สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ย้อนรอยนาทียึดอำนาจในสายตา พีระศักดิ์

ย้อนรอยนาทียึดอำนาจในสายตา'พีระศักดิ์

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

ย้อนรอยนาที ล้มโต๊ะเจรจา เพื่อยึดอำนาจการปกครองของ"พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา"จากสายตา"พีระศักดิ์ พอจิต"

หลัง 20 ชั่วโมง ที่ "คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช."ประกาศควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ทีมข่าวเนชั่น ได้นัดพูดคุย"พีระศักดิ์ พอจิต ส.ว.อุตรดิตถ์" ฐานะว่าที่รองประธานวุฒิสภา คนที่สอง ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่อยู่ร่วมนาทีประวัติศาสตร์ เพื่อย้อนชอต ต่อชอต ของเหตุการณ์

เขาเล่าว่า ตามเวลานัดหมาย 14.00 น. ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้นัดให้ตัวแทน 5 ฝ่าย ประกอบด้วย รัฐบาล, พรรคเพื่อไทย, พรรคประชาธิปัตย์, กปปส. และ นปช. และ 2 สักขีพยาน คือ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และ วุฒิสภา เข้าไปส่งการบ้านหลังจากที่วันแรก (21พ.ค.) ได้พูดคุยกันไปแล้วรอบหนึ่งแล้ว โดยรอบสองที่เข้าไปมีความผิดแปลกจากการประชุมกันรอบแรก คือ 1.ห้ามนำอุปกรณ์ติดต่อสื่อสารทุกชนิดเข้าไปยังในห้องประชุม โดยให้ฝากไว้ภายนอกห้องประชุม และ 2. มีการตรวจค้นอาวุธในตัวบุคคล ด้วยเครื่องสแกนโลหะ

"หลังจากที่ทุกคนเข้าห้องและนั่งประจำที่แล้ว ผบ.ทบ. ได้เกริ่นนำด้วยสีหน้าที่ผิดจากการประชุมวันแรก คือเคร่งขรึม ว่า ขอให้จบภายในวันนี้ (22พ.ค.) เพื่อความสงบสุข คนรอเวลาไม่ได้ ขอให้จบให้ได้"พีระศักดิ์ ย้อนนาทีแรกของการพบหน้ากันอีกครั้ง

เมื่อ ผบ.ทบ. เกริ่นนำจบ... ได้ปล่อยให้ตัวแทนของฝ่ายที่เข้าร่วม พูดถึงแนวทางออกของประเทศอีกเล็กน้อย โดยทุกฝ่าย ยกเว้น กกต. และส.ว. ที่ไม่ได้เปิดโอกาสให้พูด ต่างย้ำถึงหลักการและเจตนารมณ์ของฝ่ายตนเอง ซึ่งเป็นประเด็นเดิมที่ได้คุยกันไปแล้วในวันแรก ซึ่งไม่สามารถเป็นแนวทางออกของปัญหาได้ ขณะที่ ตัวแทนของฝ่ายประชาธิปัตย์ คือ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ได้ร้องขอให้ รัฐบาลยอมเสียสละ ผ่านทางนายวราเทพ รัตนากร แต่รัฐบาลกลับยืนยันว่าไม่สามารถลาออกได้เพราะมีปัญหาข้อกฎหมาย พร้อมร้องขอให้มีการทำประชามติในเรื่องการปฏิรูปแทน

เมื่อ"คู่ขัดแย้ง" ไม่สามารถจบปัญหาได้ในเวทีนั้น "พล.อ.ประยุทธ์" ได้ขอให้แต่ละฝ่ายไปคุยกันแบบกลุ่มต่อกลุ่มในห้องย่อย โดยห้องแรก เป็นวงของ นปช. และ กปปส., ห้องที่สอง เป็นวงของพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์, ห้องที่สาม เป็นห้องของรัฐบาล และห้องที่สี่ เป็นวงของผู้บัญชาการทุกเหล่าทัพ ที่"พีระศักดิ์" เชื่อว่าบรรยากาศของห้องหารือของ ผบ.เหล่าทัพนั้นเป็นไปอย่างเคร่งเครียด ส่วนตัวแทน กกต. และ วุฒิสภานั้น "ผบ.ทบ."บอกให้ไปพักผ่อนรับประทานของว่าง และกาแฟ

เมื่อเวลาผ่านไป 40 นาที ทุกฝ่ายก็กลับเข้ามาห้องประชุมอีกครั้ง โดยก่อนจะเริ่มพูดจา จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช. ได้จับมือควง สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ไปหา"ผบ.ทบ."ที่นั่งหัวโต๊ะ และพาลุกไปคุยแบบลับเฉพาะกัน 3 คน ประมาณ 1 นาที จากนั้นได้กลับมานั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง นาทีต่อจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ได้ถามไปยังรัฐบาลว่าจะลาออกหรือไม่ ทั้งแบบคณะ หรือรายบุคคล ซึ่งตัวแทนรัฐบาลยืนยันว่าไม่ลาออก พอสิ้นเสียงนั้น ท่านผบ.ทบ. ก็บอกเลยว่า งั้นผมขอยึดอำนาจ แล้วลุกขึ้น บอกให้ กกต. และ ส.ว.ออกจากห้องไป ส่วนที่เหลือให้อยู่ในห้อง ห้ามไปไหน จากนั้นก็มีทหารเข้ามาควบคุมตัว ส่วน ผมก็ไม่สนใจอะไรแล้ว เดินจากห้องไปทันที

"ส.ว.พีระศักดิ์"บอกถึงความในใจในนาทีนั้นว่า ไม่มีอาการตื่น หรือ ตกใจ เพราะเดาใจทหารได้ ว่าจะไม่มีการยืดเยื้อ เพราะเมื่อทหารออกหน้ามาแล้ว และสไตล์ทหารไม่ใช่ต้องมาเจรจารอบสาม หรือ รอบสี่ ดังนั้นเชื่อว่าคนที่เข้าไปอยู่ในวงเจรจาจะจับสัญญาณได้ว่าทหารจะไม่ปล่อยไว้ เพราะดูอาการจากผบ.เหล่าทัพมีความพร้อมเพรียงกัน

ส่วนเหตุผลในนาทีตัดสินใจ “ยึดอำนาจการปกครอง” พีระศักดิ์ วิเคราะห์ว่า ประเด็นหลักคือคำถามสุดท้าย เพราะหากรัฐบาลยอมลาออก สถานการณ์ที่ตีบตันจะเดินต่อไปได้ อีกทั้งเรื่องนี้ได้บอกเป็นหัวข้อการประชุมไว้อยู่แล้ว ว่าต้องการนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็มเข้ามา โดยวิธีที่จะทำได้คือรัฐบาลรักษาการต้องลาออก แล้วใช้กระบวนการของวุฒิสภา แต่เมื่อรัฐบาลไม่ลาออก ก็ทำไม่ได้ เพราะจะทำให้เกิดรัฐที่ซ้อนรัฐขึ้นมา ส่วนแนวทางการเลือกตั้ง ของ กกต. เขาบอกแล้วว่า ทำได้ไวที่สุด คือ เดือนตุลาคม หรือในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งทหารเอง ก็ไม่อยากให้เลือกตั้ง ท่ามกลางสถานการณ์ที่สังคมยังทะเลาะกันอยู่

