สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

เปิดคำพิพากษาจำคุกบิ๊กกรุงไทย-พวกทุจริตปล่อยกู้ยุคทักษิณ

เปิดคำพิพากษาจำคุกบิ๊กกรุงไทย-พวกทุจริตปล่อยกู้ยุคทักษิณ

จาก โพสต์ทูเดย์

คำพิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองสั่งจำคุกอดีตผู้บริการธนาคารกรุงไทยพร้อมพวกทุจริตปล่อยกู้เอื้อประโยชน์เครือกฤษดามหานคร

เมื่อวันที่ 26 ส.ค.เวลา 09.30 น. ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ  นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขดำ อม.3/2555 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย,  กรรมการบริหาร,คณะกรรมการสินเชื่อ,เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทในเครือกฤษดามหานคร และ 3 บริษัทในเครือกฤษดามหานคร เป็นจำเลยที่ 1-27ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505, ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และ ความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535

คำฟ้องสรุปพฤติการณ์ของจำเลยว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ

1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เคโปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500ล้านบาท

2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400ล้านบาท)

3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร ประโยชน์ส่วนตนกับพวก

ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ธนาคารกรุงไทยมีสถานะเป็นองค์กรของรัฐ เนื่องจากมีกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ภายใต้การกำกับดูและของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งถือครองหุ้นธนาคารกรุงไทยเกินร้อยละ 50 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามนิยามของพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่จำเลยต่อสู้ว่าธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและไม่อาจฟ้องจำเลยตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานฯ จึงรับฟังไม่ได้

ส่วนจำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทอาร์เคจำเลยที่ 18 และบริษัทโกลเด้น จำเลยที่ 19 โดยฝ่าฝืนประกาศและคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ ธ.222/2545 เรื่องนโยบายสินเชื่อที่กำหนดให้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ซื้อ และคำสั่งของธนาคารกรุงไทยเรื่องความเสี่ยงของการอนุมัติสินเชื่อหรือไม่ เห็นว่า จากการไต่สวนพยานซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัททั้งสอง รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 18-19 มีจำเลยที่ 23-25 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ และบริษัทดังกล่าวก็อยู่ในเครือของบมจ. กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ซึ่งจำเลยที่ 18-20 เป็นนิติบุคคลต่างอยู่ในสภาพมีหนี้สินจำนวนมากกับสถาบันการเงินหลายแห่ง ไม่มีรายได้ต่อเนื่องกันหลายปี มีดอกเบี้ยค้างชำระเพิ่มพูนขึ้น เกิดการขาดทุนสะสมหลายปี ทำให้ฐานะการเงินไม่มั่นคง ความสามารถในการหารายได้ต่ำจนไม่น่าเชื่อว่าจะชำระหนี้ได้

ซึ่งบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ก็ถูกธนาคารกรุงไทยผู้เสียหายกำหนดเงื่อนไขห้ามไม่ให้ก่อหนี้สินเชื่ออีก อีกทั้งในการเสนอขอสินเชื่อของบริษัทอาร์เคฯ จำเลยที่ 18 แม้ว่าจำเลยจะไม่เคยเป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงไทยและอ้างว่าจะนำเงินกู้ไปซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร แต่เป็นการอ้างขายให้กับจำเลยที่ 20 ซึ่งไม่อยู่ในสถานะมั่นคงในการหารายได้ หรือมีเงินที่จะซื้อที่ได้ ส่วนที่บริษัทโกลเด้นฯ จำเลยที่ 19 เสนอขอสินเชื่ออ้างทำโครงการกฤษดาซิตี้ 4000 แต่ก็ไม่มีแผนงาน พิมพ์เขียว รายงานแสดงงบประมาณ แต่เพิ่งมาทำก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่ภายหลังก็มีการอ้างว่าจะนำเงินกู้ไปทำการรีไฟแนนซ์ที่บริษัทเป็นหนี้กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการเจรจาหนี้จนลดลงที่ต้องชำระ 4,500 ล้านบาท และจะนำเงิน 500 ล้านบาทไปซื้อที่ดิน และอีก 1 พันกว่าล้านบาท นำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้ฯ

แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าที่ดินที่มีการอ้างว่าจะทำโครงการนั้น มีชื่อบุคคลภายนอกถือครองกรรมสิทธิ์กว่า 100 ไร่ และภายหลังจำเลยที่ 19 ยังยื่นขอสินเชื่อเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้ โดยขอเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 19 ไม่ตั้งใจทำโครงการตามที่อ้างขอเสนอสินเชื่อ ซึ่งโครงการที่มีการเสนอขอสินเชื่อนั้นถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีวงเงินที่สูง แต่จำเลยกลับไม่มีรายละเอียดและข้อมูลที่จำเป็นประกอบการขอสินเชื่อ เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของโครงการ โดยที่การตรวจสอบก่อนจะเสนอขอสินเชื่อของบริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 5-17 ซึ่งเป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ โดยจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นประธานกรรมการพิจารณาสินเชื่อที่มีบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 เป็นลูกค้า ก็ย่อมจะรู้ดีอยู่แล้วถึงข้อมูลว่าบริษัทจำเลยที่ 18-19 เป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 20ซึ่งเป็นหนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง มีการปรับโครงสร้างหนี้หมายครั้ง จนถูกห้ามก่อหนี้เพิ่ม และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง

แต่จำเลยที่ 5-17 ยังคงเสนอให้อนุมัติสินเชื่อให้กับจำเลยทั้งสอง โดยให้ความเห็นว่าอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงพอรับได้ และการกระทำดังกล่าวยังเป็นในลักษณะเร่งรีบเพื่อปล่อยกู้ให้ทัน เป็นการเปิดช่องให้จำเลยทั้งสองนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินอื่นและซื้อหุ้นจากเจ้าหนี้คืนเพื่อให้จำเลยที่ 20 กลับมามีอำนาจการบริหารในอนาคต จากเดิมที่มีสถานะไม่มั่นคง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ซึ่งเป็นกรรมการสินเชื่ออนุมัติยินยอมอนุมัติวงเงินให้จำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ สร้างความเสียหายให้กับธนาคารกรุงไทยและประชาชนที่ฝากเงิน

ส่วนที่ ร.ท.สุชาย, นายวิโรจน์, และนายมัชฌิมา  กุญชร ณ อยุธยา กรรมการบอร์ดกรุงไทย จำเลยที่ 2-4อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ให้กับบจก. แกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่นจำเลยที่ 22 นั้น การที่นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3 ให้เครดิตการชำระเงินขายหุ้นให้นานถึง 4 เดือน และยังมีการมอบฉันทะให้ บจก.แกรนด์คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยที่ 22 ออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 แม้ว่าหุ้นจะไม่ใช่สินเชื่อ แต่ลักษณะของการดำเนินการดังกล่าว ก็เป็นการให้สินเชื่ออย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องนโยบายสินเชื่อ ในการวิเคราะห์ความสี่ยง ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2-4 ดังกล่าวทำให้ธนาคารกรุงไทยขายหุ้นไปโดยไม่ได้รับการชำระค่าหุ้น และการมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 เข้าประชุมผู้ถือหุ้นจนมีการลงคะแนนเสียงลดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ ทำให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบเช่นกัน เพราะเป็นการให้สินเชื่อในกรณีพิเศษ

ส่วนที่จำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกันกระทำผิดหรือสนับสนุนจำเลยที่ 1 นั้น ได้ความจากพยานซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า บิ๊กบอส หรือซุปเปอร์บอสได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 ซึ่งในชั้นพิจารณากับชั้นไต่สวนของคตส. พยานยังเบิกความไม่ชัดเจนว่า บิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 หรือภรรยาของจำเลยที่ 1 กันแน่ แม้จะมีอ้างถึงเงินจากเครือบริษัทจำเลยโอนเข้าบัญชีบุตรของจำเลยที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่ก็พบว่ากลุ่มคนดังกล่าวก็เกี่ยวพันกับภรรยาของจำเลยที่ 1  พยานจึงอาจเข้าใจตามความคิดของพยานเองว่า บิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 ดังนั้น ชั้นนี้อาจยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกับจำเลยที่ 1

