สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

วิจัยแต่ไม่พัฒนา

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์คิดวิเคราะห์แยกแยะ โดยชาย มโนภาส(คนขายของ)

หากเราถามคนส่วนใหญ่ว่า "ถ้าพูดถึงเรื่องนวัตกรรม คุณจะนึกถึงบริษัทไหนในโลก ?" ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่อาจจะตอบว่า "APPLE" ผู้จำหน่ายโทรศัพท์มือถือและแท็บเลตรายใหญ่, "AIRBUS" ผู้ผลิตเครื่องบิน A380 ขนาดมหึมา หรือ "SIEMENS" ผู้ผลิตสินค้าอุตสาหกรรมที่หลากหลาย ถ้าบริษัทที่มีนวัตกรรมต้องมีงบประมาณในการวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่สูงมาก

เราคงประหลาดใจเมื่อเรามาดูงานวิจัยของ Booz & Company แล้วพบว่า รายชื่อบริษัทที่มีงบฯวิจัยและพัฒนาสูงที่สุดในโลก 20 อันดับแรกนั้น ไม่มีบริษัททั้ง 3 นี้อยู่เลย ในบทความนี้เราจะมาดูกันว่า บริษัทที่มีงบฯ R&D สูงๆ นั้นเป็นบริษัทที่สร้างกำไร ให้กับบริษัทได้คุ้มค่าหรือไม่ ? บริษัทที่มีงบลงทุนใน R&D น้อยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันจริงหรือไม่ ? เราจะลองมาดูข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีของสหรัฐอเมริกากัน

ในอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และซอฟต์แวร์ของอเมริกา บริษัทที่มีงบฯ R&D สูงสุดในช่วงปี 2009-2013 มีอยู่ด้วยกัน 3 บริษัท INTEL, MICROSOFT และ IBM โดยในปี 2013 INTEL บริษัทผลิตไมโครชิปชั้นนำของโลกมีงบฯ R&D สูงที่สุดถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือราวๆ 323,000 ล้านบาท หรือ 20% ของรายได้และหากมองไป 5 ปีย้อนหลัง INTEL มีการลงทุนใน R&D อยู่ในช่วง 15-20% ของรายได้มาโดยตลอด โดยในปี 2009 อยู่ที่ 16% ของรายได้ และขยับขึ้นมาอยู่ที่ 20% ในปี 2013

ทั้งนี้ งบฯ R&D ที่เพิ่มขึ้นคงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ Net Profit Margin ของ INTEL ลดลงจาก 25% ในปี 2010 ลงมาเหลือ 19.4% เมื่อลองดูรายได้และกำไรของ INTEL 3 ปีย้อนหลัง พบว่าอยู่ในแนวโน้มชะลอตัวลง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ INTEL ต้องมีการลงทุนที่สูงอยู่เสมอ

หันมาดูทางด้านหุ้นค้าปลีกออนไลน์ระดับโลกอย่าง AMAZON กันบ้าง กิจการ AMAZON เป็นกิจการค้าปลีกที่ค่อนข้างแปลก เพราะว่าโดยทั่วไปกิจการค้าปลีกอย่างห้าง WALMART จะไม่มีค่าใช้จ่าย R&D แต่เมื่อเรามาดูงบการเงินของ AMAZON กลับพบว่าบริษัทมีค่าใช้จ่าย R&D สูงราว 8% ของยอดขาย ซึ่งแนวโน้มเพิ่มขึ้นมากจาก 5 ปีก่อน ที่อยู่ 5% เพราะนอกจากบริษัทต้องจ้างโปรแกรมเมอร์และนักสถิติไว้ทำการพัฒนาเว็บไซต์ AMAZON ยังเข้าสู่ธุรกิจ Consumer Electronics ที่มีการแข่งขันสูงอีก เมื่อดูตัวเลขกำไรของบริษัท เทียบกับค่าใช้จ่าย R&D ผมเชื่อว่านักลงทุนหลายๆ ท่านอาจตกใจ ในปี 2013 บริษัททำกำไรได้เพียง 274 ล้านเหรียญ แต่มีค่าใช้จ่าย R&D สูงกว่า 6,565 ล้านเหรียญ เมื่อไหร่ที่บริษัทหาทางลดค่าใช้จ่ายตรงนี้ได้ กำไรก็น่าจะโตได้อีกหลายเท่า

แล้วบริษัทอย่าง APPLE มีค่าใช้จ่ายทางด้าน R&D เป็นอย่างไรกันบ้าง ? เมื่อเทียบกับบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ APPLE มีค่าใช้จ่ายด้าน R&D ที่น้อยมากเพียงแค่ 2.62% ของยอดขายในปี 2013 เมื่อมองไป 5 ปีย้อนหลังก็พบว่า ค่าใช้จ่ายตรงนี้ไม่เคยเกิน 3.5% ของยอดขายเลย แม้กระทั่งในปี 2005-2006 ซึ่งเป็นช่วงปีก่อนที่ APPLE จะเปิดตัว iPhone เป็นครั้งแรก ค่าใช้จ่าย R&D ของบริษัทก็อยู่แค่ 3.8% และ 3.7% ตามลำดับ ในปี 2013 APPLE จ่ายเงินไปกับ R&D 4,475 ล้านเหรียญ (ซึ่งน้อยกว่าของ AMAZON ราว 30%) แต่ APPLE ทำกำไรสุทธิได้ถึง 37,040 ล้านเหรียญ มากกว่ากำไรของ AMAZON ถึง 135 เท่า

ค่าใช้จ่าย R&D เป็นค่าใช้จ่ายสำคัญของบริษัทเทคโนโลยี ซึ่งมีผลต่อกำไรและราคาหุ้นของบริษัทนั้นๆ เป็นอย่างมาก เมื่อเร็วๆ นี้ Sanford C. Bernstein ได้ออกบทวิเคราะห์เรื่องค่าใช้จ่าย R&D ของบริษัทเทคโนโลยี และพบว่าโดยเฉลี่ยบริษัทที่มีค่าใช้จ่าย R&D คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของยอดขายสูงๆ (ประมาณ 18-35% ของยอดขาย) ราคาหุ้นในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาจะแย่กว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมประมาณ 15% ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และการแข่งขันที่เข้มข้น ทำให้มีงบฯ R&D ที่ค่อนข้างสูง ซึ่งการทำวิจัยและพัฒนาบางอย่างก็ยากที่จะประเมินว่าจะได้รับผลสำเร็จหรือ ไม่ ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่นักลงทุนควรศึกษาประสิทธิภาพของการใช้เงิน R&D ของบริษัทนั้นๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุนในอุตสาหกรรมนี้


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : วิจัย ไม่พัฒนา

view