สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ประพิศ มานะธัญญา แจงทุกประเด็นกรณีข้าวถุง อคส.

จากประชาชาติธุรกิจ

เรื่อง อื้อฉาวกรณีข้าวถุงธงฟ้ากลับมาเป็นข่าวใหญ่โตอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่นางจินตนา ชัยยวรรณาการ ประธานบอร์ด อคส.ตัดสินใจส่งข้อมูลให้กรมสอบสวน คดีพิเศษ (DSI) เข้ามาตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นของการเบิกข้าวมาทำข้าวถุงและไม่คืนข้าว ที่เหลือให้กับ อคส. ทว่าในอีกมุมหนึ่งผู้ประกอบการที่ถูกกล่าวหากลับให้ข้อมูลที่แตกต่างจากชุด ข้อเท็จจริงของ อคส.โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเด็นการไม่ส่งคืนข้าวกลับไปยัง อคส.มิหนำซ้ำยังมีเรื่องของความเสียหายที่เกิดขึ้นหลังถูกสั่งระงับโครงการ "ประชาชาติธุรกิจ" สัมภาษณ์นางประพิศ มานะธัญญา กรรมการผู้จัดการบริษัทเจียเม้ง ซึ่งเป็น 1 ในบริษัทคู่สัญญากับ อคส.

- ความเป็นมาของโครงการ

เจีย เม้งได้รับการติดต่อจากองค์การคลังสินค้า (อคส.) ให้รับทำข้าวถุงขนาดบรรจุ 5 กก.เพื่อช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยขายในราคาถูก ต่อมา อคส.ก็ร่าง TOR และเปิดประมูล ซึ่งทางเจียเม้งก็ได้เข้าร่วมประมูลต่อรองราคา และเราเป็นผู้ชนะการประมูลเพียงเจ้าเดียว เบื้องต้นทำแค่ 50,000 ตัน ค่าปรับปรุงถุงละ 26 บาท รวมทั้งค่าขนข้าวออกมาจากคลัง ปรับปรุง บรรจุถุง ส่งมอบไปยังลูกค้า หลังจากนั้นก็เรียกเราไปทำสัญญา แล้วก็มีการกำหนดว่าจะขายข้าวถุงไปต่างจังหวัด โดยสายงานบริหารธุรกิจ อคส.เป็นคนขาย ใช้บริษัทไปรษณีย์ไทยเป็นคนส่ง โดยขายให้กับกลุ่มมุสลิมทางภาคใต้ก่อน ต่อมาก็จะส่งข้าวถุงเข้าห้าง แต่ก็ได้น้อยมาก

ที่สำคัญก็คือการสั่งงานของ อคส.ไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน บางทีก็ยกหูมาสั่งว่าจะเดี๋ยวนี้ เท่านั้น เท่านี้ ความไม่ชัดเจนนี้ ทำให้ภายหลัง บริษัทไปรษณีย์ไทยแจ้งว่า ส่งให้ไม่ได้ ก็มาคิดกันใหม่ว่า จะเปลี่ยนช่องทางมาขายผ่านห้าง ก็เรียกแม็คโคร-บิ๊กซีมาคุย เบื้องต้นกำหนดราคาขาย 80-90 บาทต่อถุง แต่ห้างแย้งว่า ราคาสูงเกินไป ขายไม่ได้

- เอเย่นต์เข้ามาเกี่ยวข้องตอนไหนขาย

จาก ปัญหาข้างต้น ทำให้มีการแต่งตั้ง "ตัวแทน" จำหน่าย ก็ได้ "บริษัทสยามรักษ์"เข้ามาเป็นตัวแทนขายข้าวถุงของกระทรวงพาณิชย์ และก็มีผู้ประกอบการไปขอแบ่งซื้อข้าวถุงจากสยามรักษ์เพื่อนำไปจำหน่ายเป็น การทั่วไป ซึ่ง ณ ขณะนั้นได้มีการปรับลดราคาข้าวถุงลงมาเหลือ 70 บาท ถึงมือผู้บริโภค และเริ่มผลิตให้โครงการร้านถูกใจ สุดท้ายผลิตเป็นข้าวถุงถูกใจ เป็นโครงการต่อเนื่องกัน เราก็ทำสัญญาครั้งที่ 1-2-3-4 ขายผ่านตัวแทนไปเรื่อย ๆ ปริมาณ 100,000 ตัน และ 70,000 ตัน ซึ่งไม่นับรวม 50,000 ตันแรก