จึงพิพากษาให้จำคุก ร.ท.สุชาย  นายวิโรจน์  นายมัฌชิมา และ นายไพโรจน์ รัตนะโสภา  จำเลยที่2-4และ 12 คนละ 18 ปี ตามความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502ม.4 ซึ่งเป็นบทหนักสุด ส่วนจำเลยที่ 5,8-11,13-17ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารกรุงไทย ผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4  จำคุกจำเลยทั้ง 10คนในส่วนนี้ คนละ 12 ปี

สำหรับนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร จำเลยที่ 25 และจำเลยที่ 18-27ซึ่งนิติบุคคล และผู้บริหารบริษัทในเครือกฤษดานคร มีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4โดยให้ปรับจำเลยที่ 18-22ซึ่งเป็นนิติบุคคล รายละ 26,000 บาท และให้จำเลยที่ 23-27จำคุกคนละ 12 ปี และให้จำเลยที่ 20,25 และ26รวมกันคืนเงิน 10,004,467,480 บาท แก่ธนาคารกรุงไทย ผู้เสียหาย

นอกจากนี้ให้นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3, 22 และจำเลยที่ 27ร่วมรับผิด 9,554,467,480 บาท และให้จำเลยที่ 12-17, 21, 23 และ 24ร่วมรับผิดจำนวน 8,818,732,100 บาท ส่วนจำเลยที่ 18 ร่วมรับผิด 450ล้านบาท และจำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8-11และ 19 ร่วมรับผิดจำนวน 8,368,732,100 บาทหากจำเลยที่ 18-22ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6-7

สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 27 คน ประกอบด้วย

กลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อ คือ นายประพันธ์พงศ์ ปราโมทย์กุล จำเลยที่ 13 นางกุลวดี สุวรรณวงศ์ จำเลยที่ 14 นางสุวรัตน์ ธรรมรัตนพคุณ จำเลยที่ 15 นายประวิทย์ อดีตโต จำเลยที่ 16 นางศิริวรรณ ชินอิสระยศ จำเลยที่ 17 นายไพโรจน์ รัตนะโสภา จำเลยที่ 12

กลุ่มคณะกรรมการสินเชื่อ คือ นายพงศธร ศิริโยธิน จำเลยที่ 5 นายนรินทร์ ดรุนัยธร จำเลยที่ 6 นางนงนุช เทียนไพฑูรย์  จำเลยที่ 7 นายโสมนัส ชุติมา จำเลยที่ 8 นายสุวิทย์ อุดมทรัพย์ จำเลยที่ 9 นายวันชัย ธนิตติราภรณ์จำเลยที่ 10 และนายบุญเลิศ ศรีเจริญ จำเลยที่ 11

กลุ่มคณะกรรมการบริหาร คือ ร้อยโทสุชาย เชาว์วิศิษฐ์จำเลยที่ 2 นายวิโรจน์ นวลแข จำเลยที่ 3 และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา จำเลยที่ 4

กลุ่มนิติบุคคลทั้งหมด คือ บริษัทอาร์เคฯ โดยนายบัญชา ยินดี และ นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 18 บริษัทโกลเด้นฯ โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา และนายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 19 บริษัทกฤษดามหานครฯ โดยนางปรานอม แสงสุวรรณเมฆา และนายธเนศวร สิงคาลวณิช นายรัชฎากฤษดาธานนท์จำเลยที่ 20 บริษัทโบนัสบอร์น จำกัด โดยนายชุมพร เกิดไพบูลย์รัตน์ จำเลยที่ 21 บริษัทแกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่น จำกัด โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 22

กลุ่มผู้แทนนิติบุคคลเป็นการส่วนตัวทั้งหมด คือ นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 23 นายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 24 นายวิชัย กฤษดาธานนท์จำเลยที่ 25 นายรัชฎากฤษดาธานนท์จำเลยที่ 26 นายไมตรี เหลืองนิมิตมาศ จำเลยที่ 27

กลุ่มนักการเมือง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ

บรรยายภาพ : จำเลยเดินทางมาฟังคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ 


ศาลสั่งจำคุก18ปี "วิโรจน์ นวลแข" คดีทุจริตปล่อยกู้กรุงไทย ยุคทักษิณ

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันที่ 26 ส.ค. 2558 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิพากษาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) มูลค่า 9,900 ล้านบาท ที่ อม.3/2555 อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย จำเลยที่ 2 นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย จำเลยที่ 3 และบริษัทในเครือของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 27 ราย

ในฐานความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ จากการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิดต่อ พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดพนักงานในองค์กรหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิดต่อ พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505, ความผิดต่อ พ.ร.บ.ตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และความผิดต่อ พ.ร.บ.บริษัทมหาชน พ.ศ. 2535 

ทั้งนี้ ศาลพิพากษาจำคุก ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ์ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นประธานบอร์ดบริหาร ธ.กรุงไทยในขณะนั้น นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการ ผจก.ธ.กรุงไทย จำเลยที่ 3 และจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ ในความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กรของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4 ซึ่งเป็นบทหนักสุด จำคุกคนละ 18 ปี

จากกรณีเมื่อปี 2546 ได้มีการอนุมัติสินเชื่อกว่า 8 พันล้านให้กับบริษัทในเครือของบริษัทกฤษฎามหานคร ซึ่งมีการอ้างว่าจะนำเงินไปรีไฟแนนซ์หนี้สินกับสถาบันการเงินอื่น และซื้อที่ดินทำโครงการเกี่ยวกับที่ดินอื่นอีก แต่ภายหล้งได้มีการนำเงินไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัว โดยไม่ได้มีการดำเนินการตามโครงการดังกล่าวอย่างแท้จริง โดยศาลได้มีคำพิพากษาให้พวกจำเลยต้องร่วมกันชดใช้เงินคืนให้กับ ธ.กรุงไทย ผู้เสียหายด้วย

นอกจากนี้ ศาลยังมีคำพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 5 , 8-11 และ 13-17 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร ที่เป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ และกลุ่มเอกชนที่ทำการขอสินเชื่ออีกคนละ 12 ปี เช่นกัน โดยศาลก็ให้จำเลยซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่ทำการขออนุมัติสินเชื่อโดยทุจริตคืนเงินให้กับ ธ.กรุงไทย กว่าหมื่นล้านบาทด้วย

ส่วนจำเลยที่ 23-27 ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทเอกชนที่กระทำผิด ให้จำคุก คนละ 12 ปี และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6-7 ซึ่งเป็นกรรมการฝ่ายสินเชื่อ

ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ จึงให้ออกหมายจับ ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณไว้เป็นการชั่วคราวก่อนจนกว่าจะได้ตัวมา


ที่มา มติชนออนไลน์


ศาลจำคุก 18 ปี อดีตบิ๊กกรุงไทยปล่อยกู้ “กฤษดา” มิชอบ “แม้ว” จำเลยที่ 1 หนีจำหน่ายคดีไว้ก่อน

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม

ASTV ผู้จัดการ - ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกคนละ 18 ปี อดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทย คดีปล่อยเงินกู้ให้ บมจ.กฤษดามหานคร ร่วมหมื่นล้านบาทโดยมิชอบ ส่วน “ทักษิณ” จำเลยที่ 1 คดีเดียวกันอยู่ระหว่างหลบหนี ให้จำหน่ายคดีไว้ชั่วคราว
      
       ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่ง ทางการเมือง ถ.แจ้งวัฒนะ เมื่อเวลา 10.00 น. วันนี้ (26 ส.ค.) นายศิริชัย วัฒนโยธิน รองประธานศาลฎีกา เจ้าของสำนวน พร้อมองค์คณะ รวม 9 คน ได้ออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีปล่อยกู้ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หมายเลขดำ อม.3/2555 ที่อัยการสูงสุด เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี, ร.ท.สุชาย เชาว์วิศิษฐ อดีตประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทย, นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย, กรรมการบริหาร,คณะกรรมการสินเชื่อ,เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน), กรรมการผู้มีอำนาจของบริษัทในเครือกฤษดามหานคร และ 3 บริษัทในเครือกฤษดามหานคร เป็นจำเลยที่ 1-27ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502, ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505, ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และ ความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ. 2535
       
