สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ศาสตร์สู้ศึกค้าปลีก ศุภลักษณ์ อัมพุช

ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ศาสตร์สู้ศึกค้าปลีก ‘ศุภลักษณ์ อัมพุช’
โดย : สาวิตรี รินวงษ์

จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์




บทเรียนค้าปลีกปิดห้างฯ ‘เดอะมอลล์ ราชดำริ’ พลิกประวัติศาสตร์ห้างใหม่ ต้องใหญ่และหรูกว่าเดิม ศาสตร์สู้ศึกค้าปลีก "ศุภลักษณ์ อัมพุช"

 อาจจะไม่มีทายาท "ตระกูลอัมพุช" มากมายที่มาร่วมสานอาณาจักรห้างค้าปลีก แต่หญิงเหล็กอย่าง "ศุภลักษณ์ อัมพุช" รองประธานกรรมการ เดอะมอลล์ กรุ๊ป และประธานกรรมการ ดิ เอ็มโพเรี่ยม ก็ทำให้แวดวงธุรกิจศูนย์การค้าประจักษ์ในฝีไม้ลายมือ เพราะทุกครั้งที่ "ปักธงรบ" ต่อกรกับคู่แข่ง เธอทำได้ไม่ด้อยกว่าใคร           หลังสั่งสมชั่วโมงบินจากวันแรกที่สร้างศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า "ไซส์เล็ก"  ในชื่อ "เดอะมอลล์ ราชดำริ" เมื่อ 24 มิถุนายน 2524 แล้วไปไม่รอด ทำให้ต้องกลับมาตั้งหลักใหม่ จะเอายังไงต่อกับธุรกิจ          

"คือตัวคุณแอ๊วพัฒนาศูนย์การค้ามา 30 กว่าปี เริ่มตั้งแต่เดอะมอลล์ ราชดำริ เรียกว่า เป็นทำเลที่ดีที่สุด อยู่กลางเมืองติดกับห้างเกษร พลาซ่า จำได้ว่าตอนเปิดมาเราเด็กมาก อายุ 20 กว่าๆ ทำศูนย์การค้าขึ้นมาขนาดเล็ก เปิดมาได้เกือบ 2 ปี ต้องปิดตัว นอนร้องไห้ทุกวัน (หัวเราะ) ฉันจะไม่เปิดอะไรเล็กอีกแล้วในชีวิตนี้"ประโยคย้อนอดีตของการขึ้นสังเวียนค้าปลีก ที่สะท้อนให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ข้างหน้า          

เมื่อประกาศว่า "ชีวิตนี้จะไม่เปิดโปรเจคเล็กอีกแล้ว" ในปี 2526 จึงเข้าไปบุกเบิกห้างค้าปลีกแห่งใหม่ย่านรามคำแหง "เดอะ มอลล์ 2" หรือเดอะมอลล์ รามคำแหง ตามด้วยเดอะมอลล์ ท่าพระ,เดอะ มอลล์ งามวงศ์วาน, เดอะมอลล์ บางแค ,เดอะมอลล์ บางกะปิ จนมาถึง ดิ เอ็มโพเรี่ยม ในปี 2540          

ทั้งหมดนี้ ล้วนแล้วแต่มี "ไซส์ใหญ่ยักษ์" ยึดทุกมุมเมือง  

ทว่า ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อธุรกิจเกิดขึ้นอีกครั้ง ในปี 2540 ตอนเปิดดิ เอ็มโพเรี่ยม ที่ปะเหมาะกับช่วงเวลาเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง          

"ตอนเปิด ดิ เอ็มโพเรี่ยม หลายคนมองว่าจะรอดหรือไม่รอด เพราะเราเปิดในช่วงเกิดวิกฤติการเงิน ปีนั้นจำได้ค่าเงินบาทลอยตัวจาก 25 บาทเป็น 60 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ร้านค้าเข้าไปตกแต่งเสร็จหมดแล้ว ถ้ายังไม่เปิดตอนนั้น เราคงไม่ได้เปิดแน่" เธอเล่าอุปสรรคใหญ่          

