สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ติวเตอร์เน็ตเวิร์ก โมเดลใหม่ สอนพิเศษ

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์


ทำไมโรงเรียนกวดวิชาถึงเติบโต?

คำตอบที่ได้ยินประจำ คือ ระบบการศึกษาไทยไม่เอื้อต่อการสร้างความรู้ในห้องเรียน และครูที่สอนไม่ดี

สะท้อนชัดจากงบประมาณกระทรวงศึกษาธิการในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้รับการจัดสรรมากที่สุดกว่าทุกกระทรวง แต่คุณภาพการศึกษาของเด็กไทยกลับไม่กระเตื้องตาม 

ข้อมูลที่น่าตกใจจากเวทีเศรษฐกิจโลกปี 2556 พบว่า การศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยอยู่อันดับที่ 6 ในระดับใกล้เคียงกัมพูชา!!

ขณะที่หนึ่งในนโยบายการศึกษายุคปฏิรูปนี้ยังคงรณรงค์ให้ปี 2558 เป็นปี “ปลอดนักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้” อยู่  

คุณภาพการศึกษาย่ำแย่ เด็กไทยจมปลักอยู่กับสงครามสนามสอบ อีกด้านพบว่าธุรกิจกวดวิชาได้ขยายตัวสูงขึ้น ไม่เฉพาะเด็กโต แต่ลงลึกไปถึงเด็กเล็กแล้ว จนรัฐบาลต้องเรียกเก็บภาษีเป็นครั้งแรกจากโรงเรียนติวเตอร์เหล่านี้

รูปแบบของกวดวิชา การสอนพิเศษ มีพัฒนาการที่ซับซ้อนมากขึ้น จากครูที่กลายเป็นติวเตอร์เปิดโรงเรียนกวดวิชาเอง ก็ขยับมาเป็นกลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัย จับกลุ่มรุ่นพี่ติวให้รุ่นน้อง กลายเป็นเปิดรับสอนกันเป็นเรื่องเป็นราว

สถานที่สอนพิเศษ เดิมที่สอนกันที่บ้าน ก็พัฒนามาเป็นที่โรงเรียน ที่มหาวิทยาลัย สวนสาธารณะ ทุกวันนี้หากไปเดินตามห้างสรรพสินค้าจะเห็นวัยรุ่น คนหนุ่มสาว จับกลุ่มติวกันทั้งในร้านฟาสต์ฟู้ด ร้านกาแฟ

นอกจากติวเตอร์ที่เป็นปัจเจกบุคคลแล้ว ยังมีการจัดตั้งนิติบุคคล เกิดโรงเรียนกวดวิชาผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด มีการวางหลักสูตรมาตรฐาน นำเทคโนโลยีสื่อสารทางไกลมาประยุกต์ ใช้ระบบธุรกิจเข้ามาบริหารจัดการอย่างเต็มที่ พ่วงด้วยการตลาดสร้างจุดเด่น อ.คนโน้น อ.คนนี้ นับวันยิ่งเติบโต

ไม่เพียงแต่โรงเรียนกวดวิชาที่มีการวางระบบจัดการอย่างดีแล้ว ทุกวันนี้ยังมีอีกรูปแบบคือ “กลุ่มติวเตอร์” ที่มีการรวมเครือข่ายและวางระบบการจัดการอย่างเป็นเรื่องเป็นราว มี Contact Point ผ่านเว็บไซต์ เพียงแค่เสิร์ชคีย์เวิร์ดง่ายๆ เช่น “รับสอนพิเศษ” “สอนพิเศษที่บ้าน” ฯลฯ ในกูเกิล ก็จะเจอกลุ่มติวเตอร์หรือสถาบันติวเตอร์เหล่านี้โผล่ขึ้นมาบนหน้าจอมากมาย

หากสำรวจรายละเอียดเข้าไปในแต่ละเว็บไซต์จะพบว่าส่วนใหญ่จะเน้นจุดขาย คือมีนักศึกษาจากสถาบันชื่อดังต่างๆ มาเป็นติวเตอร์ สอนแบบตัวต่อตัว การตั้งชื่อกลุ่มหรือชื่อเว็บไซต์ก็จะอิงตามชื่อสถาบันความน่าเชื่อถือ เช่น มีคำว่า จุฬาฯ หรือ Chula แล้วหาคำอื่นๆ มาพลิกแพลงใส่

