สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

หรือสหรัฐเป็นเพียงความหวังอันริบหรี่

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ช่วยกันคิด

โดย ดร.ศรพล ตุลยะเสถียร, พีรพรรณ สุวรรณรัตน์

เป็นที่ทราบกันดีว่าระหว่างที่ทั่วโลกกำลังเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจซบเซา สหรัฐเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจเพียงหนึ่งเดียวที่ก้าวพ้นกับดักภาวะวิกฤต และกำลังเตรียมเดินหน้าสู่ความรุ่งเรืองอีกครั้งหนึ่ง ทั่วโลกจึงฝากความหวังไว้ที่สหรัฐ โดยหวังให้เป็นผู้ดึงประเทศอื่น ๆ ขึ้นจากกับดักและก้าวเดินไปด้วยกัน

ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2556 สหรัฐเริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศตนเอง และ ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คอยประคับประคองอีกต่อไป สหรัฐจึงตัดสินใจ ลดปริมาณการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือน หรือที่เรียกกันว่า QE3 และ QE4 ลงตั้งแต่ต้นปี 2557 เรื่อยมา และประกาศยุติมาตรการเมื่อปลายปีเดียวกันในที่สุด ในขณะนั้นไม่มีใครปฏิเสธแสงสว่างจากเทียนเล่มนี้ ที่จุดติดขึ้นเพียงเล่มเดียวท่ามกลางพายุที่โหมกระหน่ำทั่วโลกได้เลย

ปัจจุบันทั่วโลกต่างเฝ้าติดตามแนวนโยบายการเงินของสหรัฐอย่างใกล้ ชิด ว่าเมื่อไหร่แผนที่สหรัฐจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะเป็นจริง เพราะนัยหนึ่งนั้นบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งพอที่จะกลับมาใช้นโยบาย การเงินการคลังแบบปกติได้อีกครั้งและไม่ต้องพึ่งพาเชื้อไฟจากดอกเบี้ยนโยบาย ที่ปล่อยให้ต่ำเกือบแตะร้อยละ0มายาวนานกว่า 6 ปีอีกต่อไป 



แต่เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาส 1 ปี 2558 ที่ออกมาผิดคาด โดยหดตัวร้อยละ 0.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนต่อปี ซึ่งมีคำอธิบายว่า "ภาคการส่งออก" เป็นตัวฉุดหลัก ก็ทำให้น่าคิดว่าสหรัฐที่ทั่วโลกหวังให้เป็นผู้ดึงเศรษฐกิจประเทศอื่น ๆ ขึ้นมา จะโดนฉุดลงเสียเอง

แท้จริงแล้ว นอกจากสัญญาณที่ดีจากภาคตลาดแรงงาน ซึ่งตัวเลขอัตราว่างงานลดลงเรื่อย ๆ จนมาอยู่ระดับต่ำที่สุดในรอบ 7 ปีแล้ว เครื่องชี้เศรษฐกิจในภาคส่วนอื่น ๆ ก็ยังไม่เห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนนัก โดยเฉพาะการบริโภคของภาคประชาชน ซึ่งเป็นชนวนเพิ่มแสงสว่างหลักให้กับเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาไม่ดีนัก โดยตัวเลขยอดค้าปลีกตั้งแต่ต้นปีชะลอตัว ซึ่งมีเหตุผลจากอากาศหนาวเย็นผิดปกติ ทำให้คนออกไปจับจ่ายใช้สอยน้อยลง

แต่น่าสังเกตว่าขณะนี้สภาพอากาศเลวร้ายผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นว่ายอดค้าปลีกจะฟื้นตัวขึ้นอย่างชัดเจนแต่อย่างใด

เมื่อชนวนเศรษฐกิจสหรัฐด้าน "การส่งออก" หมดเชื้อไฟเพราะไม่อาจหวังพึ่งกำลังซื้อของคนทั่วโลกได้ในภาวะซบเซานี้ และชนวนด้าน "กำลังซื้อ" ของคนในประเทศเองก็ยังคลุมเครือ แล้วสหรัฐจะหาเชื้อไฟจากแหล่งไหนมาเติมให้แสงสว่างยังคงลุกโชติช่วงต่อไปได้

เจเน็ต เยลเลน (ประธานธนาคารกลางสหรัฐ) และกรรมการในคณะกรรมการนโยบายการเงินอีกหลายท่าน ก็ออกมายอมรับเองว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐออกมาไม่ดีนัก โดยได้ลดคาดการณ์อัตราขยายตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐลงมาอยู่ที่ร้อยละ 2.3-2.7 จากเดิมที่คาดไว้ร้อยละ 2.6-3.0 พร้อมทั้งส่งสัญญาณว่าจะเลื่อนช่วงเวลาปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปเป็นช่วงครึ่งหลังของปีนี้แทนอีกด้วยสำหรับ ประเทศไทยเราจำเป็นต้องจับตาดูให้ดีเช่นกันว่าเปลวเทียนสหรัฐเล่มนี้จะยังคง ลุกโชติช่วงต่อไปหรือจะริบหรี่ลงในไม่ช้าเพราะไทยเราเองก็หวังให้เปลวเทียน ของสหรัฐเล่มนี้ส่องสว่างมายังภาคการส่งออกของไทยให้ได้เห็นแสงสว่างด้วย เช่นกัน


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : สหรัฐ ความหวังอันริบหรี่

view