ไล่หลัง 2 ปีจากเปิดห้างหรูแห่งแรก นักท่องเที่ยวเยือนไทยจาก 7 ล้านคน เพิ่มเป็น 17 ล้านคน ผลพวงวิกฤติเศรษฐกิจ ทำให้ค่าเงินบาทที่่่อ่อนค่าลงมาก ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาไทยเป็นว่าเล่น ส่งผลให้ยอดขายสินค้าพุ่งกระฉูด        

"ดิ เอ็มโพเรี่ยมขายดีมาก เราโต 30% ทุกปี เพราะคนไม่เดินทางไปต่างประเทศ แต่สมัยนี้จะโต 10% ก็ยากแล้ว" ศุภลักษณ์ เล่า

ดิ เอ็มโพเรี่ยม ยังกลายเป็นจุดเริ่มต้นความสำเร็จ ของการดึงแบรนด์ดังทั้ง Chanel ,Hermes ,Cartier มาปลุกให้ดิ เอ็มโพเรี่ยม ให้เป็นย่านการค้าคึกคัก          

"พอประสบความสำเร็จ..เล็กไม่พอ เลยมาลงทุนทำสยาม พารากอน ซึ่งเกิดการร่วมทุนกับอีกยักษ์ค้าปลีกอย่าง "สยามพิวรรธน์”  อีกห้างหรูอลังการณ์ไม่แพ้การลงทุนเอง        

ในปี 2548 "The Jewel of Asia" ในนาม "สยามพารากอน" จึงบังเกิด !!          

ในเดือนพฤษภาคมปี 2557 ศุภลักษณ์ ยังประกาศการลงทุนครั้งมโหฬาร 5 หมื่นล้านบาท โดยรวบมูลค่าเงินลงทุนของ  6 ศูนย์การค้ายักษ์มาแถลงพร้อมกัน ประกอบด้วย ดิ เอ็ม โพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์, ดิ เอ็มสเฟียร์ สร้างเมืองใหม่ "ดิ เอ็ม ดิสทริค" ,โครงการบลูพอร์ท บนเมืองตากอากาศสุดฮอตของไทยอย่างหัวหิน, บลูเพิร์ล บนทำเลไข่มุกแห่งอันดามัน ภูเก็ต และ "แบงค็อก มอลล์" โปรเจคอลังการบน "จุดตัด" ถนนสุขุมวิทและบางนา-ตราด

 ทั้งหมด เธอหวังยกระดับเมืองไทยให้เป็นที่รู้จักของทั่วโลก            

ล่าสุดเมื่ออวันที่  27 มีนาคมผ่านมา เธอขอสร้างประสบการณ์"เมืองชอปปิง" ระดับโลก บรรจงเปิดตัว "ดิ เอ็มดิสทริค ,ดิ เอ็มควอเทียร์ และดิ เอ็มโพเรี่ยม"        

ทว่า ก่อนงานหรูเริ่ดจะเริ่ม "ศุภลักษณ์" ยึดพื้นที่ของโรงภาพยนตร์ในดิ เอ็มโพเรี่ยม เป็นสถานที่แถลงข่าว เธอปรากฎหายในชุดสีส้มสดใส ฉายเดี่ยวบนเวทีเช่นทุกครั้ง บอกเล่าเรื่องราว ของย่านการค้า"ดิ เอ็มดิสทริค" ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากซึ่งเพื่อนบ้านบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงานให้เช่า ภาคการค้าและแหล่งเอ็นเตอร์เทนเมนต์บนถนนสุขุมวิท "แหล่งวิถีชีวิตและแรงบันดาลใจ" ครั้งนี้          

ศุภลักษณ์ใช้เวลารวบรวมที่ดิน ในย่านดังกล่าว โดยเฉพาะการผุดโครงการ ดิ เอ็มควอเทียร์นานกว่า 3 ปี จากเจ้าของที่ดิน 3-4 ราย ของตระกูล "นานา"             

ย่านสุขุมวิท ถือเป็นย่านที่เต็มไปด้วย Expat ผู้คนมี "กำลังซื้อสูงที่สุด" ทำให้เธอต้องการสร้างมหานครแห่งการชอปปิงให้เกิดขึ้น โดยหวังเทียบชั้นมหานครชอปปิงของโลกอย่าง Fifth avenue นิวยอร์ก, Lafayette แห่งมหานครปารีส หรือกระทั่ง Shinjuku ในมหานครโตเกียว เป็นต้น          

โปรเจคนี้ยัง "ดึงดูด" เศรษฐีแสนล้าน ! "เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี"เมื่อโครงการของเธอติดกับสวนสาธารณะเบญจสิริ ซึ่งอยู่กึ่งกลางระหว่างดิ เอ็มโพเรี่ยมและโรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ปาร์ค กรุงเทพ หนึ่งในธุรกิจของเจ้าสัวเจริญ          

"พอรู้ว่าเราทำที่นี่ปุ๊ป รุ่งขึ้นส่งคุณยอด (ปณต สิริวัฒนภักดี - ลูกชายเจ้าสัวเจริญ) มาดู จากนั้นโรงแรมอิมพีเรียล ควีนสปาร์ค เป็นของคุณเจริญ ก็ปิดปรับปรุงทันที จะเปลี่ยนเป็นเชนแมริออท ลงทุนหลายพันล้าน" เธอเล่าพร้อมเสียงหัวเราะ          

มือฉมังเช่นเธอ ยังไม่พลาดที่จะคว้าโอกาสความร่วมมือครั้งสำคัญ เพราะสวนสาธารณะดังกล่าว แม้จะไม่ใหญ่เท่าเซ็นทรัล พาร์คของสหรัฐฯ แต่ก็ใหญ่พอสำหรับดิ เอ็มดิสทริค ไอเดียบรรเจิดจึงบังเกิด เมื่อเธอออกปากเชื้อเชิญเจ้าสัวเจริญ มาร่วมพัฒนาย่านนี้ด้วยกัน

"กำลังจะคุยให้ทางคุณเจริญ มาพัฒนาให้เป็นเหมือนน้ำพุเต้นระบำ เหมือนที่โรงแรมเบลลาจิโอ้ ลาสเวกัส งดงาม กลายเป็นพาร์คที่สำคัญ" เธอเผยแนวคิด            

วันนี้การสร้างปรากฎการณ์ "ชอปปิง" ย่านใหม่ พร้อมเปิดตัวให้ยลโฉมและชอปแล้ว ใช่ว่าจะมีแค่แบรนด์เนมดังจากทั่วโลกมาเปิดช็อปสุดหรู "แต่ต้องทำให้ชีพจรเร้าใจด้วย" ศุภลักษณ์ บอกว่า บทบาทจากนี้ไปจึงมุ่งจุดกระแสให้ดิ เอ็มดิสทิค

"ติดลมบน" ผ่านการจัดงาน "The Wold Extraordinaire Gala Celebration" จัดใหญ่จัดเต็ม 4 เดือน ประเดิมด้วยงานแรก 27 มีนาคม กับงาน "Fashion Extraordinaire" เพราะเธอมองว่า ทุกอย่างคือแฟชั่น เฉพาะงานนี้ร่อนการ์ดเชิญแขกถึง "2 หมื่นใบ"  มาร่วมงาน           

ตามด้วย 29 เมษายน จัดใหญ่กับ "Dinning Extraordinaire" ที่เธอการันตีว่า ร้านอาหารที่นี่มีมากจนรับประทานทั้งปียังไม่ครบ ปิดท้ายด้วยไฮไลท์สำคัญ "World Extraordinaire" ที่สุดแห่งการเฉลิมฉลอง ที่ศุภลักษณ์ ปรารภว่า "เป็น World Watched Event" หรือโลกต้องจับตามองแน่นอน          