       โดยคำฟ้องสรุปพฤติการณ์ของจำเลยว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้ แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เคโปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500ล้านบาท 2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ 1,400ล้านบาท) และ 3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร ประโยชน์ส่วนตนกับพวก
       
       ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ธนาคารกรุงไทยมีสถานะเป็นองค์กรของรัฐ เนื่องจากมีกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาสถาบันการเงิน ภายใต้การกำกับดูและของธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งถือครองหุ้นธนาคารกรุงไทย เกินร้อยละ 50 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะเป็นเจ้าพนักงานตามนิยามของพ.ร.บ.ว่าด้วย ความผิดของพนักงาน ในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ที่จำเลยต่อสู้ว่าธนาคารกรุงไทยไม่ได้มีสถานะเป็นรัฐวิสาหกิจและไม่อาจฟ้อง จำเลยตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานฯ จึงรับฟังไม่ได้
       
       ส่วนจำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ร่วมกันอนุมัติสินเชื่อให้กับบริษัทอาร์เคจำเลยที่ 18 และบริษัทโกลเด้น จำเลยที่ 19 โดยฝ่าฝืนประกาศและคำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ ธ.222/2545 เรื่องนโยบายสินเชื่อที่กำหนดให้มีการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้ของ ผู้ซื้อ และคำสั่งของธนาคารกรุงไทยเรื่องความเสี่ยงของการอนุมัติสินเชื่อหรือไม่ เห็นว่า จากการไต่สวนแลพยานซึ่งเป็นผู้ตรวจสอบบัญชีของบริษัททั้งสอง รับฟังได้ว่า จำเลยที่ 18-19 มีจำเลยที่ 23-25 เป็นกรรกมารผู้มีอำนาจ และบริษัทดังกล่าวก็อยู่ในเครือของบมจ. กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ซึ่งจำเลยที่ 18-20 ซึ่งเป็นนิติบุคคลต่างอยู่ในสภาพมีหนี้สินจำนวนมากกับสถาบันการเงินหลายแห่ง ไม่มีรายได้ต่อเนื่องกันหลายปี มีดอกเบี้ยค้างชำระเพิ่มพูนขึ้น เกิดการขาดทุนสะสมหลายปี ทำให้ฐานะการเงินไม่มั่นคง ความสามารถในการหารายได้ต่ำจนไม่น่าเชื่อว่าจะชำระหนี้ได้ซึ่งบมจ.กฤษดามหา นคร จำเลยที่ 20 ก็ถูกธนาคารกรุงไทยผู้เสียหายกำหนดเงื่อนไขห้ามไม่ให้ก่อหนี้สินเชื่ออีก อีกทั้งในการเสนอขอสินเชื่อของบริษัทอาร์เคฯ จำเลยที่ 18 แม้ว่าจำเลยจะไม่เคยเป็นลูกหนี้ของธนาคารกรุงไทยและอ้างว่าจะนำเงินกู้ไป ซื้อที่ดินเพื่อขายเอากำไร แต่เป็นการอ้างขายให้กับจำเลยที่ 20 ซึ่งมีไม่อยู่ในสถานะมั่นคงในการหารายได้ หรือมีเงินที่จะซื้อที่ได้ ส่วนที่บริษัทโกลเด้นฯ จำเลยที่ 19 เสนอขอสินเชื่ออ้างทำโครงการกฤษดาซิตี้ 4000 แต่ก็ไม่มีแผนงาน พิมพ์เขียว รายงานแสดงงบประมาณ แต่เพิ่งมาทำก่อนที่จะมีการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ขณะที่ภายหลังก็มีการอ้างว่าจะนำเงินกู้ไปทำการรีไฟแนนซ์ที่บริษัทเป็นหนี้ กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งมีการเจรจาหนี้จนลดลงที่ต้องชำระ 4500 ล้านบาท และจะทำเงิน 500 ล้านบาทไปซื้อที่ดิน และอีก 1 พันกว่าล้านนำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้ฯ แต่ข้อเท็จจริงปรากฎว่าที่ดินที่มีการอ้างว่าจะทำโครงการนั้น มีชื่อบุคคลภายนอกถือครองกรรมสิทธิ์กว่า 100 ไร่ และภายหลังจำเลยที่ 19 ยังยื่นขอสินเชื่อเพิ่มอีก 2,000 ล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงการกฤษดาซิตี้โดยขอเริ่มนับหนึ่งใหม่อีกครั้ง แสดงให้เห็นว่าจำเลยที่ 19 ไม่ตั้งใจทำโครงการตามที่อ้างขอเสนอสินเชื่อ ซึ่งโครงการที่มีการเสนอขอสินเชื่อนั้นถือเป็นโครงการขนาดใหญ่ มีวงเงินที่สูง แต่จำเลยกลับไม่มีรายละเอียดและข้อมูลที่จำเป็นประกอบการขอสินเชื่อ เพื่อให้เห็นถึงความเป็นไปได้ของโครงการ โดยที่การตรวจสอบก่อนจะเสนอขอสินเชื่อของบริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 5-17 ซึ่งเป็นกรรมการอนุมัติสินเชื่อ โดยจำเลยที่ 12 ซึ่งเป็นประธานกรรมการพิจารณาสินเชื่อที่มีบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 เป็นลุกค้า ก็ย่อมจะรู้ดีอยู่แล้วถึงข้อมูลว่าบริษัทจำเลยที่ 18-19 เป็นบริษัทในเครือของจำเลยที่ 20ซึ่งเป็นหนี้สถาบันการเงินหลายแห่ง มีการปรับโครงสร้างหนี้หมายครั้ง จนถูกห้ามก่อหนี้เพิ่ม และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มที่มีความสี่ยงสูง แต่จำเลยที่ 5-17 ยังคงเสนอให้อนุมัติสินเชื่อให้กับจำเลยทั้งสอง โดยให้ความเห็นว่าอยู่ในกลุ่มความเสี่ยงพอรับได้ และการกระทำดังกล่าวยังเป็นในลักษณะเร่งรีบเพื่อปล่อยกู้ให้ทัน เป็นการเปิดช่องให้จำเลยทั้งสองนำเงินไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ โดยนำไปชำระหนี้สถาบันการเงินอื่นและซื้อหุ้นจากเจ้าหนี้คืนเพื่อให้จำเลย ที่ 20 กลับมามีอำนาจการบริหารในอนาคต จากเดิมที่มีสถานะไม่มั่นคง ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2-5 และ 8-17 ซึ่งเป็นกรรมการสินเชื่ออนุมัติยินยอมอนุมัติวงเงินให้จำเลยทั้งสอง จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบ สร้างความเสียหายให้กับธนาคารกรุงไทยและประชาชนที่ฝากเงิน
       
       ส่วนที่ร.ท.สุชาย, นายวิโรจน์, และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา กรรมการบอร์ดกรุงไทย จำเลยที่ 2-4อนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 ให้กับบจก. แกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่นจำเลยที่ 22 นั้น การที่นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3 ให้เครดิตการชำระเงินขายหุ้นให้นานถึง 4 เดือน และยังมีการมอบฉันทะให้บจก.แกรนด์คอมพิวเตอร์ฯ จำเลยที่ 22 ออกเสียงลงคะแนนในที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบมจ.กฤษดามหานคร จำเลยที่ 20 แม้ว่าหุ้นจะไม่ใช่สินเชื่อ แต่ลักษณะของการดำเนินการดังกล่าว ก็เป็นการให้สินเชื่ออย่างหนึ่ง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามคำสั่งเรื่องนโยบายสินเชื่อ ในการวิเคราะห์ความสี่ยง ดังนั้น การกระทำของจำเลยที่ 2-4 ดังกล่าวทำให้ธนาคารกรุงไทยขายหุ้นไปโดยไม่ได้รับการชำระค่าหุ้น และการมอบฉันทะให้จำเลยที่ 22 เข้าประชุมผู้ถือหุ้นจนมีการลงคะแนนเสียงลดจำนวนหุ้นบุริมสิทธิ์ ทำให้มีมูลค่าเป็นศูนย์ จึงเป็นการกระทำที่ไม่ชอบเช่นกัน เพราะเป็นการให้สินเชื่อในกรณีพิเศษ
       
       ส่วนที่จำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกันกระทำผิดหรือสนับสนุนจำเลยที่ 1 นั้น ได้ความจากพยานซึ่งเป็นกรรมการพิจารณาสินเชื่อธนาคารกรุงไทยว่า ก่อนการประชุมอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 นั้น จำเลยที่ 2 ได้โทรศัพท์มาหาพยานและบอกว่า บิ๊กบอส หรือซุปเปอร์บอสได้ดูดีแล้ว ไม่ให้คัดค้านการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทจำเลยที่ 18-19 ซึ่งในชั้นพิจารณากับชั้นไต่สวนของคตส. พยานยังเบิกความไม่ชัดเจนว่า บิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 หรือภรรยาของจำเลยที่ 1 กันแน่ แม้จะมีอ้างถึงเงินจากเครือบริษัทจำเลยโอนเข้าบัญชีบุตรของจำเลยที่ 1 และบุคคลที่เกี่ยวข้องกับจำเลยที่ 1 แต่ก็พบว่ากลุ่มคนดังกล่าวก็เกี่ยวพันกับภรรยาของจำเลยที่ 1 พยานจึงอาจเข้าใจตามความคิดของพยานเองว่าบิ๊กบอสหรือซุปเปอร์บอส คือจำเลยที่ 1 ดังนั้น ชั้นนี้อาจยังฟังไม่ได้ว่าจำเลย 2-5 และ 8-27 ร่วมกับจำเลยที่ 1
       
       จึงพิพากษาให้จำคุก ร.ท.สุชาย, นายวิโรจน์, นายมัฌชิมา และ นายไพโรจน์ รัตนะโสภา จำเลยที่2-4และ 12คนละ 18 ปี ตามความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502ม.4ซึ่งเป็นบทหนักสุด ส่วนจำเลยที่ 5,8-11,13-17ซึ่งเป็นพนักงานของธนาคารกรุงไทย ผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 ม.4 จำคุกจำเลยทั้ง 10คนในส่วนนี้ คนละ 12 ปี
       
       สำหรับนายวิชัย กฤษดาธานนท์ เจ้าของโครงการหมู่บ้านกฤษดามหานคร จำเลยที่ 25 และจำเลยที่ 18-27ซึ่งนิติบุคคล และผู้บริหารบริษัทในเครือกฤษดานคร มีความผิดตามพ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 มาตรา 4โดยให้ปรับจำเลยที่ 18-22ซึ่งเป็นนิติบุคคล รายละ 26,000 บาท และให้จำเลยที่ 23-27จำคุกคนละ 12 ปี และให้จำเลยที่ 20,25 และ26รวมกันคืนเงิน 10,004,467,480 บาท แก่ธนาคารกรุงไทย ผู้เสียหาย
       
       นอกจากนี้ให้นายวิโรจน์ จำเลยที่ 3, 22 และจำเลยที่ 27ร่วมรับผิด 9,554,467,480 บาท และให้จำเลยที่ 12-17, 21, 23 และ 24ร่วมรับผิดจำนวน 8,818,732,100 บาท ส่วนจำเลยที่ 18 ร่วมรับผิด 450ล้านบาท และจำเลยที่ 2, 4, 5 และ 8-11และ 19 ร่วมรับผิดจำนวน 8,368,732,100 บาทหากจำเลยที่ 18-22ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29 และให้ยกฟ้องจำเลยที่ 6-7
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังฟังคำพิพากษาญาติจำเลยมีอาการโศกเศร้า บางรายถึงกับร้องไห้ออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำรถเรือนจำมารับจำเลยเพื่อไปควบคุมตัวต่อที่ เรือนจำพิเศษกรุเทพต่อไป
       
       สำหรับรายชื่อจำเลยทั้ง 27 คน ประกอบด้วย กลุ่มเจ้าหน้าที่ฝ่ายวิเคราะห์สินเชื่อ คือ นายประพันธ์พงศ์ ปราโมทย์กุล จำเลยที่ 13 นางกุลวดี สุวรรณวงศ์ จำเลยที่ 14 นางสุวรัตน์ ธรรมรัตนพคุณ จำเลยที่ 15 นายประวิทย์ อดีตโต จำเลยที่ 16 นางศิริวรรณ ชินอิสระยศ จำเลยที่ 17 นายไพโรจน์ รัตนะโสภา จำเลยที่ 12
       
       กลุ่มคณะกรรมการสินเชื่อ คือ นายพงศธร ศิริโยธิน จำเลยที่ 5 นายนรินทร์ ดรุนัยธร จำเลยที่ 6 นางนงนุช เทียนไพฑูรย์ จำเลยที่ 7 นายโสมนัส ชุติมา จำเลยที่ 8 นายสุวิทย์ อุดมทรัพย์ จำเลยที่ 9 นายวันชัย ธนิตติราภรณ์จำเลยที่ 10 และนายบุญเลิศ ศรีเจริญ จำเลยที่ 11
       
       กลุ่มคณะกรรมการบริหาร คือ ร้อยโทสุชาย เชาว์วิศิษฐ์จำเลยที่ 2 นายวิโรจน์ นวลแข จำเลยที่ 3 และนายมัชฌิมา กุญชร ณ อยุธยา จำเลยที่ 4
       
       กลุ่มนิติบุคคลทั้งหมด คือ บริษัทอาร์เคฯ โดยนายบัญชา ยินดี และ นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 18 บริษัทโกลเด้นฯ โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา และนายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 19 บริษัทกฤษดามหานครฯ โดยนางปรานอม แสงสุวรรณเมฆา และนายธเนศวร สิงคาลวณิช นายรัชฎากฤษดาธานนท์จำเลยที่ 20 บริษัทโบนัสบอร์น จำกัด โดยนายชุมพร เกิดไพบูลย์รัตน์ จำเลยที่ 21 บริษัทแกรนด์คอมพิวเตอร์ แอนด์คอมมูนิเคชั่น จำกัด โดยนายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 22
       
       กลุ่มผู้แทนนิติบุคคลเป็นการส่วนตัวทั้งหมด คือ นายสุบิน แสงสุวรรณเมฆา จำเลยที่ 23 นายบัญชา ยินดี จำเลยที่ 24 นายวิชัย กฤษดาธานนท์จำเลยที่ 25 นายรัชฎากฤษดาธานนท์จำเลยที่ 26 นายไมตรี เหลืองนิมิตมาศ จำเลยที่ 27
       
       กลุ่มนักการเมือง คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกาฯ จึงให้ออกหมายจับ ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณไว้เป็นการชั่วคราว


ย้อนเส้นทางชีวิตวาณิชธนกิจ - แบงเกอร์มืออาชีพ “วิโรจน์ นวลแข”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

        ASTVผู้จัดการ - ย้อนรอยเส้นทางชีวิต “วิโรจน์ นวลแข” จากนายแบงก์สู่วาณิชธนกิจเบอร์ 1 ของประเทศ ก่อนรับภาระใหญ่ขี่หลังเสือในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่กรุงไทย วิบากกรรมก่อตัวหลังทักษิณขึ้นนายกฯ และฉกฉวยโอกาสครอบงำกรุงไทยจนไปสู่คดีปล่อยกู้กฤษดามหานครเอื้อประโยชน์ให้ พวกพ้อง
       
       วิโรจน์ นวลแข เข้ามาทำงานในธนาคารกรุงไทย เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 (รัฐบาล ทักษิณ ชินวัตร) ตามสัญญาจ้างในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่ 3 ปี
       
       ในเวลานั้น วิโรจน์ ถูกตั้งความหวังไว้ค่อนข้างสูงว่า เขาจะสามารถพลิกฐานะของธนาคารกรุงไทยจากรัฐวิสาหกิจที่มีระบบการทำงานล้า หลังแบบราชการ ให้กลายเป็นธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ มีความพร้อมรับการแข่งขันกับธนาคารต่างชาติ ซึ่งกำลังรุกหนัก เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ รวมถึงสามารถสร้างบทบาทให้ธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารผู้นำ (Lead bank) ในระบบธนาคารไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นบทบาทที่รัฐบาลชุดนี้กำลังต้องการอย่างยิ่ง
       
       “ในช่วงเวลาสั้น ๆ 3 ปี ผมคงจะต้อง ทำอะไรที่เป็นงานใหญ่ ๆ ของกรุงไทยเยอะ ต้องทำให้เห็น แม้ทำไปก็ถูกเสียงด่าไปก็ต้อง ทำ” วิโรจน์บอกกับ “ผู้จัดการ”
       
       ระยะเวลา 3 ปี ที่คณะกรรมการธนาคารกรุงไทย เสนอให้กับวิโรจน์แม้จะสั้น แต่กลับตรงกับความต้องการของเขา เพราะงานที่ธนาคารแห่งนี้ เขาไม่ต้องการจะทำอะไรที่ต้องใช้เวลายาวนานในการพิสูจน์เหมือนกับที่เขาเคย ได้พิสูจน์ตัวเองมาแล้ว ที่บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ภัทรธนกิจ ซึ่งเขาสามารถสร้างบริษัทการเงินแห่งนี้ให้เติบใหญ่ กลายเป็นวาณิชธนกิจชั้นนำที่ได้มาตรฐานทัดเทียมกับ Investment banking firm ใหญ่ ๆ หลายแห่งจากต่างประเทศ แต่ด้วยฝีมือการบริหารของผู้บริหารชาวไทย ในช่วงไม่กี่ปี ก่อนที่ประเทศไทยต้องประสบกับวิกฤต
       
       • จุดเริ่มแบงก์กสิกร-ทำงานร่วมหม่อมอุ๋ย
       
       วิโรจน์เริ่มงานครั้งแรกในฝ่ายต่างประเทศ ธนาคารกสิกรไทย ในปี 2515 หลังจากจบปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
       
       ที่ธนาคารกสิกรไทย เขาทำงานในช่วงสั้น ๆ มีหัวหน้าคนเดียว คือ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล “ผมโตในกสิกรไทยมากับคุณอุ๋ยตลอด”
       
       ในช่วงที่วิโรจน์เพิ่งเข้าไปเริ่มงานนั้น กำลังอยู่ในช่วงข้อต่อที่ ทางการเริ่มเข้ามาจำกัดบทบาท โดยพยายามแยกธุรกรรมหลัก ๆ ที่จะกำหนดให้ธนาคารสามารถทำได้ เช่น การรับเงินฝาก ปล่อยสินเชื่อ และเปิดแอล/ซี
       
       ขณะที่บางธุรกิจอย่างเช่น เช่าซื้อ และการซื้อลดเช็ค ถูกห้ามอย่างเด็ดขาด ข้อจำกัดดังกล่าว ทำให้เกิดช่องว่างในการทำธุรกิจการเงิน ส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย จำเป็นต้องเพิ่มใบอนุญาตในการทำธุรกิจการเงินประเภทใหม่ คือ ธุรกิจเงินทุน เพื่อแยกการดำเนินกิจการ และการกำกับดูแลให้ชัดเจน
       
       แต่ปรากฏว่าผู้ที่เข้ามาขอรับใบอนุญาตประเภทใหม่ ส่วนใหญ่ก็คือ กลุ่มผู้ที่ถือหุ้นใหญ่ อยู่ในธนาคารพาณิชย์อยู่แล้ว เพราะทุกรายต่างก็ต้องการแขนขาในการทำธุรกิจการเงินให้ครบวงจร
       
       ตระกูลล่ำซำ ผู้ถือหุ้นใหญ่ในธนาคารกสิกรไทย ก็ไม่แตกต่างจากคนอื่นๆ ในปี 2512 ตระกูลล่ำซำได้ร่วมทุนกับแบงเกอร์ทรัสต์ ตั้งบริษัททิสโก้ขึ้นเพื่อขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ เงินทุนจากทางการ
       
       ตระกูลล่ำซำ หวังว่า ด้วยเทคโนโลยีและโนว์ฮาวจากผู้ร่วมทุน ซึ่งเป็น Investment banking firm รายใหญ่จากสหรัฐฯ แห่งนี้ จะส่งผลให้แขนขาทางการเงินที่แตกแขนงออกมา ใหม่สามารถดำเนินการได้ประสบผลสำเร็จ
       
       หลังร่วมทุนกับแบงเกอร์ ทรัสต์ ได้เพียง 3 ปี ตระกูลล่ำซำก็ต้องการมีแขนขาทางธุรกิจเงินทุนเพิ่มขึ้น แต่ใบอนุญาตที่จะขอใหม่ จะไม่มีการร่วมทุนกับต่างประเทศ เป็นการดำเนินการโดยธนาคารกสิกรไทย และคนในตระกูลล่ำซำเอง
       
       • เข้าสู่เส้นทาง “วาณิชธนกิจ” - ภัทรธนกิจโบรกเกอร์ในตำนาน
       
       ในปี 2515 ธนาคารกสิกรไทยและตระกูลล่ำซำ ก็ได้รับใบอนุญาตธุรกิจเงินทุนเพิ่มมา อีก 1 ใบ เพื่อเปิดเป็นบริษัทภัทรธนกิจ วิโรจน์ถูกมอบหมายให้เข้าร่วมกับทีมงานในบริษัทนี้ หลังจากนั้นเขาก็อยู่ที่นี่มาตลอด
       
       ภัทรธนกิจที่เขาเข้าไปเป็นผู้บริหาร ค่อย ๆ เติบโตขึ้นมา พร้อม ๆ กับระบบสถาบันการเงินของไทยที่มีการพัฒนาขึ้นมาเป็นลำดับ
       
       เมื่อเศรษฐกิจของไทยเริ่มเข้าสู่ระบบสากล ได้เกิดธุรกิจการเงินรูปแบบใหม่ ๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น ภัทรธนกิจสามารถปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้อย่างดี
       
       พัฒนาการของธุรกิจเงินทุนในยุคเริ่มต้น ส่วนใหญ่จะเป็นธุรกิจที่เรียกว่า Consumer finance เพื่อสอดตัวเข้าไปในช่องว่างที่ธนาคารพาณิชย์ทำไม่ได้ เช่นการให้สินเชื่อเช่าซื้อ และซื้อลดเช็ค การปล่อยสินเชื่อก็ให้กับโครงการเล็ก ๆ ที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันมีมาตรฐานต่ำกว่าธนาคารพาณิชย์
       
       หลังจากมีการจัดตั้งตลาดหลักทรัพย์ แห่งประเทศไทย ในปี 2518 ธุรกิจเงินทุนส่วน ใหญ่ จะได้รับใบอนุญาตทำธุรกิจหลักทรัพย์ พ่วงเข้ามาด้วย ทิศทางของธุรกิจก็เริ่มเปลี่ยน
       
       “ตอนนั้นการทำ consumer finance มันเป็นเรื่องยุ่งยาก และการแข่งขันมีสูง ทุกคนก็เลยไปเล่นกับ Corporate finance เพราะ match กับอีก license หนึ่ง คือ license หลักทรัพย์ พอ match กัน ทุกคนก็โตมา ด้วย Corporate finance แล้วก็ลืม Consumer finance” วิโรจน์เล่า
       
       Corporate finance ในความหมายของเขาคือการเป็น Investment banker มีบทบาทในการเข้าไปเป็นที่ปรึกษาทางการเงินอย่างครบวงจรให้กับโครงการธุรกิจ ขนาดใหญ่ เริ่มตั้งแต่การระดมทุน จัดหาแหล่งเงินทุน การร่วมปล่อยกู้ การนำหุ้นเข้าตลาดหลักทรัพย์ ตลอดจนเป็น underwriter การทำ Corporate finance แม้จะเริ่มต้นอย่างกระท่อนกระแท่น ตามภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ แต่หลังจาก พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ธุรกิจนี้ได้เฟื่องฟูอย่างสุดขีด โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 2530 - 40 ซึ่งเป็นช่วงบูมที่สุดของตลาดหุ้นไทย การทำ Corporate finance ได้รับความนิยมจากสถาบันการเงินอย่างมาก เพราะมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นมากมาย และนักธุรกิจแต่ละคนไม่ห่วงเรื่องเงินทุน เพราะเชื่อว่าสามารถเข้าไประดมจากตลาดหุ้นได้โดยง่าย
       
       รายได้จากการทำ Corporate finance ช่วงนั้นสูงมาก จนธนาคารพาณิชย์ทุกแห่ง ต้องขอเข้ามาร่วมแบ่งเค้กก้อนนี้ด้วย แม้จะมีความคล่องตัวน้อยกว่าธุรกิจเงินทุน
       
       ผลการดำเนินงานของภัทรธนกิจที่แสดงออกมาในช่วงนี้ เปรียบเทียบกับทิสโก้ ซึ่งมีฐานผู้ร่วมทุนจากต่างชาติ กลับไม่ได้น้อย หน้าไปกว่ากัน ทั้ง ๆ ที่ภัทรธนกิจเป็นบริษัทที่บริหารงานโดยคนไทยล้วน ๆ
       
       หลังจากประเทศไทยต้องเข้าสู่วิกฤต จากการลอยตัวของค่าเงินบาท ในปี 2540 โครงการขนาดใหญ่ต่างล้มหายตายจากลง สถาบันการเงินที่ยังคงเหลืออยู่ ทั้งบริษัทเงินทุน และธนาคารพาณิชย์ จำเป็นต้องเปลี่ยน ทิศทางการทำธุรกิจอีกครั้ง
       
       เป้าหมายที่ทุกคนมองตรงกัน คือ หันกลับมาทำ Consumer finance ซึ่งเป็นธุรกิจการเงินหลักแต่ดั้งเดิมที่เคยทำมา แต่ทุกคนลืมไปหมดแล้วในยุคฟองสบู่
       
       ธุรกิจนี้ในความเห็นของวิโรจน์แล้ว ภัทรธนกิจตกอยู่ในฐานะลำบาก เพราะเสียเปรียบธนาคารพาณิชย์ทุกด้าน ในปี 2542 เขาจึงตัดสินใจคืนใบอนุญาตธุรกิจเงินทุนให้ กับแบงก์ชาติ
       
       “เราเป็นเจ้าเดียวที่ขอปิด เพราะเราเห็นว่า run ต่อไป ก็สู้เขาไม่ได้ ตอนนั้นเราเหนือกว่าโรงรับจำนำนิดหน่อย แล้วเราอยู่ใต้ธนาคารพาณิชย์ และเรา run ด้วย cost ที่แพงกว่า ที่ผ่านมาเรา run บน Corporate finance พอ Corporate finance มันตายหมด เราเลิกดีกว่า ขืนทำต่อไปตายแน่”
       
       • ภารกิจท้าทายขี่หลังเสือแบงก์กรุงไทย
       
       ช่วงเวลาหลังคืนใบอนุญาตธุรกิจเงิน ทุนให้กับแบงก์ชาติ วิโรจน์เหลือตำแหน่ง เพียงประธานกิตติมศักดิ์ บริษัทหลักทรัพย์เมอร์ริล ลินช์ ภัทร แต่บทบาทของเขากลับมา เด่นมากในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ และที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลังจนกระทั่งมารับตำแหน่งในธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นธนาคารที่มีหลายสิ่งหลายอย่างกำลังรอท้าทายเขาอยู่
       
       ธนาคารกรุงไทย เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 2 รองจากธนาคารกรุงเทพ
       
       เขาเข้ามารับตำแหน่งในธนาคารกรุงไทย ในช่วงที่ระบบธนาคารพาณิชย์ของไทย อยู่ ระหว่างการคลำหาทิศทางธุรกิจให้กับตนเอง หลังจากต้องเป๋ไประยะใหญ่ เมื่อเผชิญกับภาวะวิกฤติจนถึงขั้นเกือบล่มสลาย
       
       ธนาคารพาณิชย์หลายแห่ง ยังเข็ดขยาดกับการปล่อยสินเชื่อ เพราะกลัวจะกลายเป็น หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ โดยต้องยอมรับภาระจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากไปก่อน หวังเพียงว่า อีกไม่นาน เศรษฐกิจโดยรวมอาจจะดีขึ้น
       
       การลงเล่นตลาดล่าง หรือการเบนเข็มมาสู่ Consumer finance ดูเหมือนจะเป็นทิศทางเดียวที่มองเห็นชัดที่สุดในขณะนี้ แต่ทิศทางนี้ก็ต้องเจอกับคู่แข่งสำคัญ คือ ธนาคารพาณิชย์ต่างชาติ และธุรกิจการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารพาณิชย์ (non-banking) ที่มาจากต่างชาติเช่นกัน ซึ่งอาศัยช่องว่างในช่วงที่เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับวิกฤติ สอดแทรกตัวเองเข้ามามีบทบาทในตลาด
       
       ทั้งธนาคารต่างชาติ และบริษัทที่เป็น non-banking มีความได้เปรียบธนาคารพาณิชย์ ของไทยทั้งทางด้านเทคโนโลยี และฐานเงินทุน และกำลังรุกอยู่ในตลาด Consumer finance อยู่แล้วอย่างต่อเนื่อง
       
       ขณะเดียวกัน ในฐานะเป็นรัฐวิสาหกิจ รัฐบาลก็ต้องการให้ธนาคารกรุงไทยเป็นกลไกสำคัญ สามารถเล่นบทบาทผู้นำในการนำแนวคิดเชิงนโยบายลงไปสู่ภาคปฏิบัติจริง
       
       ภายใต้ข้อจำกัด 3 ปี ของอายุงานของวิโรจน์ การสร้างให้ธนาคารกรุงไทยกลับมายิ่งใหญ่ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่หลายคนต้องการ เป็นสิ่งที่ท้าทายยิ่ง
       
       ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว เขาจำเป็นต้องจัดการกับปัญหาในธนาคารกรุงไทยให้เสร็จไปทีละอย่าง
       
       ทันทีที่เขาเข้ารับตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม เขาได้ประกาศอย่างชัดเจนว่าธนาคารกรุงไทย จะเป็นผู้นำในการขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากให้กับผู้ฝากเงินในช่วงปลายปี
       
       หลังจากนั้นไม่นาน เขาออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินชิ้นใหม่ เป็นโครงการให้สินเชื่อ ซื้อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 4% ทั้ง 2 เรื่องที่เขาประกาศออกมา ได้สร้างความตื่นตัวให้เกิดขึ้นในระบบธนาคารพาณิชย์ ที่นิ่งเงียบมานาน ต้องเริ่มขยับตัว ธนาคารหลายแห่ง ต้องกลับมานั่งทบทวนการวิเคราะห์แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยใน อนาคตกันใหม่อีกครั้ง
       
       ธนาคารบางแห่ง เช่น ธนาคารกสิกรไทย กระโดดลงมาร่วมเล่นกับโครงการสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำด้วย โดยออกโครงการที่คล้ายคลึงกัน แต่ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำกว่าเพียง 3.75%
       
       สิ่งที่วิโรจน์ทำเปรียบเสมือนการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกถึง 2 ตัว เพราะในทางหนึ่ง เขาสามารถเล่นบท Lead bank ได้ตามความต้องการของรัฐบาล ขณะเดียวกัน สิ่งที่เขาทำ ก็คือ ความพยายามในการปล่อยสินเชื่อเข้าไปในระบบ ตลอดจนการลดช่วงห่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ และทำให้ทิศทางของดอกเบี้ยเงินฝากเริ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลนี้ค่อนข้างปวดหัวอย่างมากในช่วงรับตำแหน่งใหม่ ๆ
       