นอกจากนี้ จะมีรายละเอียดหลักสูตรและค่าบริการชัดเจน เช่น หลักสูตรอนุบาล-ประถม 180 บาท/ชม. มัธยมต้น 200 บาท/ชม. มัธยมปลาย 250-300 บาท/ชม. ไม่เท่านั้น ยังมีหลักสูตรพิเศษ เช่น ติวเข้าโรงเรียนสาธิต หลักสูตรติวเพิ่มเกรด หลักสูตรติวสอบวิชาเฉพาะ บางแห่งมีโปรโมชั่นพิเศษ เช่น หลักสูตร 2 ภาษาคิดราคาเพิ่ม 25 บาท/ชม. หลักสูตรอินเตอร์ฯ คิดราคาเพิ่มขึ้น 50 บาท หรือเรียนเพิ่ม 1 คน คนที่เพิ่มเหลือครึ่งราคา เป็นต้น

กลุ่มติวเตอร์หรือเว็บไซต์เหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไร มีการจัดการอย่างไร ได้รับความนิยมมากน้อยเพียงใด นับเป็นพัฒนาการรูปแบบการสอนพิเศษที่น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว

“ก้องเกียรติ จิราภัย” ผู้ก่อตั้ง chulatutordelivery.com เครือข่ายติวเตอร์เจ้าแรกที่มีรูปแบบการจัดการลักษณะนี้ เล่าให้ฟังว่า
chulatutordelivery เริ่มต้นจากการรวมกลุ่มกับเพื่อนๆ นักศึกษา 7 คน รับสอนพิเศษหารายได้เสริมเมื่อ 7 ปีก่อน ในปีแรกยังไม่ได้จัดตั้งเครือข่ายเช่นนี้ เพียงแต่รับงานติวทั่วไป กลุ่มลูกค้าก็คือผู้ปกครองที่รู้จักกันมาจ้างให้ไปสอนลูกๆ และขยายเป็นการบอกปากต่อปาก ช่วงแรกมีรายได้ประมาณ 5,000-1 หมื่นบาท แต่ก็ถือว่ายังไม่เพียงพอ

นอกจากนี้ ยังเจอปัญหาคือคนไม่พอสอน และปัญหาการเดินทางที่บางครั้งไปสอนแล้วรายได้ต่อชั่วโมงไม่คุ้มกับค่าเดินทาง

ปีต่อมาจึงมีการพัฒนารูปแบบให้มีลักษณะคล้าย Marketplace จับคู่แมตชิ่งระหว่างคนสอนกับคนเรียน จัดตั้งเครือข่ายติวเตอร์ขึ้นจากหลายๆ มหาวิทยาลัย แล้วทำการโปรโมท chulatutordelivery อย่างเต็มรูปแบบ มีการตั้งหัวหน้ากลุ่มคอยบริหารป้อนลูกค้าให้ติวเตอร์ในแต่ละพื้นที่ โดยดูจากทำเลที่ตั้ง เช่น หากเด็กอยู่ศาลายา ก็ป้อนงานให้ติวเตอร์ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยมหิดล ถ้าอยู่ในเมืองก็มีทั้งติวเตอร์ที่เป็นนักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยังจัดสรรงานตามวิชาที่ผู้ปกครองต้องการให้สอน ลักษณะติวเตอร์ที่ลูกค้าต้องการ เช่น เด็กขี้อายต้องการติวเตอร์ผู้หญิงไปสอน หรือเด็กซนหน่อยก็ต้องการติวเตอร์ดุๆ ไปสอน เป็นต้น แล้วจัดสรรให้ไปสอนตามความเหมาะสม ถ้าลูกค้าไม่พอใจ ก็สามารถขอเปลี่ยนตัวติวเตอร์ได้หลังการสอนครั้งแรกอีกด้วย

“วิธีการรวมเครือข่ายติวเตอร์ของเรา ส่วนใหญ่ 70% มาจากการบอกต่อแบบปากต่อปาก ส่วนอีก 30% เป็นการสมัครมาด้วยตัวเอง ซึ่งเราก็จะมีการทดสอบความรู้ และทดสอบลักษณะว่าเหมาะสมกับการสอนหรือไม่ หลักๆ ก็ดูว่าเคยมีประสบการณ์การสอนหรือเปล่า และวิธีการรับมือเด็กแต่ละแบบจะทำอย่างไร ซึ่งถ้าทดสอบไม่ผ่านเราก็จะเทรนด์ให้”

ทุกวันนี้ chulatutordelivery มีเครือข่ายติวเตอร์ที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัยต่างๆ ประมาณ 5,000 คน รับสอนทุกระดับชั้นและทุกวิชา รูปแบบการสอนจะต่างจากโรงเรียนกวดวิชาคือลูกค้าไม่ต้องเดินทาง และเป็นการสอนตัวต่อตัว ซึ่งสะดวกต่อการวิเคราะห์และปรับจุดอ่อน
ของนักเรียนแตกต่างกันไป