ขณะที่ท่าทีของนปช. ในนาทีก่อนล้มโต๊ะเจรจา "พีระศักดิ์" จับอาการได้ว่ายอมแล้ว เนื่องจากมีคำพูดที่ว่า อะไรที่ช่วยได้ก็จะช่วย แต่ขอให้ยืนอยู่บนหลักการในท้ายสุด "ว่าที่รองประธานวุฒิสภาคนที่สอง" ได้ให้ความเห็นสนับสนุนการตัดสินใจของ"ผบ.ทบ."ที่วันนี้มีตำแหน่ง นายกฯ ชั่วคราวว่า "ทหารตัดสินใจถูก เพราะไม่อย่างงั้นหนทางก็จะตันไปหมด เพราะสิ่งที่ผบ.ทบ. ให้ 5 กลุ่มมาหาทางออก ก็เพื่อหาทางคลี่คลายปัญหาซึ่งเป็นที่มาของการประกาศใช้กฎอัยการศึก ที่จริงทางออกก็คือ การหารัฐบาลมาบริหาร แต่รัฐบาลไม่ลาออก หากใช้วิธีการปกติก็ทำไม่ได้ เขาก็ต้องปฏิวัติเพื่อตั้งนายกรัฐมนตรีที่มีอำนาจเต็ม"


เผยวงถก 7 ฝ่ายก่อนรัฐประหาร! “บิ๊กตู่” งัดไม้ตาย “ขอโทษด้วยนะ ผมต้องยึดอำนาจ“

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

แหล่งข่าวเผยวงประชุม กอ.รส.สุดเครียด “ประยุทธ์” ไล่ถามการบ้านรัฐบาล-ปชป.เถียงลาออก “วีระกานต์” อ้างศาสนา เจอ ผอ.รส.สวน ลั่นปี 53 ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ โต้พวกใส่ร้ายได้ 6 พันล้าน ยันสักบาทก็ไม่ได้ “จตุพร” งัดมุกประชามติถามผุดปมใหม่ “สุเทพ” ขอแยกคุยกับแดงก่อนดอดถกร่วม 3 คน “บิ๊กตู่” ซักย้ำจะออกหรือไม่ “ชัยเกษม” ไม่ยอม เจ้าตัวงัดไม้ตาย “ขอโทษด้วยนะ ผมต้องยึดอำนาจ” ขณะที่ “มาร์ค” เซ็งบ่นรัฐ “ผมบอกคุณแล้ว” ส่วน “ชัชชาติ” โวยพูดตอนนี้ทำไม ก่อนถูกคุมตัวและปล่อยบิ๊ก 2 พรรค เว้น “ภูมิธรรม” ส่วน “เด็จพี่” โดนแยกอยู่กับแดงตั้งแต่แรก
       
       วันนี้ (23 พ.ค.) มีรายงานว่า แหล่งข่าวระดับสูงเล่าถึงบรรยากาศในการหารือ 7 ฝ่ายเมื่อวานนี้ (22 พ.ค.) ที่ผ่านมา ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะประกาศยึดอำนาจการปกครองว่า วงประชุมของ 7 ฝ่ายเริ่มขึ้นในเวลา 14.00 น. โดย พล.อ.ประยุทธ์ได้เปิดให้ทุกฝ่ายตอบโจทย์การบ้าน 5 ข้อว่าแต่ละกลุ่มจะทำได้ระดับไหน โดยในซีกของพรรคเพื่อไทยเริ่มจากนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ระบุว่าพรรคเพื่อไทยทำได้แค่ให้รัฐมนตรีลาพัก หรือลาหยุดราชการ ขณะที่ซีกรัฐบาลคือนายชัยเกษม นิติสิริ ยังคงยืนยันว่าถ้า ครม.ลาออกจะถือว่ากระทำผิดกฎหมายอาจถูกฟ้องร้องภายหลังได้ ทำให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ยกเหตุการณ์นายวิษณุ เครืองาม ลาออกจากรองนายกฯ ในรัฐบาลรักษาการขึ้นมายืนยันว่าสามารถลาออกได้ อย่างไรก็ตาม นายชัยเกษมยังคงยืนยันว่าจะไม่ลาออก
       
       ขณะที่นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ แกนนำ นปช. ระบุว่าการถกเถียงแบบนี้ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะถกกันต่อไปคงต้องเตรียมเสื่อเตรียมหมอนมาด้วย เพราะเรื่องนี้เหมือนความเชื่อในศาสนาที่เชื่ออย่างไรก็เชื่ออย่างนั้น ตอนนี้ ผบ.ทบ.รับภาระหนัก เดินเข้ามาตอนน้ำท่วมถึงเอวแล้ว ถ้าอยู่ต่อไปน้ำจะท่วมมิดหัว ผบ.ทบ.ควรเดินออกไปแล้วประกาศว่าจะต้องมีเลือกตั้ง จะไม่มีใครว่า ผบ.ทบ.ได้ เมื่อนายวีระกานต์พูดถึงตรงนี้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับมีอารมณ์กล่าวโต้ไปว่า “ไม่ต้องมาพูดเรื่องศาสนา ผมไม่รู้ แต่ผมจะเล่นพวกนอกศาสนาแน่ ไม่ต้องห่วงว่าผมจะจมน้ำหรือไม่ ผมว่ายน้ำเก่ง ผมศึกษามา 3 ปีแล้ว เหตุการณ์ในปี 53 ผมไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เพราะฉะนั้นอย่างมาสู้กับผมเลย มากล่าวหาผมรับเงิน 6 พันล้านบาท แล้วให้อยู่เฉยๆ ขอยืนยันว่าสักบาทผมก็ไม่ได้”
       
       ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช.มีท่าทีอ่อนลง โดยระบุว่าตอนนี้ถึงอย่างไรก็ไม่สามารถเลือกตั้งได้ ยืนยันว่าการทำประชามติว่าจะเอาปฏิรูปก่อนหรือหลังการเลือกตั้ง เป็นทางออกที่ดีที่สุด ทั้งนี้การหารือมีการถกเถียงกันนานพอสมควร ทำให้นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.กล่าวตัดบทว่าปัญหาทั้งหมด พรรคการเมืองไม่เกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของกลุ่ม นปช. และ กปปส. จึงขอเสนอว่าควรให้ กปปส.และ นปช.ไปแยกคุยต่างหาก ขณะที่นายอภิสิทธิ์เสนอว่าน่าจะให้ฝ่ายรัฐบาลไปคุยด้วยเป็น 3 ฝ่าย แต่นายสุเทพยืนยันที่จะคุยเฉพาะภาคประชาชน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์กล่าวเห็นด้วย และให้ทั้งสองกลุ่มแยกห้องไปคุยต่างหาก โดยในระหว่างนั้นนายอภิสิทธิ์ได้เสนอว่า เมื่อสองฝ่ายไปคุยกันแล้ว คนที่ไม่เกี่ยวข้องก็น่าจะกลับบ้านได้ แต่ พล.อ.ประยุทธ์บอกว่า ต้องคุยกันให้ได้ข้อสรุปก่อน
       
       แหล่งข่าวระบุว่า ทั้งสองฝ่ายใช้เวลาหารือนานประมาณ 30 นาที จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์พร้อมด้วยกลุ่ม กปปส.และนปช.ได้เดินเข้ามาในห้องประชุมใหญ่ โดย พล.อ.ประยุทธ์ระบุว่าจะแจ้งผลหารือ แต่นายสุเทพบอกว่าขอเวลา 1 นาที พร้อมกับลุกขึ้นไปคุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ โดยมีนายจตุพรร่วมคุยด้วย เสร็จแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า “ไม่มีอะไร คุยกันเรื่องห้องน้ำไม่เรียบร้อยเท่านั้น”
       
       จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ได้ถามรัฐบาลว่ายืนยันจะไม่ออกใช่หรือไม่ นายชัยเกษมยืนยันย้ำว่า “ไม่ลาออก” พล.อ.ประยุทธ์จึงตอบกลับไปว่า ถ้าอย่างนั้น กกต.ก็ไม่ต้องพูดเรื่องเลือกตั้ง ส.ว.ไม่ต้องพูดเรื่องมาตรา 7 เมื่อพูดจบ พล.อ.ประยุทธ์ได้ลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดด้วยเสียงอันดังว่า “ขอโทษด้วยนะ ผมต้องยึดอำนาจ” ขณะนั้นเป็นเวลา 16.32 น. อย่างไรก็ตาม เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์พูดจบ ผู้ที่อยู่ในห้องประชุมบางคนคิดว่า พล.อ.ประยุทธ์พูดเล่น แต่พอ พล.อ.ประยุทธ์เดินหันกลับไปที่ประตูทางออก ก็ได้หันกลับมาแล้วพูดเสียงเข้มว่า “พวกคุณอยู่ตรงนี้ อย่าไปไหน” และเดินออกจากห้องประชุมไป

       
       จากนั้นได้มีเหล่าทหารพร้อมอาวุธครบมือได้เดินเข้ามาในห้องประชุม และควบคุมตัวทุกคนไว้ พร้อมกับจัดแยกกลุ่มบุคคลออกเป็นกลุ่มๆ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่านายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ที่มาในนามพรรคเพื่อไทยถูกแยกไปรวมกับกลุ่ม นปช. และแยกไปควบคุมตัวในห้องอื่น โดยในตอนนั้นนายวีรกานต์มีสีหน้ายิ้มๆ แต่ก็ยังเผลอลืมไม้เท้าที่ถือมาด้วย ขณะที่นายอภิสิทธิ์ได้หันไปพูดกับนายวราเทพ รัตนากร และนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่า “ผมบอกพวกคุณแล้ว” ทำให้นายชัชชาติซึ่งหน้าถอดสีโวยกลับว่า “มาบอกตอนนี้แล้วยังไงล่ะ มาพูดตอนนี้ทำไม”
       
       ทั้งนี้ ทหารได้แบ่งกลุ่มให้ตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีนายอภิสิทธิ์รวมอยู่ด้วย และพรรคเพื่อไทยอยู่รวมกัน 9 คนในห้องประชุม ส่วนกลุ่มอื่นถูกแยกกันไปควบคุมตัวในห้องอื่นๆ โดยปล่อยกลุ่ม ส.ว.และกกต.ออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม ในระหว่างที่ตัวแทนพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์อยู่ในห้องเดียวกัน ได้ไปคุยกับนายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย และนายวันมูหะมัดนอร์ โดยบอกว่าช่วงพักการประชุมได้คุยกับนายวราเทพ รัตนากร และนายชัยเกษมว่าน่าจะช่วยกันรักษาประชาธิปไตย การพักการทำงานกับการลาออกใกล้เคียงกัน จึงน่าจะลาออกเพื่อเปิดให้บ้านเมืองเดินไปได้ เมื่อบ้านเมืองสงบก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 6 เดือน ขณะที่ในซีกของรัฐบาลยังคงยืนยันที่จะไม่ลาออก
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การควบคุมตัวดังกล่าวดำเนินไปจนกระทั่งเวลา 21.15 น. ได้มีการเปลี่ยนที่ควบคุมตัวมาเป็นที่ ร.1 รอ. จากนั้นบรรดา ครม.ได้ทยอยเข้ามารายงานตัว เช่น นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์, นายยุคล ลิ้มแหลมทอง, นายสนธยา คุณปลื้ม, นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี, นายประเสริฐ บุญชัยสุข โดยจัดให้ผู้ที่มารายงานตัวมารวมอยู่ในห้องเดียวกับตัวแทนพรรคการเมือง เมื่อคนเยอะขึ้นจึงแยกนายอภิสิทธ์และตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ไปอยู่อีกห้อง หนึ่ง จากนั้นถูกปล่อยตัวในเวลา 24.20 น. โดยมีตัวแทนของพรรคเพื่อไทยถูกปล่อยตัวในเวลาไล่เลี่ยกัน คือ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา และพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ ส่วนนายภูมิธรรมยังไม่เห็นว่าถูกปล่อยตัว


'พิภพ'ไม่เห็นด้วยรัฐประหาร แต่เข้าใจกองทัพเลี่ยงยาก

"พิภพ ธงไชย" รับไม่เห็นด้วยรัฐประหาร แต่เข้าใจกองทัพหลีกเลี่ยงยาก

นายพิภพ ธงไชย แนวร่วมกลุ่มกปปส. กล่าวว่า ในฐานะที่เป็นคนทำงานในองค์กรภาคประชาชนไม่สามารถเห็นด้วยกับการยึดอำนาจการปกครองของกองทัพได้ แต่ก็มองว่าทหารจะใช้ความเด็ดขาดเหมือนแต่ก่อนไม่ได้ และในแง่ดีกองทัพอาจจะเป็นเครื่องมือในการปฎิรูปประเทศครั้งนี้ก็เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับว่ามวลชนของสองฝ่ายทั้งกปปส.และนปช.หรือกลุ่มต่าง ๆ จะผลักดันวาระปฎิรูปให้ทหารเป็นคนขับเคลื่อนได้หรือไม่ หากภาคประชาชนสามารถทำได้ การยึดอำนาจการปกครองครั้งนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นก้าวแรกของการปฎิวัติประชาชนก็ได้

อย่างไรก็ตามไม่เชื่อว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะได้ประโยชน์จากการยึดอำนาจครั้งนี้ เพราะนานาชาติเห็นแล้วตลอดหลายปีมานี้รัฐบาลทักษิณ เต็มไปด้วยปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะสหรัฐฯไม่เชื่อว่าจะสนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะสหรัฐฯกังวลผลประโยชน์ของตัวเองมากที่สุด ไม่ได้มีจุดยืนประชาธิปไตยอย่างแท้จริงเพราะยังถูกกล่าวหาว่าสนับสนุนการรัฐประหารในอิยิปต์

“จุดยืนผมไม่เห็นด้วยแน่นอนกับการยึดอำนาจ แต่เข้าใจว่าสถานการณ์เช่นนี้กองทัพหลีกเลี่ยงยาก หลังจากนี้ต้องจับตาดูว่าการยึดอำนาจจะนำไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชนมากเหมือนสมัยก่อนหรือไม่ และที่สำคัญภาคประชาชนมีความตื่นตัวและใช้ประโยชน์จากการยึดอำนาจผลักดันการปฎิรูปโดยเฉพาะความเหลื่อมล้ำในสังคมได้หรือไม่ หากทำได้จะสามารถหยุดวงจรการรัฐประหารได้อย่างถาวร”นายพิภพ กล่าว


ปฏิกิริยาจาก "ตจว." เมื่อ "พล.อ.ประยุทธ์" ยึดอำนาจ!