       “ธนาคารกรุงไทยไม่เคยเป็น Lead bank มาตลอด แต่จะเป็นลักษณะ Trouble shooter bank มากกว่า พอที่ไหนมีปัญหา ที่นี่ก็จะเข้าไปทำให้จนปัญหาเหล่านั้นจบ แม้ในช่วงนี้ เราจะยังไม่ได้เป็น Lead bank เต็มตัวนัก แต่เราก็สามารถสร้างความฮือฮาได้หลายเรื่อง” เขาบอก
       
       ด้านการบริหารงาน เขาก็พยายามแก้ จุดอ่อนให้กับธนาคารกรุงไทย เขายืนยันว่า สิ่งที่จะไม่เกิดขึ้นในช่วงการรับตำแหน่งของเขา คือ การปิดสาขาที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ และการลดพนักงาน เพราะความที่ธนาคารกรุงไทยเป็นของรัฐ จึงจำเป็นที่จะต้องมีสาขาอยู่ ในพื้นที่ที่ธนาคารพาณิชย์อื่น ๆ ไม่มี
       
       “เราเคยถูกขอร้องให้ไปอยู่ในหลาย ๆ แห่งที่บริการของธนาคารไม่มี และมันก็เป็นผลที่ให้เราต้องไปอยู่ ซึ่งพวกนั้นเราปิดไม่ได้เลย ถ้าปิดเขาก็ขาดระบบธนาคาร เราจะทำ ได้อย่างเดียว คือ รวมสาขาที่อยู่ในเมืองที่มี สาขามากเกินไป”
       
       ส่วนเรื่องพนักงาน เขามีเหตุผลที่จะไม่มีการปลดว่า “ค่าใช้จ่ายของพนักงานเป็น แค่ 20% ของรายจ่ายในการ operation ทั้ง หมด เพราะฉะนั้นแม้เราจะลดคนไปครึ่งหนึ่ง เราก็ลด cost ไปได้แค่ 10% ดังนั้นเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาทางด้านสังคม และปัญหากับการจัดการ เราจะไม่แตะ แต่เราจะไปลดพวกค่า โสหุ้ยของเราตามที่ต่าง ๆ ให้มันลดลง”
       
       สิ่งที่เขากำลังทำในขณะนั้น คือ การจัดการกับสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ให้ เป็นรายได้ โดยพยายามขายอาคารสำนักงาน ใหญ่ที่มีอยู่ถึง 12 แห่งออกไปให้หมด
       
       “office และเครื่องใช้ ที่เราใช้อยู่แล้ว ไม่ก่อให้เกิดรายได้ เราก็จะขายทิ้งให้หมด แม้แต่สำนักงานใหญ่ที่เรามีอยู่ 12 แห่ง ซึ่งมันมากไปสำหรับการติดต่อค้าขาย เราก็พยายามที่จะเอาออกไป”
       
       การจัดการกับทรัพย์สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ถือเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะก่อนหน้าเขาเข้ามา รัฐบาลได้แก้ปัญหาให้กับธนาคาร แห่งนี้ไประดับหนึ่งแล้ว โดยโอนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้กว่า 3 แสนล้านบาท ออกไปยังบริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท ทำให้ธนาคารกรุงไทยในช่วงที่วิโรจน์เข้ามาบริหาร มีสภาพเป็น Clean bank เกือบเต็มตัว
       
       สิ่งที่เขากำลังจะทำต่อไป คือ การจัดการภายใน โดยเขาวางแผนไว้ว่าจะปรับระบบคอมพิวเตอร์ และปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานในธนาคารแห่งนี้ใหม่ ให้มีสภาพใกล้เคียงกับธนาคารเอกชน ซึ่งจะเริ่มต้นทำในปีหน้า
       
       แต่สิ่งสำคัญที่เขาต้องการให้เกิดขึ้นโดยเร็วที่สุดในช่วงนี้ คือ การสร้างบทบาทใหม่ให้ธนาคารกรุงไทยเป็นธนาคารชุมชน โดยการลงไปปล่อยสินเชื่อในระดับ Micro finance
       
       “เราจะไม่ทำ Retail finance เราจะลงมาที่ Micro finance ที่เราเรียกว่าธนาคารชุมชน อันนี้ก็เป็นโจทย์สำคัญอีกอัน ที่จะเรียกได้ว่าเราจะ lead ลงไปให้ถึงระดับรากหญ้า”
       
       โครงการนี้ เดิมเคยมีการศึกษาไว้ตั้งแต่ มีชัย วีระไวทยะ เป็นประธานกรรมการ เมื่อ 3 ปีก่อน แต่ถูกพักไว้ในช่วงหลัง
       
       ธนาคารชุมชน คือ การลงไปให้สินเชื่อในระดับกลุ่มบุคคลที่ประกอบอาชีพเป็นผู้ผลิตสินค้าทั้ง ภาคการเกษตร และอุตสาหกรรม ซึ่งในเวลานั้นประเทศไทย มีกลุ่มลักษณะนี้ประมาณ 30,000 กลุ่ม
       
       ในแง่ของกลุ่มเป้าหมาย โครงการธนาคารชุมชนจะมีระดับสูงกว่าโครงการธนาคารประชาชนของธนาคารออมสิน และโครงการสินเชื่อเพื่อพ่อค้าแม่ค้าของธนาคารทหารไทย ที่ได้เปิดตัวออกมาก่อนหน้านี้
       
       “ธนาคารประชาชนอาจจะเป็นอะไรที่ย่อยกว่าในการดำรงชีวิต แต่นี่เราพูดถึงการผลิต จริง ๆ ที่เป็นรากเหง้าของประเทศ และพวกนี้จะพัฒนาไปสู่ SMEs ต่อไป เมื่อมันแข็งแรงขึ้น แล้ว ผู้ผลิตจริง ๆ ที่เราพูดถึง คือ สินค้าที่ในระยะต้นผลิตแล้วสามารถนำไปขายในตลาดอื่นได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องอยู่ในตลาดของตัวเอง เพราะฉะนั้นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดของตัวเอง เช่น ร้าน อาหาร จะไม่ใช่เป้าหมาย แต่จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์แบบกลุ่มเกษตรกรโคนม โคเนื้อ หรือกลุ่มเลี้ยงเป็ดเลี้ยงไก่ หรือผลผลิตทางหัตถกรรม หรือผ้าไหม หรืออาหารแห้ง อาหารสดที่มันสามารถจะส่งออกไปได้”
       
       วิโรจน์ เห็นว่า โครงการธนาคารชุมชน มีความจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับสภาพเศรษฐกิจของไทย ที่กลับมาสู่สภาพการเป็นประเทศยากจนอีกครั้ง
       
       ที่สำคัญ เป็นโครงการที่สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลและหากทำสำเร็จ จะเป็นจุดขายที่สำคัญของธนาคารกรุงไทยในอนาคต
       
       “ตลาดนี้ ธนาคารต่างประเทศคงไม่สามารถลงมาเล่น และเขาไม่มีโนว์ฮาวที่จะลงด้วย เพราะคนที่จะลง จะต้องพูดภาษาพื้นบ้านได้ และสามารถอยู่กับชาวบ้านได้ จะได้รู้ว่าชาวบ้าน เขาต้องการอย่างไร”
       
       เขาสามารถผลักดันให้บอร์ดธนาคารกรุงไทยเห็นชอบการจัดตั้งหน่วยงาน ใหม่ ที่เรียกว่า หน่วยงานธนาคารชุมชนได้สำเร็จแล้ว เหลือเพียงขั้นตอนลงไปศึกษาถึงรายละเอียด ของโครงการแต่ละโครงการ และคาดว่าจะเริ่มต้นให้สินเชื่อได้ในช่วงต้นปีหน้า
       
       ภารกิจนี้ เขามั่นใจว่า เขาสามารถทำให้เกิดผลสำเร็จได้ภายในระยะเวลา 3 ปีที่ดำรงตำแหน่ง
       