สำหรับสัดส่วนลูกค้า ก้องเกียรติ แจกแจงว่า ส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในเมืองประมาณ 65% และปริมณฑล 30% อาทิ บางบัวทอง ทวีวัฒนา สมุทรปราการ นนทบุรี ส่วนอีก 5% เป็นกลุ่มลูกค้าที่อาศัยในต่างจังหวัด ซึ่งบางครั้งก็ต้องสอนผ่านสไกป์ด้วย

“ลูกค้าส่วนใหญ่จะมากันแบบปากต่อปาก ตอนนี้ 80% จะเป็นการสอนตามบ้าน เพราะผู้ปกครองอยากให้เรียนที่บ้าน จะได้อยู่ในสายตา ไม่ต้องกลัวเด็กเหลวไหลและไม่ต้องเดินทาง ส่วนใหญ่กลุ่มนี้จะเรียนคนเดียว แต่ยังมีอีก 20% ที่ไปติวกันนอกบ้าน ส่วนใหญ่จะที่สยามและสีลม ตามห้างสรรพสินค้าและร้านกาแฟซึ่งกลุ่มนี้ส่วนใหญ่จะจับกลุ่มเรียนกับเพื่อน 2-3 คน หรือไม่ก็แล้วแต่ความสะดวกของผู้เรียนและผู้สอน” ก้องเกียรติ กล่าว

ค่าบริการจะเริ่มต้นที่ 200 บาท/ชม. ตั้งแต่ระดับอนุบาล-ป.6 ส่วนระดับที่สูงขึ้นมาก็บวกเพิ่มเข้าไปเป็น 220-300 บาท/ชม. แต่มีเงื่อนไขคือสอนครั้งละ 2 ชม. เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการเรียน ดังนั้นรายได้ขั้นต่ำจะอยู่ที่ 400 บาท/ครั้ง ซึ่งถ้าคิดเป็นรายได้ต่อเดือนปัจจุบัน รายได้ของลูกทีมจะอยู่ที่่ 2 หมื่่นบาทขึ้นไป

ขณะที่แนวโน้มตลาดและการแข่งขันนั้น ก้องเกียรติบอกว่า เป็นเรื่องปกติที่จะต้องมีคู่แข่ง หลังจากก่อตั้งchulatutordelivery ขึ้นมา ก็มีเครือข่ายหรือเว็บไซต์ในลักษณะเดียวกันเกิดขึ้นอีกหลายราย บางรายมาเป็นทีมงานที่นี่แล้วแยกตัวออกไปทำเองก็มี

อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วเชื่อว่าตลาดการสอนพิเศษยังคงเปิดกว้างเสมอ ตราบใดที่ระบบการเรียนการสอนในห้องเรียนยังด้อยคุณภาพเช่นนี้ ไม่มีการปฏิรูปการศึกษา ผู้ปกครองก็ต้องจ่ายเพิ่มเพื่ออนาคตลูกหลานตัวเองในโลกที่เต็มไปด้วยการแข่งขันหนักหน่วง

ขึ้นแน่...ค่าเรียนกวดวิชา "เราต้องผลักภาระเพราะรัฐไม่เข้าใจ"

มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่เห็นชอบให้เก็บภาษีเงินได้นิติบุคคล 20% กับโรงเรียนกวดวิชา โดยอ้างเหตุผลว่ามุ่งทางการค้าแสวงหากำไร จึงต้องสร้างความเป็นธรรมให้ทัดเทียมธุรกิจอื่น ส่งผลให้บรรดาโรงเรียนกวดวิชาหลายแห่งเตรียมขยับขึ้นค่าเรียนตาม

รัฐบาลคาดการณ์หากถอนขนห่านธุรกิจติวเตอร์นี้ได้ จะมีเงินไหลเข้ารัฐปีละ 1,200 ล้านบาท จากโรงเรียนกวดวิชาที่จดทะเบียนกับทางการ 2,379 โรงเรียน แบ่งเป็นกรุงเทพมหานคร (กทม.) 549 แห่ง ภูมิภาค 1,830 แห่ง

ตามขั้นตอนคาดว่า ปีหน้าจะเริ่มขึ้นค่าเรียนได้ เพราะต้องให้มีการออกกฎหมายการจัดเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชาก่อน

