สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ธุรกิจ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

ธุรกิจ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

โดย :
- See more at: http://www.bangkokbiznews.com/blog/detail/634003#sthash.622dqcce.dpuf

ธุรกิจ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
โดย : เรวัติ ตันตยานนท์

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




เจ้าของธุรกิจหรือผู้บริหาร คงจะเริ่มสังเกตได้ว่า ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่นานๆเกิดขึ้นสักครั้งกลับจะได้ยินข่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้งและถี่มากขึ้น

นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกต่างเชื่อว่า ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มีความแปรปรวนมากขึ้นในทุกวันนี้ เป็นผลที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก ที่เรียกกันรวมๆ ว่า Climate Change

ถึงแม้จะดูเหมือนว่า ไม่น่าจะเกิดความสัมพันธ์หรือผลกระทบใดๆ ต่อธุรกิจมากนัก แต่ประสบการณ์ตรงจะบอกได้ว่า ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่เกิดจาก Climate Change เริ่มที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับการดำเนินธุรกิจและผลตอบแทนจากธุรกิจมากขึ้น

ไม่ว่าจะในแง่ลบ หรือในแง่บวก เช่น ทำให้ธุรกิจต้องหยุดชะงักไป ไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ เป็นระยะเวลาต่อเนื่องกัน ทำให้สินค้าหรือทรัพย์สินของกิจการเสียหาย หรืออาจเป็นโอกาสที่ธุรกิจจะแสวงหาไอเดียใหม่ๆ ที่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาจากสภาวะธรรมชาติ ทำให้กลายมาเป็นสินค้าหรือบริการใหม่ของบริษัทได้

จะเห็นได้ว่า ผลกระทบที่เกิดจากสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงที่นักธุรกิจเคยมองว่าเป็นเพียงปรากฏการณ์ระยะสั้นเท่านั้น แต่อาจกลายมาเป็นเรื่องที่สร้างความกระทบต่อการอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาวก็เป็นได้

ในปัจจุบัน เราจะใช้คำว่า “ความยั่งยืน” ซึ่งจะตอบโจทย์การอยู่รอดของธุรกิจในระยะยาว

สาเหตุที่มาส่วนใหญ่ของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ก็คือ การปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จากการทำธุรกิจอุตสาหกรรมต่างๆ รวมไปถึงธุรกิจการเกษตร ธุรกิจที่มีการใช้พลังงานจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล หรือเชื้อเพลิงจากปิโตรเลียม และถ่านหิน

ซึ่งรวมถึงการผลิตไฟฟ้าที่เป็นแหล่งพลังงานสำคัญให้กับอุตสาหกรรมและครัวเรือน อีกด้วย

ลักษณะอีกประการหนึ่งของการเกิดภัยพิบัติที่จะมีผลกระทบต่อธุรกิจอันมีที่มาจาก Climate Change ก็คือ การเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ไม่สามารถทำนาย หรือเตรียมตัวป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้ธุรกิจต่างลืมคำนึงถึงผลกระทบเหล่านี้ และไม่ได้นำเรื่องของความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ มารวมเข้ากับการวิเคราะห์ความเสี่ยงในด้านอื่นๆ ของบริษัท

ความตื่นตัวในการรองรับสภาพภูมิอากาศเปลียนแปลงของบริษัทต่างๆ ในขณะนี้ ก็มีเพียงการเริ่มต้นจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และลดการใช้พลังงาน โดยมีเหตุผลมาจากแรงผลักดันในเรื่องของการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม

ซึ่งส่วนใหญ่จะทำไปเพียงเพื่อให้ผ่านข้อกำหนดของกฎหมายเท่านั้น

หลายบริษัท ได้เริ่มกำหนดเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงให้มีผลอย่างชัดเจน ควบคุม และบริหารจัดการได้ หลายบริษัท ได้เริ่มแสดงความรับผิดชอบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยขยายขอบเขตออกจากบริษัทของตนเองแต่ผู้เดียว เป็นการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์และลูกค้าที่จะรวมพลังในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยตรง หรือการรณรงค์เพื่อการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น

อย่างไรก็ตาม ความพยายามเหล่านี้ ยังเป็นการมุ่งเน้นไปที่ประสิทธิภาพการดำเนินการ มากกว่าเป็นวิสัยทัศน์ที่จะนำไปสู่การสร้างมูลค่าที่ยั่งยืนในระยะยาวของบริษัท

การมองว่า ภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากศเป็นเรื่องที่สุดวิสัย ทำนายได้ยาก ก็อาจเป็นมุมมองที่ประมาทเกินไป เพราะความเสี่ยงของธุรกิจในด้านอื่นๆ เช่น ความเสี่ยงต่อการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของตลาด ความเสี่ยงทางด้านการเงิน ด้านอัตราแลกเปลี่ยน หรือความเสี่ยงต่อการผันผวนทางเศรษฐกิจ ก็เป็นเรื่องที่ทำนายได้ยากเช่นกัน

แต่ธุรกิจใหญ่น้อยก็ยังให้ความสำคัญและติดตามสถานการณ์เพื่อวิเคราะห์และหากลยุทธ์เพื่อบรรเทาความเสี่ยงเหล่านี้อยู่เป็นประจำ

ถ้าจะใช้กรอบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเป็นปัญหาเชิงกลยุทธ์ บริษัทก็ควรมองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็เป็นปัจจัยที่มีความเสี่ยงและโอกาสในลักษณะที่คล้ายคลึงกับความเสี่ยงและโอกาส ทางธุรกิจอื่น ๆ
นั่นคือ ธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับการประเมินว่า การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศอาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจอย่างไร เพื่อนำผลที่ได้จากการประเมินนี้ มาช่วยหาวิธีการตัดสินใจที่จะช่วยปกป้องธุรกิจ หรือแสวงโอกาศจากความเสี่ยงนั้นๆ
ในการที่จะนำปัจจัยของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เข้ามาร่วมในบริบทของการประเมินความเสี่ยงโดยรวมของบริษัท นักวิชาการในด้านนี้ ได้เสนอข้อคิดเห็นที่น่าสนใจไว้ 3 ประการ คือ

1. บริษัทควรให้ความสนใจในเรื่องกรอบเวลาที่จะใช้ในการประเมินความเสี่ยง ซึ่งในปัจจุบัน ความเข้าใจว่าสภาพแวดล้อมทางธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กรอบเวลาของการประเมินความเสี่ยง จึงมักทำกันอยู่เพียงช่วยระยะสั้นและระยะกลาง เช่น ประมาณ 3 - 5 ปี

แต่เนื่องจากธรรมชาติของผลกระทบที่จะเกิดจากความเสี่ยงที่มาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นเรื่องที่ทำนายได้ยาก ต้องติดตามสังเกตการเปลี่ยนแปลงเป็นระยะยาวนานกว่า 3 - 5 ปี บริษัทจึงควรปรับช่วงเวลาของการประเมินความเสี่ยงให้ครอบคลุมความเสี่ย่งระยะยาว โดยมีปัจจัยของ Climate Change มาเป็นมิติการประเมินความเสี่ยงที่จะครอบคลุมการดำเนินการระยะยาวของบริษัท

2. การประเมินความเสี่ยงจากปัจจัยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศจะทำให้บริษัทต้องหันกลับมาทบทวนนโยบายการลงทุนของบริษัทอย่างจริงจัง

ในปัจจุบัน บริษัทต่างๆ จะพิสูจน์ให้เห็นความมั่นคงในอนาคตได้ด้วยการสร้างมูลค่าระยะยาวของบริษัทผ่านการลงทุนที่สำคัญ เช่น การสร้างโครงการใหม่ การสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ การลงทุนเครื่องจักรอุปกรณ์ใหม่ หรือแม้กระทั่งการปรับปรุงพัฒนาประสิทธิภาพของเครื่องจักรอุปกรณ์ที่มีอยู่เดิม

ซึ่งหากได้นำปัจจัยจากการประเมินความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาประกอบในการตัดสินใจ เช่น ค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดเนื่องจากกฎหมายหรือกฎระเบียบจากเรื่องการควบคุมสภาวะอากาศ ค่าใช้จ่ายส่วนเพิ่มที่อาจเกิดเนื่องจากการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่นที่อุตสาหกรรมการบิน ต้องจ่ายค่าธรรมเนียม “คาร์บอน” เพิ่มขึ้น เป็นต้น

การตัดสินใจลงทุนเพื่อขยายธุรกิจ จึงไม่ได้ดูที่ปัจจัยทางการเงินและการตลาดแต่เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ปัจจัยจากสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศจะมีส่วนช่วยให้ผลตอบแทนจากการลงทุนมีประสิทธิภาพสูงขึ้นได้

3. ประการสุดท้ายก็คือ บริษัท จำเป็นที่จะต้องคำนึงถึงปัจจัยความสามารถและองค์ความรู้ และความเชี่ยวชาญที่พนักงานของบริษัทจะมีในเรื่องของ Climate Change ไม่ว่าจะเป็นในเรื่อง กฎหมาย เทคโนโลยี นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ

ซึ่งจะทำให้บริษัทสามารถเตรียมรับมือกับความเสี่ยงหรือแสวงหาโอกาสจากการมีองค์ความรู้ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ดีเหนือคู่แข่ง


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ธุรกิจ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

view