรวจได้
ส่วนที่หายไปคือรายได้ของครอบครัวคนที่มีฐานะ เห็นได้จากการที่ข้อมูลจากการสำรวจที่ไม่ได้สะท้อนฐานะการเงินที่แท้จริงของครอบครัวที่ร่ำรวย จากการเปรียบเทียบกับข้อมูลจากแหล่งอื่น เช่น ข้อมูลจากนิตยสาร Forbes ที่ทำการรวบรวมมูลค่าสินทรัพย์จากแหล่งต่างๆ ของ 50 มหาเศรษฐีไทย หรือวารสารการเงินการธนาคารที่มีการรายงานเรื่อง “500 เศรษฐีหุ้น” ซึ่งจะทำให้ความแตกต่างของรายได้เฉลี่ยของครอบครัวที่รวยที่สุด 20% และครอบครัวที่จนที่สุด 20% นี้เพิ่มขึ้นจาก 11 เท่า เป็น 14 เท่า หรือราว 25%
นอกจากนี้ยังมีข้อสังเกตที่น่าสนใจอื่นๆ เช่น อันดับความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งของไทยอยู่อันดับท้ายๆ ของโลก ประเทศไทยอยู่อันดับ 162 จาก 174 ประเทศ อันดับใกล้เคียงกับประเทศเวเนซูเอลา และอินโดนีเซีย กลุ่มใหญ่สุดของครอบครัวที่จนที่สุดไม่ใช่ชาวนาหรือเกษตรกรอย่างที่เคยเข้าใจ แต่เป็นครอบครัวคนชรา
นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิประธานกรรมการบริหาร สถาบันอนาคตไทยศึกษา กล่าวว่า ผลจากรายงาน เราก็จะเห็นว่าความเหลื่อมล้ำในไทยนั้นสูง อยู่กับสังคมมานาน และมีหลายมิติ แต่ที่สำคัญที่สุดที่ต้องมุ่งเน้นแก้ ก็คือความเหลื่อมล้ำด้านโอกาส เพราะป็นต้นตอที่สำคัญที่จะทำให้คนรู้สึกไม่เท่าเทียม และจะนำไปสู่ความไม่สงบ ความขัดแย้งได้
"ถ้ากติกาการแข่งขันยุติธรรม ให้โอกาสทุกคนได้ลงแข่ง และเริ่มต้นจากจุดที่ใกล้เคียงกันมากขึ้น ผลลัพธ์ที่ไม่เท่ากันที่ปลายทางก็เหมือนกับการแข่งขันที่มีคนแพ้คนชนะก็เป็นเรื่องที่คนจะยอมรับได้"นายเศรษฐพุฒิกล่าว
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน
