สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

บทเรียนความล้มเหลวปี49เตือนสติคณะรัฐประหาร

บทเรียนความล้มเหลวปี49เตือนสติคณะรัฐประหาร

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวการเมือง

ในที่สุดการเมืองของประเทศไทยได้เดินทางมาถึงในจุดที่กองทัพต้องออกมาทำการรัฐประหารยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล หลังจากคู่ขัดแย้งทางการเมืองไม่สามารถหาข้อสรุปที่แต่ละฝ่ายจะยอมรับกันได้เมื่อวันที่ 22 พ.ค.ที่ผ่านมาจึงกลายเป็นฟางเส้นสุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ต้องตัดสินใจฉีกรัฐธรรมนูญ

การดำเนินการของ พล.อ.ประยุทธ์ มีทั้งเสียงชื่นชมและเสียงคัดค้าน โดยฝ่ายสนับสนุนต่างยินดีที่ทหารช่วยให้การเมืองมีจุดจบลงได้โดยไม่เสียชีวิตและทรัพย์สินไปมากกว่านี้ เหนืออื่นใดเศรษฐกิจของประเทศไทยจะได้กลับมาเดินหน้ากันใหม่ภายใต้รัฐบาลชั่วคราวที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะตั้งขึ้นในเร็วๆ นี้ ส่วนเสียงคัดค้านนั้นปรากฏว่าออกมาในลักษณะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองด้วยเครื่องมือนอกระบบ เพราะไม่ต่างอะไรกับการทำให้ประชาธิปไตยของไทยขาดช่วงในการพัฒนา

อย่างไรก็ตาม แม้ทั้งสองฝ่ายจะมีจุดยืนที่แตกต่างกัน แต่มีข้อหนึ่งที่เห็นตรงกัน คือ การปฏิรูปประเทศครั้งนี้ควรเป็นรูปธรรมไม่เสียของเหมือนกับการรัฐประหารเมื่อปี 2549

ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ ตระหนักถึงโจทย์นี้หรือไม่ แน่นอนว่า พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมมีคำตอบอยู่ในใจ เพราะอย่าลืมว่าในห้วงความขัดแย้งทางการเมืองเกือบตลอด 10 ปีมานี้ นายทหารผู้ทรงอิทธิพลคนนี้ได้สัมผัสด้วยตัวเอง เพียงแต่ต่างกรรม ต่างวาระ และต่างอำนาจหน้าที่เท่านั้น

โดยเมื่อครั้งการรัฐประหารเมื่อปี 2549 พล.อ.ประยุทธ์ มียศเป็น “พลตรี” ในเวลานั้นได้มีส่วนสำคัญในการเป็นกำลังให้กับ พล.ท.อนุพงษ์ เผ่าจินดา แม่ทัพภาคที่ 1 (ยศในขณะนั้น) ในการคุมกำลังทำการรัฐประหารล้มรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ต่อมาปี 2553 ยังได้เป็นหัวใจสำคัญของการช่วยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นำทหารเข้าสลายการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดง จนมาถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็ได้มีทั้งส่วนช่วยในการทำงานด้านความมั่นคงก่อนที่จะตัดสินใจยึดอำนาจจากรัฐบาลในบั้นปลาย

ด้วยภูมิหลังของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงรัฐบาล 3 ชุดที่|ผ่านมา ย่อมเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตัว พล.อ.ประยุทธ์ ย่อมรู้ดีว่าปัญหาเชิงโครงสร้างที่เป็นจุดกำเนิดของความขัดแย้งอันส่งผลต่อเสถียรภาพของประเทศอยู่ตรงไหน และจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ปัญหาซ้ำรอยอีก

ดังจะเห็นได้จากการแก้ไขปัญหาในระยะเฉพาะหน้าผ่านการออกประกาศไม่ให้มีการนำเสนอข่าวที่มีเนื้อหาต่อต้านการทำงานของ คสช.ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยเฉพาะการใช้อำนาจสั่งระงับการออกอากาศของสถานีโทรทัศน์ชั่วคราว ซึ่งรวมไปถึงสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อสังคมออนไลน์ด้วย เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ทราบดีว่าหากไม่จัดระเบียบสื่อจะมีผลให้แรงต่อต้านการรัฐประหารขยายวงกว้างมากขึ้นจนยากต่อการควบคุม ซึ่งในระยะยาวย่อมจะไม่เป็นผลดีต่อตัวกองทัพในการทำงานใหญ่ในอนาคต

สำหรับความล้มเหลวของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ในอดีตแบ่งออกเป็น 3 ด้าน

ด้านที่ 1 : การทำหน้าที่ฝ่ายบริหาร

คมช.เลือกแนวทางด้วยการเร่งคืนอำนาจให้กับประชาชนทางอ้อมผ่านการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับชั่วคราว 2549 ในวันที่ 1 ต.ค. และจัดตั้งรัฐบาลขึ้นมาใช้อำนาจฝ่ายบริหารแทน คมช. ซึ่งนับเป็นเวลาที่ คมช.ครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จประมาณเพียง 13 วัน นับตั้งแต่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 19 ก.ย.

การตัดสินใจของ คมช.ครั้งนั้นนำมาซึ่งผลดีและผลเสียพร้อมๆ กัน

ผลดี คือ เป็นการช่วยให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาต่างชาติไม่เสียหายมากนัก อย่างน้อยเป็นการสร้างบรรยากาศประชาธิปไตยภายใต้รัฐบาลทหาร เพราะหากให้ทหารครองอำนาจนานเกินไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อประเทศในระยะยาว ส่วนผลเสีย คือ ไม่เกิดความเด็ดขาดในการแก้ไขปัญหาบางประการ โดยเฉพาะปัญหาความมั่นคง

อย่าลืมในระหว่างรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ บริหารประเทศอยู่นั้น ปรากฏว่าเป็นช่วงที่การเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงในนาม “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ” เฟื่องฟูเป็นอย่างมาก

แม้รัฐบาลจะปล่อยให้กลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้ามได้ทำกิจกรรมทางการเมืองอย่างมีอิสระ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรงและหลักประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนถูกสั่นคลอน แต่อีกด้านหนึ่งก็นำมาซึ่งการทำให้กลุ่มเสื้อแดงสามารถขยายตัวสร้างแนวร่วมได้มากขึ้น จนกระทั่งมีมวลชนบางกลุ่มอาศัยจังหวะนี้เคลื่อนไหวในลักษณะให้ร้ายสถาบันพระมหากษัตริย์ เท่ากับว่าการไม่ตัดไฟตั้งแต่ต้นลมของรัฐบาลในขณะนั้นจึงนำมาสู่ปัญหาอีกมหาศาลอย่างที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน

ผลของความบกพร่องในการบริหารงานด้านความมั่นคงอีกประการหนึ่งเห็นจะเป็น “เหตุการณ์ระเบิดช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่” เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2549 ในหลายจุดของ กทม. มีผู้เสียชีวิต 3 ราย และบาดเจ็บ 38 ราย สร้างผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของประเทศอย่างมหาศาล ซึ่งจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหน่วยงานความมั่นคงหน่วยใดสามารถนำผู้ก่อความไม่สงบมาดำเนินคดีตามกฎหมายได้

ด้านที่ 2 : การทำหน้าที่ฝ่ายนิติบัญญัติ

ตลอดเวลาของการครองอำนาจของ คมช.และรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับงานนิติบัญญัติเป็นอย่างมากผ่านการสถาปนา “สภานิติบัญญัติแห่งชาติ” เพื่อจัดทำกฎหมายสำหรับเป็นเครื่องมือในการบริหารราชการแผ่นดิน และ “สภาร่างรัฐธรรมนูญ” เพื่อดำเนินการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ อันเป็นการสร้างหลักประกันด้านสิทธิเสรีภาพให้กับประชาชนและจัดระเบียบโครงสร้างองค์กรทางการเมืองขึ้นมาใหม่

ความเป็นรูปธรรมที่พอจะนำมากล่าวอ้างเป็นผลงานได้ คือ รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 เพราะได้รับการยอมรับจากทุกฝ่ายในระดับหนึ่งว่าแม้จะมีที่มาจากการรัฐประหาร แต่ในด้านเนื้อหาของรัฐธรรมนูญมีบทบัญญัติที่คุ้มครองประชาชนในหลายด้าน ภายใต้เจตนารมณ์ที่สำคัญ 4 ประการ ได้แก่ (1) การคุ้มครอง ส่งเสริม และการขยายสิทธิและเสรีภาพของประชาชนอย่างเต็มที่ (2) การลดการผูกขาดอำนาจรัฐและขจัดการใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรม (3) การทำให้การเมืองมีความโปร่งใส มีคุณธรรมและจริยธรรม (4) การทำให้ระบบตรวจสอบมีความเข้มแข็งและทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ตรงกันข้ามกับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่กลับถูกตั้งคำถามเกี่ยวกับศักยภาพของการตรากฎหมายเพื่อเป็นประโยชน์แก่|ประเทศและประชาชนในด้านการกระจายทรัพยากรทางเศรษฐกิจและการวางกลไกควบคุมการใช้อำนาจรัฐ หลังจากมีกฎหมายสำคัญถึง 6 ฉบับที่ต้องถูกเพิกถอนด้วยคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากองค์ประชุมของสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ครบ อันเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่รอบคอบและความบกพร่อง

โดยกฎหมายดังกล่าวประกอบด้วย 1.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน 2.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต 3.ร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน 4.ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วนรวม 5.ร่างพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล 6.ร่างพระราชบัญญัติป่าชุมชน

ด้านที่ 3 : การแก้ไขปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่น

หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ คมช.ตัดสินใจยึดอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ คือ การทุจริตคอร์รัปชั่น ต่อมา คมช.ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) มี “นาม ยิ้มแย้ม” อดีตผู้พิพากษาศาลฎีกา เป็นประธาน

การตั้ง คตส.ในปี 2549 นั้น ทาง คมช.ได้นำเอาบทเรียนของคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (รสช.) ที่ตั้ง คตส.เมื่อปี 2534 มาพิจารณาด้วย เพราะ คตส.ภายใต้ร่มเงาของ รสช.ได้พยายามใช้อำนาจเบ็ดเสร็จในตัวเองด้วยการยึดทรัพย์ในคณะรัฐมนตรีของ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ แต่สุดท้ายต้องล้มเหลว เพราะศาลฎีกาได้มีคำพิพากษาว่า คตส.ไม่มีอำนาจยึดทรัพย์

จากบทเรียนที่เกิดขึ้น คมช.จึงได้วางโครงสร้างอำนาจของ คตส.ขึ้นมาใหม่ โดยให้อำนาจยึดทรัพย์เป็นของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งการจะยึดทรัพย์ได้นั้นจะต้องมาจากฐานความผิดใน 3 กรณี ประกอบด้วย การทุจริตต่อตำแหน่งหน้าที่ การร่ำรวยผิดปกติ และการกระทำที่ผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ทำให้ในที่สุด คตส.สามารถเปิดโปงการซื้อขายหุ้นของบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จนนำไปสู่การยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจำนวนเงิน 4.6 หมื่นล้านบาท ในเวลาต่อมา

แต่ทว่าในความสำเร็จก็มีความล้มเหลวซ่อนอยู่ เนื่องจากมีหลายคดีที่ คตส.ไม่สามารถเอาผิดได้ เช่น โครงการท่อร้อยสายไฟฟ้าภายในสนามบินสุวรรณภูมิ โครงการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ โครงการออกสลากเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว โครงการจัดซื้อต้นกล้ายางพารา เป็นต้น จึงไม่อาจเรียกได้ว่าการรัฐประหารของ คมช.ได้นำมาซึ่งการวางรากฐานของการปราบปรามการทุจริตได้อย่างแท้จริง

ดังนั้น จากความผิดพลาด 3 ประการที่เกิดขึ้นในอดีต จึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่ คสช.ต้องพิสูจน์ตัวเองว่าจะทำอย่างไรไม่ให้การรัฐประหารเสียของหรือสูญเปล่า


ทหารเอาอยู่..คู่ขัดแย้ง

หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกทุกพื้นที่ทั่วประเทศ

ตั้งแต่เวลา 03.00 น. ของวันที่ 20 พ.ค. 2557 หากเป็นคอการเมืองที่เฝ้าติดตามสถานการณ์การเมืองที่มีความขัดแย้งรุนแรงเวลานี้ คงไม่คิดว่าจะเหนือความคาดหมายอะไรมาก

การประกาศกฎอัยการศึก และการควบคุมภายใต้ทหารวันนี้แม้จะไม่สะใจใครต่อใครที่อยากจะให้ทำปฏิวัติรัฐประหาร แต่อย่างน้อยก็ช่วยหยุดยั้งการเผชิญหน้า ที่จะนำไปสู่ความรุนแรงในวันข้างหน้าได้ที่สำคัญชะลอการย่อยยับของประเทศ จากการแย่งชิงอำนาจทางการเมืองต่อสายตาชาวโลกได้ระดับหนึ่ง

แม้การประกาศกฎอัยการศึกครั้งนี้ จะถูกมองว่าเป็นการปฏิวัติกลายๆก็ไม่แปลก ทั้งหมดคงจะขึ้นอยู่กับการจัดการจากนี้ไป ทำอย่างไรให้ประเทศชาติอยู่ในความสงบเรียบร้อย ประชาชนไม่เดือดร้อน

การที่กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(กอ.รส.)ได้เชิญคณะบุคคลภาคส่วนต่างๆ ที่มีบทบาทในการขับเคลื่อนประเทศเข้าร่วมประชุม อาทิ รัฐบาล รักษาการประธานวุฒิสภา ประธานคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เลขาธิการกปปส.และประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)พูดคุยหารือกับพล.อ.ประยุทธ์ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ผอ.รส.)การเข้ามาพูดคุยน่าจะเป็นทิศทางที่ดีที่คู่ขัดแย้งจะได้แสดงความเห็นต่อกัน


การพูดรอบนี้ยังคงไม่มีอะไรมากมาย เป็นเพียงการพูดคุยสร้างความเข้าใจ"ยกแรก"สิ่งที่ดีคือทุกฝ่ายเข้าใจความรู้สึกซึ่งกันและกัน บรรยากาศจึงเป็นเสมือนพี่น้องคนไทยด้วยกัน สิ่งสำคัญทุกฝ่ายต้องร่วมกันแก้ปัญหาของประเทศ ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ทุกฝ่ายเริ่มที่จะหันหน้าเข้าหากัน แต่แน่นอนอะไรที่ยังไม่ตกผลึก ก็ไม่ควรที่จะป่าวประกาศ เพราะจะกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งในสังคมเสียมากกว่า

ว่ากันว่าการเจรจาระหว่างกองทัพกับทุกฝ่าย ยังคงต้องดำเนินการอีกสักระยะหนึ่ง ที่แน่ๆ คงอาจจะต้องนำไปสู่โหมดการจัดตั้ง"รัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่าน"หรือ"รัฐบาลเฉพาะกาล"ขึ้นมา แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ต้องให้ทุกฝ่าย"ไม่แฮปปี้น้อยที่สุด"

เมื่อได้ข้อสรุปที่ตกผลึกร่วมกันจากทุกฝ่าย การตั้งรัฐบาลเฉพาะกาล หรือรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่าน ก็น่าจะเกิดขึ้นได้ ส่วนจะใช้เวลานานเท่าไหร่ คงต้องขึ้นอยู่กับวงเจรจาว่า จะ 1 ปี หรือ 1 ปีครึ่ง เพื่อทำการปฏิรูปการเมืองอย่างจริงจัง แต่ปมสำคัญของรัฐบาลเฉพาะกาลหรือรัฐบาลช่วงเปลี่ยนผ่านใคร?คือนายกรัฐมนตรีส่วนผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีแน่นอน ก็ต้องมาจาก"คู่ขัดแย้ง"ที่เหลือก็ต้องเป็นหน้าที่กองทัพ สัดส่วนจะเป็นอย่างไรต้องคุยกัน

ยิ่งไปกว่านี้หากจะมีรัฐบาลชั่วคราวหรืออย่างไร ผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีต้องไม่เกิดจากตัวแทนนักการเมืองหรือส.ส. เรียกว่าต้องเป็น"มืออาชีพจริงๆ"กองทัพจำเป็นต้องสกรีนผู้ที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี เชื่อว่าหากทุกฝ่ายยอมรับกฎกติกาได้ การเดินหน้าปฏิรูปน่าจะเป็นทางออกให้กับประเทศได้

มีความเชื่อว่าเกมนี้จะจบในไม่ช้า เพราะวันนี้ต้องถือว่าทหารมีอำนาจเต็มแล้ว การจัดการในที่สว่างไม่น่าจะเป็นเรื่องยาก เพียงแต่อาจต้องอาศัยเวลาสร้างความเข้าใจต่อกัน มองประเทศชาติเป็นที่ตั้ง

ส่วนกระบวนการใต้ดินที่ซุกซ่อนอยู่ เชื่อว่า"ทหารเอาอยู่"โดยเฉพาะกองกำลังที่ซ่องสุมและซุกซ่อนอาวุธอยู่ในเวลานี้ ถึงเวลาที่ทหารจะออกมากวาดล้างเพื่อสกัดกั้นความรุนแรง จึงไม่แปลกใจที่เราจะเห็นการจับกุมคลังอาวุธในพื้นที่ต่างๆ จำนวนมหาศาลเวลานี้

ฉะนั้นห้วงเวลาที่เหลือน่าจะเป็นการนำไปสู่สิ่งที่ดีสำหรับบ้านเมือง สำหรับรัฐบาลรักษาการ

เชื่อว่าเมื่อถึงเวลาก็"ต้องลาออก"การกอดอำนาจไว้แต่ไม่สามารถทำให้บ้านเมืองสงบสุข ใช่ว่าจะมีประโยชน์ ดังนั้นเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ประเทศไทยคงเห็นทางสว่างตามมา


"สะสางแล้วส่งคืน"

ผมรู้สึกกังวล อึดอัดและไม่ชอบใจเท่าใดนัก หลังระบอบการเมืองที่เป็นทางตันของประเทศมาช้านาน ต้องพึ่งพาบริการรถถัง

ในการทลายกำแพงฝ่าออกไป ใครจะว่า ผมเป็นคนโลกสวย ก็ไม่เห็นจะรับไม่ได้

ขณะเดียวกันผมก็รับไม่ได้กับระบบการเมืองที่ฉ้อฉล ใส่เสื้อประชาธิปไตยแต่หัวใจเผด็จการ เห็นการเลือกตั้งเป็นสิ่งสูงสุด ทั้งที่ผมคิดว่าการเลือกตั้งเป็นแค่สัญลักษณ์หนึ่งรูปแบบหนึ่ง เสี้ยวหนึ่งของระบบการปกครองเท่านั้น ดูกัมพูชาเป็นไร มีการเลือกตั้งแต่อำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ ฮุน เซน กับพรรคพวกไม่กี่ตระกูล

ผมฝังใจกับอดีตและศึกษาประวัติศาสตร์ ที่ประเทศถูกปกครองโดยคณะทหาร เกรงว่าจะถูกโดดเดี่ยวในเวทีโลก ผมอยู่ที่เวียดนามเมื่อเดือนพ.ย.2549 เรามีรัฐบาลหลังรัฐประหารคราวก่อน ในการร่วมสังเกตการณ์การประชุม ผู้นำกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิคหรือเอเปคครั้งนั้น ผู้นำทั่วโลกไม่เจรจา ไม่หารือทวิภาคีกับผู้นำของเราเลย

คราวนี้หลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติหรือคสช. เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ แล้วเริ่มกระชับอำนาจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ยังเกรงว่าหลังจากนี้จะมีกลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ จำนวนมากเข้าไปขอแชร์อำนาจทหาร ซึ่งต้องระมัดระวังเพราะการขอแชร์อำนาจนั้นกลุ่มก้อนเหล่านั้นมักทำเพื่อตัวเอง จนทำให้ผิดวัตถุประสงค์ของการควบคุมอำนาจของคณะคสช.ได้

แน่นอนจะมีหลายคน หลายกลุ่มเดินเข้าไปแล้วบอกว่าทำอย่างนั้นซิ ทำอย่างนี้ซิ หอบข้อเสนอเข้าไปในนามของการช่วยจัดการประเทศ ในนามของความหวังดี ถ้าตั้งหลักไม่มั่นอาจทำให้เดินไม่ตรงได้ ขณะเดียวกันคสช.คงรู้อยู่แล้วว่าอำนาจแบบนี้ไม่สามารถคงอยู่ยาวไป

ต้องเร่งนำพาประเทศให้กลับสู่ปกติโดยเร็ว

ว่าแต่คนอื่น ผมเองก็อดเสนอบ้างไม่ได้ คสช.ควรใช้โอกาสนี้สะสางเรื่องเร่งด่วนเฉพาะหน้าบางประการ ที่เป็นผลพวงระบบที่ฝังรากและเป็นระบบที่ไม่ดีนัก เช่น เรื่องข้าว

แน่นอนการเร่งรัดจ่ายเงินชาวนาเป็นความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องทำทันที แต่หลังจากนั้นต้องสะสางเรื่องที่ตามมาอย่างเร่งด่วนเช่นเดียวกัน การเบรกไม่ให้ขายข้าวรัฐต่อรัฐที่เป็นปมใหญ่ของความไม่ชอบมาพากลของโครงการจำนำข้าวนั้นเป็นสิ่งจำเป็น

หลังจากนี้ควรนำบัญชีออกมาดู ข้าวทั้งหมดจำนำมาเท่าใด ขายไปเท่าใด เหลือเท่าใด ขายให้ใคร สมเหตุสมผลหรือไม่ แน่นอนคิดว่าคสช.อาจไม่มีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้มากนัก ไม่ควรรับฟังเพียงข้อมูลจากภาคราชการอย่างเดียวโดยเฉพาะกระทรวงพาณิชย์ เพราะยังไม่อาจมั่นใจได้ว่าได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง

ควรตั้งกรรมการอิสระสักชุดหนึ่ง มีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ ดำเนินการเรื่องนี้ (คณะนี้ไม่ควรมีพ่อค้า) ซึ่งผู้หวังดีอยากเห็นระบบที่ถูกต้องยังพอหาได้ ชำระสะสาง เช็กสต็อก ตรวจนับและประกาศอย่างเปิดเผยโปร่งใส ก่อนสั่งระบายออกอย่างเป็นขั้นตอน ในราคาที่เหมาะสม

ส่วนการดำเนินคดีกับผู้กระทำผิดเรื่องข้าว น่าจะให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.)ดำเนินการต่อ โดยอำนวยความสะดวกในด้านข้อมูลต่างๆที่ติดขัดในช่วงที่ผ่านมา

อีกทางหนึ่งวางนโยบายเร่งด่วนในการเยียวยา ช่วยเหลือชาวนาในช่วงนี้ที่ราคาข้าวตกต่ำมาก และประสบต้นทุนสูงจากโครงการจำนำที่ยกระดับราคาไปทำให้ต้นทุนสูงตามไปด้วย

สะสางภารกิจเร่งด่วน ไม่อยู่นานไป ส่งคืนอำนาจโดยเร็วที่สุด


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : บทเรียน ความล้มเหลว ปี49 เตือนสติ คณะรัฐประหาร

view