ตอนนั้นร้านถูกใจก็รับข้าวถุงมาจาก "บริษัทนิ่มซี่เส็ง" เข้ามาเป็นตัวแทนในการส่งมอบข้าวถุงทั่วประเทศเพียงผู้เดียว ทำให้ข้าวถุงกระจายไปได้มาก ไม่เห็นของในเมือง แต่จะไปเห็นที่ต่างจังหวัด และข้าวตัวนี้เป็นข้าวที่ดี ราคาถูก ส่งผลให้มีคนต่อคิวซื้อ จนบางครั้งแทบไม่ได้วางจำหน่ายหน้าร้าน หรือวางนิดหน่อย แล้วมีคนซื้อต่อไปเลย ประกอบกับกรมการค้าภายในเป็นคนกำหนดว่า ข้าวถุงต้องซื้อด้วยเงินสด ทำให้ไม่มีเงิน ก็เลยไปอาศัยคนที่ทำข้าวที่มาขอซื้อเอาเงินสดมาให้ คนที่เป็นตัวแทนก็เป็นคนซื้อข้าวให้แล้ว นิ่มซี่เส็งก็เอาไปส่ง ทำให้ข้าวกระจายและหายไปจากตลาด เรื่องมันเป็นอย่างนี้

- เจียเม้งผลิตให้เท่าไหร่

สัญญา แรก 50,000 ตัน ผลิตจริงแค่ 7,000-8,000 ตัน ที่เหลือคืน อคส.ไปประมาณ 42,000 ตัน สัญญาข้าวถูกใจประมาณ 170,000 ทำเกือบหมด จนถึงสัญญาฉบับที่ 7 เจียเม้งทำร่วมกับผู้ประกอบการอีก 4-5 ราย คนละ 50,000 ตัน ในส่วนนี้คืนหมด ส่วนสัญญา 5-6 ยังไม่ได้ทำ รวมยอดที่คืนข้าวไปประมาณ 88,000 ตัน จากที่ทำทั้งหมด 130,000 ตัน คงเหลือข้าวอีก 8,500 ตัน ที่ยังไม่ได้ชำระให้เรา เช่นสัญญา 100,000 ตันให้เป็นตัวข้าวที่ ปรับปรุง 25,000 ตัน สัญญาแต่ละอันค่าจ้างไม่เท่ากัน (อคส.กำหนดค่าจ้างปรับปรุงข้าวสารบรรจุถุง ให้คำนวณแล้วสามารถหักกลบเป็นข้าวส่วนที่เหลือได้)

- เจียเม้งขอยึดไว้

ใน ส่วน 8,500 ตัน เป็นส่วนที่ตรวจสอบผ่านกระบวนการเรียบร้อยแล้ว ท่าน ผอ.อคส.ยังไม่ได้เซ็น เพราะสั่งหยุดก่อน เลยชะลอ เป็นการสั่งหยุดกะทันหัน แต่เราได้ไปสั่งถุงพลาสติกใช้บรรจุข้าวถุงไว้ก่อนหน้านี้ 1 ล้านใบ แบ่งเป็นถุงที่พิมพ์โลโก้ อคส.ไปแล้ว 400,000 ใบ และยังไม่พิมพ์โลโก้อีก 600,000 ใบ เฉพาะค่าถุงก็มีมูลค่าไปแล้ว 70 ล้านบาท พอโครงการข้าวถุงถูกสั่งหยุดลง เราก็ขอให้ถุงที่ยังไม่พิมพ์โลโก้ไปขายคนอื่น

สรุปเหลือถุงอีก 400,000 ใบ ที่พิมพ์แล้วต้องรับมา ทางเจียเม้งกำลังขอเคลมกับ อคส.เพราะถุงพิมพ์ตราของ อคส.ไปแล้ว จะไปทำอะไรก็คงไม่ได้ คิดเป็นเงิน 35 ล้านบาท หรือใบละ 7.50 บาท อันนี้เป็นความเสียหายของเจียเม้งที่ได้รับจากโครงการนี้ นอกเหนือไปจากค่าขนส่งข้าวมาและขนข้าวกลับไปคืน ตอนนี้เราคืนข้าวในโครงการไป 57,000 ตัน เหลืออีก 10,000 ตัน

- ผลกระทบจากภาระดังกล่าว

บางตัวอย่างวงเงินค้ำประกัน เมื่อไม่ได้คืนเท่ากับเราเสียวงเงินค้ำประกันไป ต้องเอาแคชเชียร์เช็ค เป็นเงินสดไปจ่ายเป็นหลักค้ำประกัน และพอหมดโครงการจำนำ ต้องใช้เงินสดซื้อข้าวเปลือกในตลาด จึงเดือดร้อนเรื่องเงินหมุนเวียน อยากให้จบจะได้เคลียร์เงินออกมาได้ ซึ่งท่านประธานบอร์ดกำลังดำเนินการให้อยู่ต้องใช้เวลา แต่ปัญหาคือกระแสแรงทำให้มีคนเหมาเข่ง พูดทำให้บริษัทเราเป็นคนไปปักธงเดินหน้า กลายเป็นเราเสียหายมากกว่าใครเราถูกพูดถึงเป็นคนแรก ถ้าตัวไม่ใหญ่คงล้มไปแล้ว