เสียงสะท้อนจากเจ้าของโรงเรียนกวดวิชาอย่าง อนุสรณ์ ศิวกุล นายกสมาคมผู้บริหารและครูโรงเรียนกวดวิชา หรืออาจารย์เจี๊ยบ จากโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง “เคมี อ.อุ๊” ระบุว่า การเก็บภาษีครั้งนี้กระทบต่อโรงเรียนกวดวิชาแน่นอน ผู้ประกอบการอาจจำเป็นต้องผลักภาระให้ผู้ปกครองทั้งที่ไม่อยากขึ้นค่าเรียน แต่เพราะกรมสรรพากร จึงทำให้ต้องทำแบบนี้

อีกด้านถ้าไม่ขึ้นค่าเรียนก็อาจมีโรงเรียนกวดวิชาบางแห่งยุบสาขา หรือล้มหายไปเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยอดผู้เรียนลดลงอย่างต่ำ 20% เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อของผู้บริโภคจึงลดลงไปด้วย

“เมื่อ ครม. มีมติเห็นชอบแล้ว ตอนนี้ทำได้เพียงแค่รอว่าจะมีการประกาศพระราชกฤษฎีกาให้ใช้กฎหมายนี้เมื่อไหร่เท่านั้น ส่วนตัวคิดว่าการเก็บภาษียังไม่ควรเริ่มเร็วๆ นี้ เร็วสุดก็น่าจะเป็นปีหน้า เพราะยังติดกฎระเบียบอีกมากมายซึ่งยังไม่มีความชัดเจน เช่น การทำบัญชีในกรณีที่บางโรงเรียนมีถึง 20-30 สาขา จะต้องทำอย่างไร”

อนุสรณ์ ระบุว่า กลุ่มที่โดนเก็บภาษีครั้งนี้เป็นกลุ่มที่ปฏิบัติตามระเบียบ มีฐานข้อมูลในรายชื่อของกระทรวงศึกษาธิการ แต่ส่วนกลุ่มติวเตอร์ที่รับสอน ซึ่งไม่เคยเสียภาษีรายได้บุคคลธรรมดา ต้นทุนก็ไม่ต้องลง ทุกวันนี้ก็อยู่รอดปลอดภัย ไม่ต้องเสียภาษี นี่คือสิ่งที่รัฐบาลควรทำก่อนเป็นอันดับแรกๆ แต่ทำไมถึงยังไม่ทำ

เขาบอกว่า ความจริงปัญหาเรื่องการศึกษามีมาในหลายยุคหลายสมัยแล้ว แต่รัฐบาลชุดก่อนไม่ได้แก้ปัญหาโดยใช้แนวทางจัดเก็บภาษีอย่างนี้ เพราะเห็นว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ ต้นเหตุจริงๆ อยู่ที่ระบบการศึกษาที่ยังต้องพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพให้ทั่วถึง

“ต่อให้ไม่มีโรงเรียนกวดวิชา ทุกคนก็จะแสวงหาสิ่งที่ทำให้เกิดคุณภาพต่อตัวผู้เรียนอยู่ดี ซึ่งส่งผลให้มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นอยู่ดี หรือจะบอกว่าตัดโรงเรียนกวดวิชา แล้วให้โรงเรียนในระบบสอนพิเศษเย็นกับวันเสาร์ไปด้วย กลายเป็นว่าโรงเรียนในระบบก็ทำหน้าที่กวดวิชาไปด้วย อย่างนี้ก็ไม่ใช่การแก้ปัญหาอีก เป็นเพียงแค่ย้ายปัญหาจากอีกที่ไปสู่อีกที่ กลายเป็นว่าระบบยิ่งแย่เข้าไปใหญ่”

นายกสมาคมโรงเรียนกวดวิชา ยืนยันว่า มาตรการขึ้นภาษีนี้ไม่สามารถแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาอย่างที่ต้องการสร้างกำแพงสกัดกั้นอย่างหลายคนเข้าใจได้ เพราะสุดท้ายคนที่มีเงินก็จะหันไปจ้างครูมาสอนบุตรหลานแบบส่วนตัว หรือส่งไปเรียนกับกลุ่มเล็กๆ ซึ่งมีราคาแพงกว่าเรียนกวดวิชาด้วยซ้ำ

“ถ้าบอกว่าการเก็บภาษีเพื่อลดความเหลื่อมล้ำจึงเป็นวาทะที่ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่า คุณกำลังมองประเด็นนี้เป็นเรื่องการแยกชั้นวรรณะ ฐานันดรของผู้เรียน ลองไปดูทุกวันนี้กระทรวงศึกษาฯได้งบ 4 แสนล้านบาท/ปี แต่คุณภาพการศึกษายังไม่ดีเท่าที่ควร แล้วการเก็บภาษีส่วนนี้จะพัฒนาคุณภาพการศึกษาตามที่บอกได้จริงหรือ ซึ่งผมไม่เชื่อว่าจะเป็นเช่นนั้นได้” นายกสมาคมโรงเรียนกวดวิชา กล่าว