"ทั้งสามงานนี้ห้ามกระพริบตา เพราะจะเป็นสุดยอดจริงๆ" เธอบอกอย่างนั้น ส่วนการที่ต้องอัดกิจกรรมต่อเนื่องนั่นเพราะประเมินตัวอย่างจากดูไบมอลล์ กว่าจะสำเร็จได้ จัดกิจกรรมมากมายไม่รู้กี่รอบ หรือแม้กระทั่งLafayette ที่ฝรั่งเศส เปิดตัวเมื่อ 2 ปีก่อน "มีคนเดินในห้าง 3 คนรวมคุณแอ๊ว" เธอเล่าและว่า        

"เราต้องยิงขีปนาวุธพร้อมกัน 3 ครั้ง ต่อเนื่องตลอดทั้งปี เอาให้อยู่"

การเปิดตัวครั้งนี้ แบรนด์ดัง 400 แบรนด์ตบเท้ามาเปิดช็อปด้วย พร้อมลั่นให้ดิ เอ็มดิสริค เป็นศูนย์กลาง (Hub) ของเอเชีย

"เป็นเหตุผลที่ว่าทำไม ดิ เอ็มดิสทริค ที่เราทำจะต้องเป็นเดอะ ดิสทริค ออฟ เดอะ เวิลด์" และไม่ใช่แค่นี้ "เพราะจะมีแค่ Niche อย่างเดียวคงไม่รอด ความลักชัวรี่ มักจะมากับความเงียบในบางครั้ง เพราะนิชเกินไป" จึงต้องผสมผสานแบรนด์ฟาสต์แฟชั่นมาไว้ในที่แห่งนี้ด้วย           

วันนี้ ศุภลักษณ์ ถูกขนานนามให้เป็นหนึ่งในราชินีค้าปลีกไทย ที่เธอบอกว่า "การสร้างโครงการให้สำเร็จไม่ใช่แค่อิฐและปูน แต่เกิดจากไอเดีย ความคิดสร้างสรรค์ สมอง แรงงาน ความทุ่มเท และPassion ที่เราใส่เข้าไป"        

จากโครงการเล็กและล้ม เมื่อลุกขึ้นใหม่ ประจักษ์ว่าการสร้างความยิ่งใหญ่นั่นจำเป็นเพียงใด          

"ในแง่ของรีเทลต้องยอมรับว่า Big fish eat a small fish  นั่นคือความจำเป็นต้องทำดิ เอ็มดิสทิคขึ้นมา"        

"มีอย่างหนึ่งที่คุณแอ๊วที่อยากฝากก่อนจะจบ คือ..ทำศูนย์การค้ามาหลายแห่ง ทำไมคนถึงถามว่าทำอยู่ได้ยังไง เพราะทำด้วย Passion ทำเพราะ อยากทำให้ประเทศไทยขึ้นมาถึงระดับที่คนยอมรับและเกิดความภาคภูมิใจของคนไทย นี่คือสิ่งที่ลึกๆจริงๆ และวันนี้ที่ดินสุขุมวิท 50 ไร่ ตลอดชีวิตคงไม่ไปหาอีกแล้ว  (เสียงสูง) ความโชคดีเป็นพรหมลิขิต ที่เราสามารถหาที่ดินได้ในกรอบเดียวกัน ฉะนั้นความรู้สึกที่อยากจะให้คนในย่านนี้คงไม่มีอะไรมีค่าไปกว่าความสุขและความรัก อยากให้คนในย่านนี้แฮปปี้ จน-รวยทุกคนขอให้มีความสุข หมาหมูแมวแถวนี้แฮปปี้หมด"ทันใดนั้นเพลง Happy ของหนุ่ม Pharrell  Williams ก็ดังขึ้น        

"เฮหน่อยๆ ให้คึกคักหน่อย ฮ่า ฮ่า ฮ่า อยากให้ทุกคนมีความสุขมากที่สุด ขอบคุณมากๆ"  สิ้นเสียงศุภลักษณ์ เสียงปรบมือดังกึกก้อง



สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ศาสตร์ สู้ศึกค้าปลีก ศุภลักษณ์ อัมพุช

view