- คลังกลางเจียเม้ง


ยังเหลือ ข้าวอยู่ 10,000 ตัน มูลค่า 200ล้านบาท เทียบกับภาระที่ติดค้างกับ อคส. 700 ล้านบาท ขอหักกลบลบหนี้ก่อน เพราะถ้าไม่มีอะไรตรงนี้ กลัวว่า ทางข้างในจะลืมเราไปแล้ว เรื่องจะไม่จบ ถ้ามีข้าวอยู่ ต้องดึงข้าวกลับมาเข้าคลังกลาง ฉะนั้น ต้องเคลียร์เรื่องที่เรายื่นไปทั้งค่าถุง ค่าขนส่ง ค่าปรับปรุง ขอยึดข้าวเป็นตัวประกัน ไม่อย่างนั้นอาจจะไม่ทำให้เรา แต่จะไม่ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย เพราะการฟ้องรัฐหรือถูกรัฐฟ้องเป็นเรื่องใหญ่ เราอาจติดแบล็คลิสต์ จนไม่สามารถทำงานกับภาครัฐได้ ตอนนี้ข้าวเก่าอยู่ในมือรัฐ ซึ่งเราเป็นผู้ทำตลาดข้าวเก่า จึงเลือกการคุยกันเพื่อหาหลักการสรุปให้ได้ว่า มีทางออกอย่างไร คิดว่า ใน 1 เดือน หรือต้นปี 2558 น่าจะได้ข้อสรุป

- หารือประธานบอรด์ อคส.

ประธาน บอร์ด อคส. (จินตนา ชัยยวรรณาการ) ได้เรียกผู้ประกอบการข้าวถุงเข้าไปชี้แจงเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ควรทำอะไร อย่างไร เท่าไหร่ มีความเสียหายอย่างไรบ้าง อย่างกรณีค่าจ้างปรับปรุงในวันที่ประกาศให้พวกเราหยุดทำข้าวถุง ทางผู้บริหาร อคส.ขณะนั้นได้ทำหนังสือมาแจ้งพวกเราว่า ให้สามารถหักข้าวเป็นค่าจ้างปรับปรุงไว้ได้ เราจึงได้หักไว้ แล้วมาถึงชุดนี้ ท่านจะมาขอเรียกข้าวที่หักไว้จำนวนนี้คืน ซึ่งคงต้องเรียนว่า ทุกคนก็เอาข้าวไปใช้งาน และไม่คิดว่าจะมีการนั่งสอบอะไรอีกจนถึงตอนนี้สรุปว่า เรามีภาระอยู่กับ อคส.700 ล้านบาท ประกอบด้วย ค่าจ้างปรับปรุง 122 ล้านบาท, ค่าใช้จ่ายในการส่งมอบข้าวคืนหลังจากสั่งหยุดโครงการ 57 ล้านบาท, มูลค่าถุงค้างสต๊อก 70 ล้านบาท, ค่าเช่าคลังค้างจ่าย 198 ล้านบาท, ค่าค้ำประกันสัญญาข้าวถุงทั้งหมด 207 ล้านบาท และมีแอล/จีอื่น ๆ ที่ยังค้างอีก 77 ล้านบาท

- ประเด็น อคส.ฟ้องดีเอสไอ


เป็น เรื่องที่เรายึดข้าวไว้ตามที่มีหนังสือ อคส.อนุญาตให้หักค่าปรับปรุง เรื่องนี้กลับถูกส่งไปยังดีเอสไอ ซึ่งเราไม่ทราบว่า ทำไมต้องส่ง และดีเอสไอเองก็ยังไม่หยิบจากกองมาพิจารณาเลย เหมือนให้ดีเอสไอไปสืบ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเลย เพราะมันเป็นแค่เรื่องการผิดสัญญา ก็ต้องมาว่ากันที่สัญญาว่าเสียหายกันอย่างไร ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเอสไอ คิดว่า อคส.ควรเอากลับมาทำข้างใน อคส.ดีกว่า เพราะข้าวที่ถูกยึดไว้ไม่ได้รับการอบยา เดี๋ยวเสียหายไป ก็จะยุ่งอีก


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ประพิศ มานะธัญญา แจงทุกประเด็น กรณีข้าวถุง อคส.

view