ขณะที่ มนตรี นิรมิตศิริพงศ์ หรือ “อาจารย์ช้าง” ผู้ก่อตั้งโรงเรียนกวดวิชา “วีบายเดอะเบรน” (We by The Brain) ยักษ์ใหญ่กวดวิชาอีกแห่ง ระบุว่า ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นก็เป็นเรื่องค่าเรียนที่จะสูงขึ้น แต่เชื่อได้ว่าทางโรงเรียนกวดวิชาจะไม่ผลักภาระมายังผู้ปกครองหรือเด็กให้มากจนเกินไป

“อย่าลืมว่าโรงเรียนกวดวิชามีอยู่หลายที่ ถ้าขึ้นราคาแพงเกิน คนก็จะไปเรียนที่อื่นกัน แต่ในส่วนของโรงเรียนวีบายเดอะเบรน ถ้ายังคงแบกรับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นและบริหารต่อไปได้ ก็อาจไม่ขึ้นราคาค่าเล่าเรียน แต่ทุกอย่างเป็นเรื่องอนาคต”

มนตรี ระบุว่า อย่ามองว่าโรงเรียนกวดวิชาร่ำรวย มีกำไรมหาศาล ในทางกลับกันหลายแห่งลงทุนสูง อย่างเช่น ตัวเขาทำโรงเรียนกวดวิชามา 28 ปี มีทั้งหมด 33 สาขา จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่กำไรจะสูงมากตามการลงทุนที่มีมากเช่นกัน ที่สำคัญกำไรที่เก็บนั้นก็ต่ำกว่า 20% ตามข้อกำหนดของคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.)

“หากทำโรงเรียนกวดวิชาแล้วได้กำไรมหาศาล ป่านนี้ก็คงมีคนสนใจลงทุนมากมาย แต่ถ้าสังเกตให้ดี คนที่มาเปิดโรงเรียนกวดวิชาล้วนแต่เป็นครูที่ใจรักในการสอน ดังนั้นธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาจึงไม่ได้มุ่งเน้นกำไรเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการบริการสังคมเพื่อขยายการศึกษา”

เขาบอกว่า ที่ผ่านมามีงานวิจัยของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่บอกว่าไม่ควรเก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา เนื่องจากจะทำให้การเข้าถึงแหล่งความรู้ของชนชั้นต่างๆ มีความเหลื่อมล้ำมากขึ้น กลายเป็นว่ามีแต่เฉพาะลูกคนมีเงินเท่านั้นที่จะเข้าถึงโรงเรียนกวดวิชาได้เท่านั้น” ผู้ก่อตั้ง

ความล้มเหลว ของระบบการศึกษาไทย

เมื่อเริ่มเข้าสู่ระบบการศึกษาภาคบังคับ ทั้งเด็กและผู้ปกครองต่างรู้ว่านี่คือช่วงเวลาที่กำลังเดินเข้าไปสู่สนามการแข่งขัน ที่จะสร้างชีวิตที่ดีด้วยหลักประกันด้านโอกาสในการเรียนที่จะต่อยอดไปสู่การหางานในอนาคต

กระนั้นทุกคนตระหนักว่าการเรียนในห้องเรียนไม่ได้เป็นหลักประกันที่สร้างความมั่นใจได้ว่า จะสอบติดเข้ามหาวิทยาลัยดังของรัฐ นี่ทำให้ทุกคนมุ่งมาที่การเรียนกวดวิชา ธุรกิจที่เติบโตขึ้นทุกปี

เหตุผลที่มักจะได้ยินจากนักเรียนนั่นก็คือ เรียนในห้องไม่รู้เรื่อง กลัวไม่ทันคนอื่น หรือถ้าทันเพื่อนอยู่แล้ว ก็เกิดกลัวถูกแซง เรียนได้ที่ 1 ของโรงเรียนเก่าอยู่แล้ว แต่อยากเก่งขึ้นไปอีก เป็นที่ 1 ของโรงเรียนอื่นเพราะเล็งเห็นว่ามาตรฐานแต่ละโรงเรียนแตกต่างกัน

เด็กจำนวนไม่น้อยบอกว่า เมื่อถึงช่วงปิดภาคเรียนพวกเขาต้องอยู่บ้านเฉยๆ เป็นเรื่องที่น่าเบื่อ กวดวิชาเป็นเหตุผลที่ช่วยให้พวกเขามีข้ออ้างที่ไม่ต้องอยู่บ้านได้ ทำให้พบเจอเพื่อนใหม่ๆ

อีกจำนวนหนึ่งซึ่งมาจากครอบครัวที่มีกำลังทรัพย์มากพอก็มีความเชื่อว่าเรียนเยอะไว้ก่อน คือความได้เปรียบ ไม่สนเรื่องค่าเรียนที่แพงลิ่วนับหลายหมื่นบาทต่อภาคการศึกษาเดียว สูงกว่าค่าเทอมในชั้นเรียนปกติหลายเท่า แต่ก็ตัดสินใจเรียนเพราะเห็นว่าสถาบันบางแห่งมีการสอนสูตรเรียนลัดที่โรงเรียนไม่มีสอน

ที่ทำให้โรงเรียนกวดวิชาในกรุงเทพฯ ตามย่านดังพัฒนาจากตึกไม่กี่ชั้น กลายเป็นตึกสูงใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยเด็กจำนวนมหาศาลเป็นภาพที่เห็นชินตา

ความต้องการหลายเหตุผลที่ยกมาสอดคล้องกับทิศทางการเจริญเติบโตของธุรกิจนี้ ตามที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้ประมาณการมูลค่าตลาดธุรกิจกวดวิชาในปี 2558 ไว้ที่ 8,189 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 6.8% สูงกว่าอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจในภาคอื่นๆ

ขณะที่นักวิชาการบางรายอ้างงานวิจัยระบุว่า โรงเรียนกวดวิชาเติบโตจากเมื่อ 2 ปีที่แล้วถึง 200% มีเงินหมุนเวียนในกลุ่มโรงเรียนกวดวิชาสูงถึง  3 หมื่นล้านบาท/ปี โดยเฉลี่ยนักเรียนเรียนพิเศษคนละ 7-8 วิชา เพราะต้องการเข้ามหาวิทยาลัยชื่อดัง

ประวิต เอราวรรณ์ ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา ระบุว่า การกวดวิชาจะยังมีอยู่ ตราบที่การศึกษายังเป็นการศึกษาแบบแข่งขัน แพ้คัดออก อยากเป็นผู้ชนะก็ต้องเรียนหนัก ต้องกวดวิชา จนสร้างค่านิยมให้ทั้งผู้ปกครอง นักเรียน เชื่อว่าต้องเข้าสู่การแข่งขันอย่างไม่มีทางเลือกอื่นๆ

ประธานมูลนิธิสถาบันวิจัยระบบการศึกษา อธิบายว่า ที่ผ่านมามีความพยายามแก้ปัญหาการกวดวิชาที่ไม่ถูกจุด เช่น การปรับระบบการสอบเข้ามหาวิทยาลัย โดยย้อนกลับไปปี 2549 ระบบเอนทรานซ์ ซึ่งเคยเป็นระบบการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนในระดับมหาวิทยาลัยมากกว่า 40 ปี ถูกมองว่าเป็นระบบที่มีข้อเสียหลายด้าน อาทิ เปิดโอกาสให้นักเรียนสอบเพียงครั้งเดียวพร้อมกันทั่วประเทศ จึงพบว่านักเรียนไม่เข้าชั้นเรียนปกติและหันไปกวดวิชาเพื่อแข่งขันเข้ามหาวิทยาลัยอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“นักเรียนส่วนใหญ่เริ่มกวดวิชาตั้งแต่เริ่มเรียนมัธยมปลาย ตั้งจุดหมายของชีวิตไว้ที่มหาวิทยาลัยชั้นนำ  ใครที่เคยผ่านระบบเอนทรานซ์มาย่อมจำได้ดีว่า เมื่อถึงฤดูสอบจะสร้างความตึงเครียดให้นักเรียนที่กำลังก้าวเข้าสู่สนามสอบ กระทรวงศึกษาฯจึงเปลี่ยนเป็นระบบแอดมิชชั่น เพื่อแก้ปัญหาและผ่อนคลายบรรยากาศการแข่งขันลง”

ทั้งนี้ สัดส่วนและองค์ประกอบหลักในการคัดเลือกเด็กเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัย จึงถูกเปลี่ยนเป็นคะแนนผลการเรียนสะสมตลอดหลักสูตร (GPAX) 20% คะแนนการทดสอบวิชาความถนัดทั่วไป (GAT) และความถนัดทางวิชาการและวิชาชีพ (PAT) 50% และคะแนนจากการสอบข้อสอบทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ หรือโอเน็ต 30%

ความตั้งใจของระบบนี้ถูกออกแบบจากที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยเพื่อให้ได้ระบบที่ยุติธรรมสำหรับนักเรียน แต่นั่นก็เป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ การกวดวิชาก็ยังสูงขึ้น กระทั่งขยายเป็นการกวดวิชาตลอดทั้งปี ไม่ได้กระจุกตัวแค่ช่วงใกล้สอบอีกต่อไปแล้ว