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

ปฏิกิริยาจาก "ตจว."
       เมื่อ "พล.อ.ประยุทธ์" ยึดอำนาจ!
       ท้าทาย-ลองของ-โอดครวญ
       และ "ลั่นล้า" ประสาคน "รักทหาร"
       
       ภายหลังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ประกาศยึดอำนาจการปกครองกลางที่ประชุมหารือ 7 ฝ่าย เมื่อเวลา 16.30 น. วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ในนามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ตามมาด้วยประกาศห้ามออกนอกเคหสถานหรือเคอร์ฟิวตั้งแต่เวลา 22.00-05.00 น. ที่ลงนามโดยพล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้าคสช.
       
       ลองไล่ดูว่า หลังเวลา 17.00 น. วันเดียวกัน เมื่อเสร็จสิ้นการแถลงข่าวยึดอำนาจโดยพล.อ.ประยุทธ์ ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ และวิทยุกระจายเสียงแล้ว ปฏิกิริยาที่ตามมา โดยเฉพาะจากต่างจังหวัดช่างหลากหลายเสียเหลือเกิน
       
       เริ่มจากเหตุที่ต้องเรียกว่า "ท้าทาย" ก็คงไม่ผิดนัก
       
       เริ่มจากเวลา 19.00 น. คนเสื้อแดงกว่า 100 คน รวมตัวที่ประตูช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมชูป้ายเรียกร้องประชาธิปไตย เช่น "เราไม่เอารัฐประหาร-เราไม่เอานายกคนกลาง" จนเวลา 20.00 น. ทหารพร้อมอาวุธครบมือกว่า 30 นาย เข้ามาเจรจาให้ยุติการชุมนุม แต่กลุ่มผู้ชุมนุมไม่ยอม อ้างว่ามาพบปะสังสรรค์ เพราะนำอาหารมานั่งรับประทานร่วมกัน จึงไม่ใช่ชุมนุมทางการเมือง ซึ่งหลังเจรจานาน 10 นาที ทหารต้องเป็นฝ่ายถอนกำลังไปจุดอื่น เพราะไม่อยากเผชิญหน้าหรือปะทะกัน ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมได้สลายตัวก่อนเวลา 22.00 น.ตามประกาศเคอร์ฟิว
       
       และเวลาประมาณ 22.00 น. สิ่งที่คาดเดาว่าจะเกิดขึ้นก็เป็นจริง เมื่อมีคนลองของกฏอัยการศึกที่บังคับใช้ทั่วประเทศ และประกาศเคอร์ฟิว ด้วยการนำยางรถยนต์ 7 เส้น มาวางไว้ใกล้กับฝูงบิน 416 หรือสนามบินเก่าเชียงราย ทางไปชุมชนดอยพระบาท เขตเทศบาลนครเชียงราย จากนั้นจุดไฟเผา จนเปลวเพลิงลุกโชน ควันลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ งานนี้คาดว่าเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ถึงการต่อต้านรัฐประหาร
       
       เวลาใกล้เคียงกันเกิดเหตุระเบิดขึ้นบนถนนเชียงใหม่-หางดง จ.เชียงใหม่ 2 ครั้ง แต่เมื่อตรวจสอบไม่พบความเสียหาย จุดนี้คาดว่าเป็นการใช้ระเบิดควันสร้างสถานการณ์ และอีกไม่นานก็เกิดเหตุเผายางรถยนต์บนถนนสันป่าตอง-แม่วาง อ.สันป่าตอง ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกับเหตุระเบิด
       
       ที่ภาคตะวันออกก็ไม่น้อยหน้า เวลา 20.00 น.คนเสื้อแดงเมืองพัทยากว่า 100 คน นำโดยนายวันเฉลิม กุนเสน อายุ 29 ปี รวมตัวที่หน้าศาลาว่าการเมืองพัทยา จ.ชลบุรี ประกาศไม่ยอมรับการยึดอำนาจ มีการปราศัยโจมตี แต่เวลา 22.00 น. ก็สลายตัวไปตามคำขอร้องของนายรณกิจ เอกะสิงห์ รองนายกเมืองพัทยา
       
       ตกกลางดึกมีคนจุดไฟเผายางรถยนต์หลายเส้น บนถนนสาย 7 ตอน 5 กม.123 ขาเข้าเมืองพัทยา จ.ชลบุรี เพื่อสร้างสถานการณ์ เหตุนี้ตำรวจไปตรวจสอบแล้ว พบยางรถยนต์ถูกเผาอยู่กว่า 10 เส้น
       
       เวลา 10.30 น. วันที่ 23 พฤษภาคม ที่หน้ามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ นักศึกษา 3 คนยืนชูป้ายคัดค้านการทำรัฐประหารอยู่ริมถนน หน้าป้ายชื่อมหาวิทยาลัย อ้างว่าเป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่ง บอกว่าต้องการจะแสดงออกว่าไม่เห็นด้วย เพราะเห็นว่าประเทศมีความเป็นประชาธิปไตยดีอยู่แล้ว พร้อมทั้งอ้างว่ามีเพื่อนนักศึกษาอีกมากที่คิดเหมือนกัน แต่ไม่กล้าแสดงออก
       
       หลังยืนชูป้ายอยู่ได้สักระยะ ก็มีตำรวจเข้าไปขอให้ยุติการทำกิจกรรม เพราะขัดต่อประกาศของคสช.
       
       ส่วนแกนนำเสื้อแดงเชียงรายระดับ "ตัวพ่อ" อีกคน คือ นายธนิต บุญญนสินีเกษม กลุ่มพลังมวลชนเชียงราย ให้ความเห็นว่าครั้งนี้ไม่ใช่เกมโอเวอร์ แต่เป็นจุดเริ่มต้นของการต่อต้าน คาดจะรุนแรงมากกว่านี้ นักวิชาการก็กำลังหารือกันอยู่ว่าจะทำอย่างไร เพราะตอนนี้ยังช็อคกันอยู่ แต่อาจจะแรงกว่าปี 2550 และ 2553 ก็ได้ เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เอาเผด็จการและรัฐประหาร จึงรู้สึกอึดอัด ไม่รู้ว่าสถานการณ์เช่นนี้จะดำรงอยู่อีกนานเท่าไหร่
       
       แต่นายธนิตยอมรับว่า สาเหตุของการรัฐประหารครั้งนี้ เกิดจากพรรคเพื่อไทย เพราะนักการเมืองพรรคนี้นำเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมแบบสุดซอยหรือเหมาเข่ง แม้แต่นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ก็กลายเป็นผู้ยกร่างเสียเอง ส่งผลให้ฝ่ายที่ต่อต้านซึ่งแทบจะปลุกไม่ขึ้นแล้ว สามารถลุกขึ้นยืนได้และบานปลายมาจนถึงขั้นยึดอำนาจ
       
       ยังไม่จบ เวลา 19.00 น.วันที่ 23 พฤษภาคม กลุ่มคนเสื้อแดงเชียงใหม่ ที่ไม่สวมเสื้อแดงแล้ว รวมตัวกันกว่า 100 คน ที่ข่วงประตูช้างเผือก อ.เมือง ถือป้ายต่อต้านการรัฐประหาร และผูกโบว์ดำตามต้นไม้ เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์คัดค้านการยึดอำนาจของคสช. โดยมีตำรวจสภ.เมือง มาดูแลความปลอดภัย แต่ที่สุดก็แยกย้ายกันกลับกลับก่อนเวลา 22.00 น.
       
       แม้จะถูก "ท้ายทาย" หรือ "ลองของ" แต่ปฏิบัติการ "กระชับพื้นที่" บรรดา "แกนนำคนเสื้อแดง" ก็เป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นกัน
       
       เริ่มจากเวลา 17.30 น. ทหารจากจังหวัดทหารบก(จทบ.)ตาก นำกำลังไปเชิญตัวนายกฤษณะ พุ่มสนธิ์ หรือ "อี๊ด เมืองตาก" แกนนำคนเสื้อแดง อดีตผู้สมัครส.ส.ตาก เขต 3 พรรคเพื่อไทย ที่ร้านประสิทธิ์ดีไซด์ มาอยู่ที่ค่ายวชิรปราการ จทบ.ตาก
       
       ต่อมาเวลา 21.00 น. ฝ่ายทหารได้เชิญตัวแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) และแกนนำคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย ที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)ตาก เข้ามาพักอยู่ในค่ายด้วย เพื่อป้องกันสถานการณ์อันไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นได้
       
       ขณะที่หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 4 อ.แม่สอด จ.ตาก หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 35 อ.แม่สอด และตำรวจตระเวนนายแดน(ตชด.)ที่ 346 อ.แม่สอด เข้าตรวจค้นบ้านนายมีนา ภาคแส หรือนายชาติชาย เกื้ออังกุลขจร แกนนำคนเสื้อแดงอ.แม่สอด ในซอยสุสานจีน เขตเทศบาลนครแม่สอด ตรวจค้นพบอาวุธปืนพกจึงยึดไว้เพื่อทำการตรวจสอบ
       
       สำหรับนายมีนาเคยนำคนไปไปปลดป้ายการปฏิรูปการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ของโรงพยาบาลแม่สอด จนเกิดการปะทะกัน ทางโรงพยาบาลแม่สอดจึงแจ้งความจับข้อหาขโมยทรัพย์สิน แต่คดีไม่มีความคืบหน้า ขณะที่นายมีนายังคงประกอบกิจกรรมทางการเมืองมาได้โดยตลอด
       
       นายมีนายังสนิทกับนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือโกตี๋ แกนนำคนเสื้อแดงปทุมธานี ที่จะมาตั้งสถานีวิทยุคนเสื้อแดงที่อ.แม่สอด จ.ตาก แต่ไม่สำเร็จ และวันนี้ฝ่ายทหารยังตามหาตัวไม่เจอ
       
       วันที่ 23 พฤษภาคม จทบ.เชียงราย แจ้งให้แกนนำคนเสื้อแดงคนสำคัญเข้าไปรายงานตัวที่ค่ายเม็งรายมหาราช ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ น.ส.จิรนันท์ จันทวงษ์ แกนนำกลุ่มลูกคนเมืองรักชาติเชียงราย นางเกษนีย์ ชื่นชม แกนนำกลุ่มเชียงราย 49 นายสมชัย แสงทอง แกนนำหมู่บ้านเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตยภาคเหนือและจ.เชียงราย ที่พร้อมใจกันไปรายงานตัวถ้วนหน้า บางคนถูกเชิญไปตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม
       
       มีรายงานหลุดรอดออกมาว่า มีลูกชายของนักการเมืองชื่อดัง ที่ผู้เป็นพ่อต้องไปรายงานตัวต่อคสช.และมีหัวหน้าหน่วยงานเกี่ยวกับป่าไม้ อีก 1 คน ถูกแจ้งให้ไปรายงานตัวด้วย
       
       ด้านพล.ท.ชาญชัย ภู่ทอง แม่ทัพภาคที่ 2 ก็ใช่ย่อย เปิดห้องประชุมศรีพัชรินทร์ สโมสรร่วมเริงไชย ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา ให้ข้าราชการและนักการเมืองที่อยู่ในข่ายต้องรายงานตัวทั้ง 20 จังหวัดภาคอีสานมารับแอร์เย็นๆ แต่ยังไร้เงานายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ หรือ "แรมโบ้อีสาน" ประธานกลุ่มอาสาสมัครพิทักษ์ประชาธิปไตยแห่งชาติ( อพปช.)
       
       แต่ไม่เป็นไร เพราะพล.ท.ชาญชัยบอกว่า วันที่ 24 พฤษภาคม เป็นคิวอดีตส.ส. และแกนนำมวลชนแต่ละฝ่าย แต่ด้วยความเห็นใจที่ว่า กองทัพภาคที่ 2 ตั้งอยู่ที่จ.นครราชสีมา หลายจังหวัดอาจเดินทางมาไม่สะดวก จึงกำลังพิจารณาว่าอาจให้หน่วยทหารในแต่ละจังหวัดเชิญมาเพื่อพูดคุย ขอทราบที่อยู่ที่จริง หมายเลขโทรศัพท์ สถานที่ติดต่อ แล้วให้เดินทางกลับได้
       
       "ยกเว้นผู้ที่มีบัญชีที่ต้องทำความเข้าใจ และให้อยู่ในกองทัพ 3-5 วัน ซึ่งขึ้นอยู่กับการสั่งการของคสช."
       
       แม่ทัพภาคที่ 2 รับรองว่า "การเชิญมารายงานตัวนี้ เราดูแลอย่างดี ตั้งแต่หัวจรดเท้า ถือว่าเข้ามาพักผ่อน มีบ้านพักรับรองให้ด้วย"
       
       นอกจากเชื้อเชิญมาพูดคุยแล้ว ยังมีการสั่งปิดสถานีวิทยาชุมชน อย่างที่จ.เชียงใหม่ ที่เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)เขต 9 เชียงใหม่ ยังร่วมกับทหารมณฑลทหารบก(มทบ.)33 ค่ายกาลวิละ เข้าตรวจค้นสถานนีวิทยุชุมชน ความถี่ 94.75 เมกะเฮิร์ตซ (ตึกอังเกตุ) ต.หน่องป่าครั่ง อ.เมือง จ.เชียงใหม่ พร้อมชยึดเครื่องวิทยุกระจายเสียงที่ไม่รับอนุญาต ส่งพนักงานสอบสวนสภ.แม่ปิง ติดตามผู้กระทำผิดต่อไป
       
       สาเหตุเพราะ ช่วงหลังมานี้ "ดีเจเสื้อแดงฮาร์ดคอร์" มักจะใช้สถานที่แห่งนี้เป็นที่พัก และประสานงานการเคลื่อนไหวกับคนในเครือข่าย ซึ่งล่าสุดดีเจเสื้อแดงฮาร์ดคอร์คนนี้ ยังคงออกมาประกาศตัวเคลื่อนไหวต่อต้านการรัฐประหารด้วย
       
       ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ได้ควบคุมการออกอากาศของสถานีวิทยุชุมชนคน เสื้อแดงทุกแห่ง โดยเฉพาะสถานีวิทยุชุมชนคนรากหญ้าเพื่อประชาธิปไตยเชียงราย ความถี่ 104 เมกะเฮิร์ตซ ของน.ส.จิรนันท์ จันทวงษ์ แกนนำกลุ่มลูกคนเมืองรักชาติเชียงราย พร้อมตรวจยึดคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์บางส่วนไปตรวจสอบ
       
       สถานีวิทยุชุมชนห้าแยก ความถี่ 105 เมกะเฮิร์ตซ ของนายอรรถกร กันทะไชย แกนนำเครือข่ายรักประชาธิปไตยจ.เชียงราย ซึ่งจัดเวทีเสื้อแดงที่ห้าแยกพ่อขุนมาอย่างต่อเนื่อง แต่นายอรรถกรปิดห้องเก็บเครื่องส่งออกอากาศไว้ ทำให้ต้องบุกเข้าไปและตรวจยึดตามขั้นตอน
       
       แต่ที่ต้องถามว่าไปกิน "ดีหมี" หรือ "หัวใจเสือ" มาจากไหน คือ ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ กว่า 20 นายที่เข้าตรวจค้นบ้านพักของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่สถานภาพปัจจุบัน คือ "นักโทษหนีอาญาแผ่นดิน" พร้อมทั้งบ้านนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และนางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ภรรยา และแกนนำพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นน้องเขยและน้องสาวของพ.ต.ท.ทักษิณ ภายในหมู่บ้านเชียงใหม่ กรีน วัลเลย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งมีแม่บ้านนำตรวจค้น ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงจึงยกกำลังกลับที่ตั้ง โดยที่ไม่ได้จับกุมหรือตรวจยึดสิ่งใด
       
       สำหรับจ.เชียงใหม่ พล.ต.ศรายุธ รังษี ผู้บัญชาการมณฑลทหารบกที่ 33 ค่ายกาวิละ บอกว่า มีการต่อต้านบ้าง แต่ไม่รุนแรง ทหารเข้าไปเจรจาทำความเข้าใจแล้ว ที่สำคัญเชียงใหม่ไม่ใช่ฐานของใคร เพราะทุกคนต่างเป็นคนไทยด้วยกัน จึงไม่อยากให้เกิดความแตกแยกเป็นฝักเป็นฝ่าย และอยากบอกว่า "ทุกข์ของประชาชน" คือ "ทุกข์ของทหาร" เราต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมือง
       
       ส่วนมาตรการ "เคอร์ฟิว" อ่านแล้วอย่าสะดุ้ง เพราะ "การเข้าค้นบางพื้นที่ ก็เป็นการลาดตระเวนเพื่อตรวจสอบว่ามีความผิดปกติหรือไม่ ดังนั้นการประกาศเคอร์ฟิว จึงจะเข้มข้นเฉพาะคนคิดไม่ดีเท่านั้น"
       
       นอกจาก "กระชับพื้นที่" แล้ว ยังมีมาตรการที่เข้มข้นไปอีกขั้น คือ การ "บุกจับกุม"
       
       เริ่มจากพ.อ.สุจินต์ ทรัพย์สิน ผู้บังคับการค่ายโสณบัณฑิต ร.7 พัน.5 สนธิกำลังกับพ.ต.อ.วรพล พลมณี ผกก.สภ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน เข้าตรวจค้นรีสอร์ตปาย ริเวอร์ ร็อค บ้านนาจลอง ต.แม่นาเติง อ.ปาย ของลูกชายนักการเมืองดังพรรคเพื่อไทย นอกจากพบของกลางไม้สักแปรรูปและไม้ท่อนแล้ว ยังพบลูกระเบิด M26 จำนวน 1 ลูก พร้อมกระสุนปืนจำนวนหนึ่ง
       
       ส่วนที่จ.ตราด มีข่าวแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้า ว่าเมื่อเวลา 02.00 น.วันที่ 23 พฤษภาคม ทหารพร้อมอาวุธครบมือ เข้าจับกุมชาย 2 คนที่โรงแรมสวีท อินน์ ต.แสนตุ้ง อ.เขาสมิง โดยไม่ทราบว่านำตัวไปที่ใด แต่ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงและเห็นเหตุการณ์ สงสัยว่าชาย 2 คนนี้จะเป็นคนร้ายที่ร่วมก่อเหตุยิงและปาระเบิดใส่เวทีกปปส.เมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เมื่อเวลา 21.00 น. ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 30 คน และมีผู้เสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บสาหัสจนพิการ 1 คน ซึ่งจนถึงปัจจุบันคดียังไม่มีความคืบหน้า
       
       ไม่ได้คิดจะเเชื่อมโยงกับการเมืองนะ แต่สังเกตุหรือไม่ว่า ทั้ง 2 เหตุการณ์ หน่วยที่นำทีมเข้าจับกุม คือ ทหาร เช่นเดียวกับการจับกุมอาวุธสงครามได้ที่จ.ลพบุรี และจ.สมุทรสาคร หลังประกาศกฏอัยการศึก!!!
       
       ส่วนบรรดาฮาร์ดคอร์เสื้อแดงที่ยังไม่มารายงานตัว อย่าคิดหนี เพราะมาตรการ "สกัดกั้น" เข้มข้นไม่แพ้ "การกระชับพื้นที่"
       
       เริ่มจากด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 จ.หนองคาย ทหารได้เข้าควบคุมพื้นที่ทั้งขาเข้าและขาออก โดยสั่งห้ามคนไทยเดินทางออกนอกประเทศ และห้ามคนต่างชาติเข้าประเทศ ยกเว้นคนไทยที่จะเดินทางกลับเข้าประเทศ จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง อนุญาตเฉพาะกรณีชาวลาวที่เจ็บป่วย หรือมีนัดตรวจกับแพทย์ที่โรงพยาบาลฝั่งไทย ที่ยังสามารถเดินทางเข้ามาได้ตามกำหนดนัด แต่ต้องมีหนังสือเดินทางถูกต้อง รวมทั้งรถพยาบาลของโรงพยาบาลในจ.หนองคาย ที่สามารถไปรับผู้ป่วยฝั่งลาวมารับการรักษาได้
       
       ล่าสุด เพื่อไม่ให้กระทบกับการประกอบธุรกิจ และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจนเกินไป ผู้บังคับบัญชาจึงมีคำสั่งเปลี่ยนแปลงอนุญาตให้รถบรรทุกสินค้า ที่รอการนำสินค้าผ่านแดนไปยังประเทศลาวผ่านด่านได้ แต่ต้องถูกตรวจสอบสินค้าและใบอนุญาตอย่างเข้มงวด
       
       เช่นเดียวกับด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 2 จ.มุกดาหาร ที่ทหารเข้ามาช่วยควบคุมดูแลร่วมกับศุลกากรมุกดาหาร และตรวจคนเข้าเมือง(ตม.)มุกดาหาร
       
       จ.นครพนม ทหารจากจทบ.นครพนม สนธิกำลังกับหน่วยเรือรักษาความสงบเรียบร้อยตามลำแม่น้ำโขง(นรข.)กว่า 50 นาย เข้าควบคุมระบบสะพานมิตรภาพไทย-ลาว(นครพนม-คำม่วน) และจุดผ่านแดนถาวรสากลบริเวณท่าเรือข้ามฟากริมแม่น้ำโขง ริมถนนสุนทรวิจิตร พร้อมนำสุนัขทหารมาดมกลิ่นตรวจตราผู้ที่เดินเข้า-ออกระหว่างประเทศ และยานพาหนะอย่างเข็มงวด
       
       ขณะที่ด่านพรมแดนสากลไทย-ลาว ช่องเม็ก อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี ด่านผ่อนปรน ด่านประเพณีที่ติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีกำลังทหารพราน จากกองร้อยทหารพรานที่ 2601 , 2301 , และ 2310 วางกำลังร่วมกับตำรวจ โดยใช้มาตรการเดียวกับด่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 1 จ.หนองคาย
       
       ส่วนที่จ.สุรินทร์ ทหารจากกองกำลังสุรนารี ร้อย ร. 2333 กองทัพภาคที่ 2 เข้าควบคุมด่านผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องจอม-โอร์เสม็ด ต.ด่าน อ.กาบเชิง และผลักดันชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขายที่ตลาดชายแดนช่องจอมฝั่งไทยกลับประเทศ ยุติการค้าขายชั่วคราวจนกว่าสถานการณ์จะดี พร้อมตรึงกำลังตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ระยะทางกว่า 20 กิโลเมตร
       
       ขณะที่นักพนันชาวไทยที่เดินทางข้ามแดนไปเล่นการพนันในกาสิโนชายแดน กัมพูชาทั้ง 2 แห่ง ต่างแตกตื่นตกใจ เดินทางกลับมายังฝั่งไทยกันอย่างอลหม่าน
       
       จ.บุรีรัมย์ ทหารหน่วยเฉพาะกิจที่ 2 กองกำลังสุรนารี ปิดจุดผ่อนปรนการค้าชายแดนช่องสายตะกู ต.จันทบเพชร อ.บ้านกรวด จุดซื้อขายสินค้าของประชาชนไทยและกัมพูชาในวันศุกร์-เสาร์ อย่างไม่มีกำหนด ทั้งที่เดิมมีกำหนดการทำพิธีเปิดจุดอย่างเป็นทางการ และขยายวันเวลาเปิดทำการค้าจาก 2 เป็น 3 วัน ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ ต้องรอคำสั่งจากทางกองกำลังสุรนารี ว่าจะยังคงให้เป็นไปตามกำหนดเดิมหรือจะเลื่อนออกไป
       
       เช่นเดียวกับที่จ.ศรีสะเกษ ทหารเข้าดูแลจุดผ่านแดนถาวรไทย-กัมพูชา ช่องสะงำ ต.ไพรพัฒนา อ.ภูสิงห์ คุมเข้มการผ่านเข้า-ออกของชาวไทย กัมพูชา และนักท่องเที่ยว พร้อมสั่งปิดด่านตั้งแต่เวลา 19.00 น. จากปกติเวลา 20.00 น. พ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชาที่เข้ามาค้าขายและทำงานรับจ้างในตลาดไทย ต่างพากันเก็บข้าวของหอบลูกจูงหลานกลับกัมพูชาทันที
       
       ส่วนชายแดนด้านตะวันออก พล.ร.ท.สนธยา น้อยฉายา ผู้บัญชาการป้องกันชายแดนจันทบุรีและตราด (กปช.จต.) สั่งให้ทหารนาวิกโยธินจันทบุรี ตั้งจุดตรวจร่วมกับตชด.ที่ 11 โดยให้เสริมกำลังทหารที่ด่านตรวจบ้านเขาเกลือ ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี ซึ่งเป็นเรื่องที่ชาวจันทบุรีเห็นว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
       
       จ.สระแก้ว พ.อ.พิชิต มีคุณสุต ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารพรานที่ 12 กองกำลังบูรพา จัดกำลังดูแลจุดตรวจร่วม อ. 05 หน้าด่านพรมแดนอรัญประเทศ ตรวจค้นรถยนต์และบุคคลที่เดินทางผ่านเข้า-ออกอย่างเข้มงวด ส่วนรถยนต์ส่วนบุคคลของพ่อค้าแม่ค้าชาวกัมพูชา สามารถขับเข้ามาทำการค้าได้เฉพาะที่ตลาดโรงเกลือเท่านั้น หากมีผู้ป่วยหรือนำบุตรหลานไปส่งเรียนหนังสือในอ.อรัญประเทศ จะอนุโลมให้ ส่วนรถบรรทุกสินค้าเข้า-ออกวิ่งได้ตามปกติ
       
       และการที่ทหารควบคุมทุกจุดผ่านแดนมีเป้าหมายเดียวกัน คือ เพื่อตรวจสอบและสกัดกั้นแกนนำกลุ่มมวลชนและนักการเมืองที่ฝ่าฝืนคำสั่งเรียก รายงานตัวต่อคสช. อาจใช้เป็นช่องทางหลบหนีออกนอกต่างประเทศ รวมทั้งสกัดกั้นการขนอาวุธเข้ามาก่อเหตุในประเทศไทย
       
       และท่ามกลางอาการช็อค บวกกับความแค้นเคืองของคนเสื้อแดง อดีตส.ส.พรรคเพื่อไทย เหล่าสมุนบริวารของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ถูกพล.อ.ประยุทธ์ "ล่อให้มาติดกับ" แล้ว ยังมีอีกฟากที่ชื่นชมกับปฏิบัติการ "ปิดประตูตีแมว" ครั้งนี้เช่นกัน จึงออกอาการ "ลั่นล้า" ประสาคน "รักทหาร"
       
       อย่างที่จ.แพร่ ประชาชนก็ออกมาให้กำลังใจทหารที่สถานีไฟฟ้าย่อย สถานที่ราชการ และด่านตรวจตามถนนสายต่างๆ โดยนำอาหารและเครื่องดื่มไปมอบให้ เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่ทหาร ที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ท่ามกลางอากาศที่ร้อนจัด
       
       จ.สุโขทัย ทหารที่ถูกพ.อ.เกียรติศักดิ์ ดวงแดง รองผู้บังคับการจทบ.พิษณุโลก ส่งมาดูแลความสงบเรียบร้อยที่สถานีผลิตน้ำการประปาส่วนภูมิภาค สถานีไฟฟ้าแรงสูง ศูนย์ประชาสัมพันธ์คสช.จังหวัด และศาลากลางจังหวัดสุโขทัย ซึ่งได้มีการวางกำลังทหาร 200 นาย ต่างได้รับน้ำใจจากประชาชน ที่ทยอยเดินทางมามอบดอกกุหลาบ พร้อมนำกระติกน้ำ เครื่องดื่ม และของกินอีกจำนวนมากมามอบให้ และสัญญาจะทำอาหารเลี้ยงเจ้าทุกวันอีกด้วย
       
       ที่จ.นครราชสีมา เมืองหลวงเสื้อแดงเขตอีสานใต้ ที่ประชาชนตื่นเต้นกับปรากฏการณ์กำลังทหารพร้อมอาวุธครบมือ เข้าประจำการรักษาความสงบเรียบร้อยตามจุดต่างๆ พากันใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก บางคนนำอาหาร เครื่องดื่ม อาทิ กาแฟกระป๋อง น้ำ เครื่องดื่มชูกำลัง ขนม มามอบให้เป็นกำลังใจกับทหารพร้อม ขอถ่ายรูปเป็นที่ระลึกเช่นกัน และด้วยท่าทีที่เห็นอกเห็นใจกัน ทำให้บรรยากาศมีแต่รอยยิ้ม และความรู้สึกอบอุ่นให้กัน
       
       จ.ขอนแก่น ที่สี่แยกถนนมิตรภาพ ตัดถนนศรีจันทร์ หรือแยกประตูเมืองขอนแก่น ทหารจากกองพันทหารราบที่ 8 ค่ายสีหราชเดโชชัย ได้รับธารน้ำใจจากประชาชน ทั้งดอกไม้ อาหาร เครื่องดื่ม ขณะที่ฝ่ายทหารก็อนุญาตให้ถ่ายภาพรถยนต์ที่่นำมาประจำการ และถ่ายรูปคู่กับทหารได้ แต่ห้ามขึ้นไปบนรถเท่านั้น บรรยากาศจึงชื่นมื่น ทั้งที่ต่างก็ตากแดดร้อนเปรี้ยง
       
       สุดท้าย "เสียง" ที่หากพล.ประยุทธ์ "ได้ยิน" แล้ว "ต้องฟัง" เพราะเป็นเสียงของคนที่ทำหามากินคาบเกี่ยวช่วงเคอร์ฟิว!!!
       