“เราต้องพยายามลดสัดส่วนผู้ที่ต้องการเข้าเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาลง เพราะการกวดวิชามีต้นสายปลายเหตุมาจากเรื่องนี้ ซึ่งการแก้เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเป็นเรื่องของการปรับทัศนคติต่อระบบการเรียนการสอนทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับอนุบาล ที่ต้องคิดใหม่ว่าไม่ได้ส่งลูกไปเรียนด้านวิชาการ แต่คือการส่งลูกไปเล่น เรียนรู้ตามช่วงวัย ไม่ให้พวกเขามีทัศนคติด้านลบต่อการเรียนตั้งแต่ยังเล็ก แต่ปัจจุบันเด็กถูกกดดันให้มุ่งไปในทางวิชาการตั้งแต่อนุบาล

...เมื่อเรียนไม่ทันคนอื่นก็กลายเป็นไม่พบคุณค่าในตัวเอง ในระดับชั้นที่สูงขึ้นก็เริ่มกลายเป็นเด็กหลังห้อง จนเลิกเรียน ออกกลางคัน นี่เป็นระบบที่ลดทางเลือกของเด็กลง และผลักให้เด็กเข้าสู่การแข่งขัน เพื่อแก้ปัญหาเรื่องนี้ ประเทศฟินแลนด์ต้องใช้เวลาประมาณ 15 ปี เกาหลีใต้ 12 ปี เราจะแก้เรื่องนี้ ต้องให้คนที่เข้าใจการศึกษาเข้ามาวางนโยบาย วางระบบไม่ใช่ให้การเมืองเข้ามาเปลี่ยนแปลง นโยบายเรื่องนี้ทุกครั้งที่เปลี่ยนรัฐบาล” ประวิต กล่าว

สมพงษ์ จิตระดับ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและพัฒนานวัตกรรมด้านเด็กและเยาวชน คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ทุกรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาโรงเรียนกวดวิชาแต่ก็ล้มเหลว เพราะทุกครั้งจะการแก้ปัญหานี้มักจะแยกส่วนระหว่างเอกชนซึ่งเป็นโรงเรียนกวดวิชา กับรัฐบาลซึ่งกุมนโยบายการศึกษามาโดยตลอด

“โรงเรียนกวดวิชามีส่วนดีในแง่ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อแก้ปัญหาที่ระบบการศึกษาไม่สามารถให้คำตอบหรือแก้ไขได้ ปัญหาข้อสอบยาก ออกไม่ตรงกับที่เรียน โรงเรียนกลุ่มนี้มีเทคนิคการสอนที่แก้ปัญหาได้ ทำไมโรงเรียนกวดวิชาจัดการปัญหาให้เด็กได้ แต่โรงเรียนในระบบการศึกษาทำไม่ได้ ครูที่สอนในโรงเรียนกวดวิชาส่วนใหญ่ก็เป็นครูในระบบการศึกษามาก่อน นี่จึงเป็นภาพสะท้อนความล้มเหลวการจัดการศึกษาจนกลายเป็นช่องว่างในการทำมาหากินของโรงเรียนกลุ่มนี้”

สมพงษ์ ยกตัวอย่างว่า ในฝรั่งเศสและเยอรมนีไม่มีโรงเรียนกวดวิชา นโยบายการศึกษาของพวกเขาสอนให้เด็กคิดเป็น แต่ประเทศไทยแม้จะพยายามออกแบบข้อสอบให้คิดวิเคราะห์ แต่เมื่อนโยบายไม่สอดรับกับแนวคิดอย่างเป็นระบบ จึงเป็นช่องทางให้เด็กไปกวดวิชาเพื่อหาเทคนิคและคำตอบสำหรับตอบข้อสอบ ดังนั้น หากจะปฏิรูปการศึกษาและแก้ปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ก็ถึงเวลาที่ต้องดึงโรงเรียนกวดวิชาเข้ามามีส่วนร่วม

กัดฟันส่งลูก เพราะ รร.ด้อยคุณภาพ

ผู้ปกครองต่างเห็นว่าโรงเรียนกวดวิชามีความจำเป็นเพราะการศึกษาในห้องไม่ช่วยอะไรมาก แต่เห็นว่าโรงเรียนกวดวิชาไม่ควรขึ้นค่าเรียน เพราะควรแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมบ้าง