       ที่จ.ขอนแก่น ร้านโจ๊กชื่อดังอย่าง "ร้านโจ๊กบัตรคิว" หลังตลาดบางลำพู เขตเทศบาลนครขอนแก่น ได้รับผลกระทบจากเคอร์ฟิวไปเต็มๆเพราะปกติช่วงหัวค่ำถึงเที่ยงคืน จะมีลูกค้าต่อคิวยาวรอซื้อยาวเหยียด แต่ในคืนแรกของเคอร์ฟิวลูกค้าลดฮวบ ทั้งที่เข้าคิวซื้อและนั่งกินที่ร้าน
       
       นายธีระวัฒน์ โพธิ์นาฝาย เจ้าของร้านบอกว่า ลงทุนไป 30,000 บาท ทำทั้งโจ๊ก กวยจั๊บ และต้มเส้นไว้ในหม้อขนาด 50 ลิตร 24 หม้อเหมือนทุกคืน แต่มีประกาศเคอร์ฟิวตามมา ทำให้อาหารเหลือจำนวนมาก และจำเป็นต้องฝืนจำหน่ายเกินเวลาเคอร์ฟิว เพราะหากขายไม่หมดต้องเททิ้งอย่างเดียว เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะมาช่วงเปิดร้าน 1 ทุ่มถึงเที่ยงคืน และช่วงตี 1 ถึงตี 4 ทำให้วันต่อไปต้องเตรียมของให้น้อยลง
       
       "อยากให้เข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว เพราะการประกาศเคอร์ฟิว ส่งผลกระทบมาก ทำให้รายได้ลดลง" คือเสียงครวญจากเจ้าของร้านโจ๊กบัตรคิว
       
       เช่นเดียวกับนางสมบูรณ์ ลันดา แม่ค้าผักสดตลาดบางลำพู ที่รับผักมาจำหน่ายช่วงเวลา 4 ทุ่มถึง 9 โมงเช้าของทุกวัน จำเป็นฝืนคำสั่งนำผักมาวางจำหน่ายริมถนนให้ลูกค้าประจำ ที่จะมาซื้อในช่วงเวลาตี 3 โดยนางสมบูรณ์บอกว่า ลงทุนซื้อผักมา 10,000 บาท เมื่อประกาศเคอร์ฟิวแล้ว ต่อไปต้องปรับเวลาขาย และต้องยอมรับสภาพรายได้ที่ลดลง เพราะต้องปฏิบัติตามคำสั่งคสช.
       
       ต้องบอกก่อนว่านี่แค่ "ตัวอย่าง" เพราะถ้าไล่สัมภาษณ์ทั่วประเทศ ทั้งบาร์เบียร์ที่พัทยา ภูเก็ต สมุย มีหวังพล.อ.ประยุทธ์ ต้องนอนก่ายหน้าผากแน่นอน เพราะไม่รู้ว่าจะประกาศยกเคอร์ฟิวดีหรือไม่
       
       เอาละ...จะทำอะไรก็มีทั้งคน ชอบและไม่ชอบ ดั่งสุภาษิตที่ว่า "คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ" แต่เอ๊ะ...ไม่ใช่สิ เพราะออกมาเที่ยวนี้เสียงสรรเสริญมากกว่าเสียงก่นด่านะ
       
       จำได้ไหม วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก่อนยึดอำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ พูดว่า
       
       "ขอให้เชื่อว่าผมได้ทำ ทุกอย่าง พยายามทำทุกอย่างเต็มที่ เพื่อให้เกิดความสงบสุข ไม่ต้องคิดหรือกังวลแทนผม เพราะผมพร้อมรับผิดชอบทุกอย่างไม่ว่าจะถูกหรือผิด แต่ขอให้รู้ว่าที่ผมทำผมรับผิดชอบทุกประการ"
       
       ที่ผมทำเพราะผมเป็นคนที่เกิด ในแผ่นดินนี้ และเป็นหนี้ในแผ่นดินนี้ ที่ผมจำเป็นต้องมามีส่วนร่วม เพราะผมรับผิดชอบงานด้านความมั่นคงเป็นหลัก"
       
       ทำให้ได้อย่างที่พูด แล้วพล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นข้าราชการที่เกษียณอายุไปโดยที่มีแต่คนแซ่ซ้องสรรรเสริญ ไม่ใช่เอาอนาคตไปทิ้งแบบคนที่จบจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 10 (พ.ศ. 2512) และโรงเรียนนายร้อยตำรวจ รุ่นที่ 26 (พ.ศ. 2516)ที่ทุกวันนี้ยังหาทางกลับบ้านไม่ได้
       
       ที่พยายามเก็บตกมาทั้งหมด เพราะเห็นว่าคงเหนื่อยกับการจัดระเบียบสังคม ที่เห็น "เงิน" กับ "อำนาจ" คือ "ประชาธิปไตย" โดยมีคนที่ "ไม่ได้ทำผิดกฏหมาย แต่ทำในสิ่งที่กฏหมายห้ามไม่ให้ทำ" อยู่เบื้องหลัง
       
       อยากถาม "บิ๊กตู่" ว่า..."โอเคมั้ย สบายดีมั้ย"...?


เสื้อแดง-กลุ่มต้านรัฐประหารรวมตัวอีก ตั้งขบวนเดินชูนิ้วกลางคูเมืองเชียงใหม่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เชียงใหม่ - กลุ่มคัดค้านการรัฐประหารรวมตัวผูกริบบิ้นดำ จุดเทียนถือป้ายประท้วง เดินบนถนนคูเมืองเชียงใหม่ บางคนเดินชูนิ้วกลางไปด้วย
       
       เมื่อเวลา 19.00 น.วันนี้(23 พ.ค.) กลุ่มมวลชนคนเสื้อแดงเชียงใหม่บางส่วน ที่สวมใส่เสื้อผ้าทั่วไป และผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร ได้รวมตัวกันกว่า 100 คน ที่ข่วงประตูช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่
       
       โดยถือป้ายต่อต้านการรัฐประหาร และผูกโบว์ดำตามต้นไม้บริเวณใกล้เคียง เพื่อแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์คัดค้านการยึดอำนาจของคสช. โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสภ.เมือง บางส่วนมาดูแลความปลอดภัย
       
       จากนั้นทั้งหมดได้ร่วมกันจุดเทียน พร้อมตะโกนคัดค้านการรัฐประหาร ก่อนร่วมกันชูป้าย ถือเทียน เดินไปตามท้องถนนริมคูเมืองเชียงใหม่ เลี้ยวเข้าถนนคูเมืองด้านในบริเวณหน้าร้านโจ๊กสมเพชร โดยตลอดการเดินขบวนบางคนได้พากันชูนิ้วกลาง ตะโกนร้องคัดค้านการรัฐประหารให้ออกไป
       
       เมื่อขบวนทั้งหมดเดินย้อนกลับมาถึงบริเวณข่วงประตูช้างเผือก ได้มีการแสดงเชิงสัญลักษณ์คัดค้านการรัฐประหารขึ้น และมีชายหนึ่งคนเปลื้องผ้าออกแล้วใช้ผ่าขาวม้าพันกายท่อนล่าง พร้อมนำป้ายไม่เอารัฐประหารติดหน้า-หลัง ก่อนที่ผู้ชุมนุมบางส่วนจะแยกย้ายกลับก่อนเวลา 4 ทุ่มที่มีการประกาศเคอร์ฟิว


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ย้อนรอย นาทียึดอำนาจ ในสายตา พีระศักดิ์

view