อมรศิริ ดิสสร  อาจารย์สาขาวิชาบัญชี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโยลีราชมงคลพระนคร กล่าวว่า ถ้าสถาบันกวดวิชาถูกเก็บภาษีเพิ่มก็คงผลักภาระมาให้ผู้ปกครองแน่นอน ซึ่งทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายของบุตร 2 คน ที่ต้องลงเรียนกวดวิชาเฉลี่ยเดือนละ 4 หมื่นบาท จากวิชาที่ลงเรียน คือ ภาษาอังกฤษ ฟิสิกส์ เคมี วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ราคาคอร์สละ 2,900 บาท เวลาเรียน 15 วัน

“โรงเรียนกวดวิชามีรายได้จำนวนมาก ขณะที่การศึกษาในโรงเรียนรัฐไม่ได้คุณภาพ ข้อสอบมีการเอื้อต่อสถาบันกวดวิชา ทำให้เด็กต้องมาลงเรียนกวดวิชา จึงเป็นสิ่งที่เด็กเลี่ยงไม่ได้เลย”

อมรศิริ กล่าวว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากต้นตอที่ระบบ เช่น เด็กที่จะสอบเข้าโรงเรียนสวนกุหลาบ เขาก็ใช้ข้อสอบระดับมัธยมศึกษาชั้นปีที่ 2  ชั้นปีที่ 3  ชั้นปีที่ 4 และชั้นปีที่ 5 ซึ่งเด็กประถมชั้นปีที่ 6 ไม่สามารถทำได้แน่นอน ถ้าไม่ไปลงเรียนกับสถาบันกวดวิชา เพราะไม่ใช่ระดับความรู้ชั้น ป.6 ดังนั้นการแก้ปัญหาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องควรดูแลระบบการศึกษาในโรงเรียน เพื่อไม่ให้ออกข้อสอบเอื้อต่อสถาบันกวดวิชาได้

“ทุกวันนี้มีสถาบันกวดวิชามากมายเกิดขึ้นย่านสยาม จะเห็นว่าเด็กมาลงเรียนแน่นไปหมด เพราะอยากเข้าโรงเรียนดังๆ อย่างเตรียมอุดม สวนกุหลาบ สตรีวิทยา ดังนั้นถ้าไม่แก้ปัญหาให้ตรงจุดนอกจากสถาบันกวดวิชาจะไม่ลดลงแล้ว ยังจะเพิ่มภาระให้ผู้ปกครองมากขึ้น ยิ่งกว่านั้นยังทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา เพราะครอบครัวที่มีรายได้น้อยก็จะเข้าถึงการศึกษายากขึ้นอีก” อมรศิริ กล่าว

วินัยธร ศรีหาคลัง พนักงานบริษัทเอกชน กล่าวว่า ต้องรอดูว่าสถาบันกวดวิชาจะผลักภาระมาให้ผู้ปกครองหรือไม่ เพราะถ้าค่าเรียนสูงเกินไป ผู้ปกครองก็ส่งลูกเรียนเสริมไม่ไหว  จะกลายเป็นการส่งลูกเรียนตามมีตามเกิด อยากเรียกร้องให้สถาบันกวดวิชาต้องแบบรับภาระจ่ายภาษีเองบ้างเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม

เขาบอกว่า ปัจจุบันต้องจ่ายเงินค่าเรียนให้หลานกวดวิชาระดับชั้น ป. 1 เฉลี่ยเทอมละ 5,000 บาท เพราะก่อนหน้านี้เคยให้เข้าเรียนในโรงเรียนรัฐ ปรากฏว่าเด็กมีพัฒนาการด้านการศึกษาช้าผิดสังเกตเมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน ผิดจากเด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชน  ทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายของเด็กประถมทุกวันนี้เทียบเท่ากับศึกษามหาวิทยาลัยของรัฐแล้ว

วินัยธร สรุปว่า ระบบการศึกษาของรัฐไม่ช่วยอะไรเลย ปัญหาที่เกิดขึ้นจึงบีบให้ผู้ปกครองจำเป็นหาเงินมากขึ้นเพื่อส่งลูกเรียนกวดวิชาให้สามารถแข่งขันกับคนอื่นได้

เช่นเดียวกับ วิวรณ์ ระคำมา ระบุว่า ปัจจุบันจ่ายค่าเรียนกวดวิชาให้ลูก 5,500 บาท หากเก็บแพงขึ้นก็อาจลดจำนวนวิชาเรียนลง แต่ก็อยากให้เรียนกวดวิชาต่อไป เพราะลูกเป็นเด็กหัวอ่อน บางวิชาก็ตามเพื่อนไม่ทัน การเรียนกวดวิชาจึงจำเป็นมาก


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ติวเตอร์เน็ตเวิร์ก โมเดลใหม่ สอนพิเศษ

view