       • กรุงไทยในเงื้อมมือทักษิณ - วิบากกรรมวิโรจน์
       
       เส้นทางชีวิตการทำงานของ วิโรจน์ นวลแข ตั้งแต่ต้นจนเกษียณอายุในปัจจุบัน กล่าวได้ว่ารับการยอมรับจากแวดวงธุรกิจธนาคารและหลักทรัพย์เป็นอย่างสูงใน ฐานะนักบริหารมืออาชีพ และความเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจ เผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจมาอย่างโชกโชน
       
       การเข้ารับตำแหน่งในธนาคารกรุงไทย ธนาคารที่ได้ชื่อว่ามีการเมืองเข้ามาครอบงำมาตลอดถือเป็นภารกิจท้าย ๆ ที่ท้าทายความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิตก่อนที่จะล้าง มือในอ่างทองคำ
       
       ทว่า เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีและบริหารประเทศ เค้าลางวิบากกรรมของวิโรจน์จึงก่อตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ ซึ่งเวลานั้นต่างทราบกันดีว่าทักษิณและพวกพ้องครอบงำทุกอย่างในระบบเศรษฐกิจ รวมไปถึงกรุงไทย จนมาถึงการปล่อยกู้ให้กฤษดามหานคร
       
       การไต่สวนคดีนี้ใช้เวลานานกว่า 3 ปี วันนี้ (26 ส.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ จำเลยที่ 1 หนีคดีไปนานแล้ว ขณะที่ วิโรจน์ ในวัย 68 ปีถูกตัดสินคดีให้จำคุก 18 ปี ร่วมกับจำเลยคนอื่น ๆ
       
       ย้อนไปดูคดีนี้ จุดเริ่มมาจาก บริษัท กฤษดามหานคร ที่ผู้บริหารมีสัมพันธ์อันดีกับทักษิณ มาขอกู้เงินจากธนาคารกรุงไทย และได้รับการอนุมัติ 9,900 ล้านบาท เมื่อปี 2546 ทั้ง ๆ ที่ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจ จัดอันดับความเสี่ยงสูงสุด คือ ไม่สามารถอนุมัติเงินกู้ได้
       
       คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ซึ่งเคยตรวจสอบเรื่องนี้ระบุว่า พบว่า การปล่อยกู้ครั้งนั้นซับซ้อน และไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่แจ้งไว้ โดยเฉพาะการปรับโครงสร้างหนี้ แต่กลับนำไปขยายการลงทุน และเพิ่มราคาหุ้น ทั้งที่ บริษัทกำลังประสบปัญหาสภาพคล่อง
       
       คตส. ระบุว่า ในการปล่อยกู้นี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร สมัยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจหน้าที่และความสัมพันธ์ส่วนตัวกับบริษัท กฤษดามหานคร กดดันให้คณะกรรมการบริหารของธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจของกระทรวงการคลังปล่อยกู้ จนเกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 5,200 ล้านบาท
       นอกจากนักธุรกิจในเครือบริษัทกฤษดามหานครที่ได้รับประโยชน์ นายพานทองแท้ ชินวัตร ก็ได้รับเงินจากการปล่อยกู้ที่ผิดปกติครั้งนี้ด้วย โดยนายพานทองแท้ได้รับเช็คจากลูกชายของผู้บริหารกฤษดามหานคร เพื่อร่วมทำธุรกิจอื่น ทั้งนี้ นายพานทองแท้ เคยปฏิเสธ และระบุโอนเงินกลับคืนให้แล้ว
       
       พลันนี้ ระหว่าง ทักษิณ - วิโรจน์ มีเครื่องหมายคำถามถึงความสัมพันธ์ แต่ใครที่รู้จักมักคุ้นกับวิโรจน์ นวลแข จะทราบดีว่า ระหว่างเขากับทักษิณ นั้นไม่มีเยื่อใยไมตรีแก่กันทางใคร ทางมัน มานานแล้ว


ย้อนรอย 'วิโรจน์ นวลแข' ก่อนวันพิพากษาจำคุก18ปี

โดย :



ย้อนรอยเส้นทาง "วิโรจน์ นวลแข" ก่อนวันพิพากษาจำคุก18ปี คดีปล่อยกู้แบงก์กรุงไทย

คำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเงินที่ พิพากษาให้ นายวิโรจน์ นวลแข กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ต้องโทษจำคุก 18 ปี ฐานอนุมัติสินเชื่อกว่า 8,000 ล้านบาท ให้กับบริษัทในเครือกฤษฎามหานคร ที่นำเงินไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนตัว

กล่าวสำหรับ วิโรจน์ นวลแข ในวัย 68 ปี เส้นทางการทำงานของวิโรจน์ นวลแข ส่วนใหญ่จะอยู่ในแวดวงตลาดทุนเป็นหลัก เริ่มต้นทำงานฝ่ายต่างประเทศ ธ.กสิกรไทย จนก้าวนั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัทเงินทุนภัทรธนกิจ เมื่อปี 2525 ถือเป็นไฟแนนซ์แถวหน้าของไทย และเป็นไฟแนนซ์เพียง 3 รายที่รอดจากการถูกปิดกิจการในปี 2540

หลังจากนั้นวันที่ 9 กรกฎาคม 2544 เขาก็รับงานใหญ่อีกครั้งมานั่งเป็นกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารที่มีสินทรัพย์ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของไทย

วิโรจน์มาด้วยความมั่นใจว่าจะพลิกโฉมกรุงไทยให้เป็นธนาคารแถวหน้าแข่งขันกับแบงก์พาณิชย์ได้ เหมือนกับที่เขาทำให้ภัทรเป็นไฟแนนซ์ชั้นนำ

นโยบายการทำธุรกิจของธนาคารกรุงไทยในยุดวิโรจน์ที่โด่งดัง ก็คือ แคมเปญ “อัศวินม้าขาว” เขาทำนโยบายปล่อยกู้ลูกค้าที่เป็นเอ็นพีแอล เพื่อหวังช่วยให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้และมีส่วนช่วยฟื้นเศรษฐกิจ แต่กรณีของการปล่อยกู้บริษัทในเครือกฤษฎามหานครนั้น วงเงิน 8 พันล้านบาท ต้องเป็นการอนุมัติโดยบอร์ดใหญ่ที่มีกรรมการผู้จัดการกรุงไทยเป็นคนเสนอเรื่อง

สำหรับคดีดังกล่าวยื่นฟ้องในสมัยของนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ ดำรงตำแหน่งอัยการสูงสุด เมื่อวันที่ 13 มิ.ย.2555 โดยอัยการสูงสุด ได้รวบรวมพยานหลักฐานจากสำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) จำนวน 150 แฟ้ม 17 ลัง ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ 1 และจำเลยอีก 4 กลุ่ม ประกอบด้วยกรรมการบริหาร , กรรมการสินเชื่อ , เจ้าหน้าที่สินเชื่อของธนาคารกรุงไทย จำกัด ( มหาชน) และกลุ่มบริษัทเอกชน ในความผิดฐานเป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157,ความผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 ,ความผิด พ.ร.บ.การธนาคารพาณิชย์ พ.ศ.2505 ,ความผิด พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และ ความผิด พ.ร.บ.บริษัท มหาชน จำกัด พ.ศ.2535  

โดยศาลฎีกาฯ ได้ประทับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อม.3/2555 แต่เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ อดีตนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 1 หลบหนีคดี ศาลฎีกา ฯ จึงให้ออกหมายจับ ติดตามตัว พ.ต.ท.ทักษิณ มาดำเนินคดี โดยให้จำหน่ายคดีเฉพาะส่วนของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไว้เป็นการชั่วคราวก่อนจนกว่าจะได้ตัวมา ขณะที่องค์คณะ ฯ ได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีในส่วน นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้จัดการธนาคารกรุงไทย และบริษัทในเครือของบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) กับพวกรวม 26 ราย โดยองค์คณะฯ ได้เริ่มไต่สวนพยานตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.56 และได้ไต่สวนพยานปากสุดท้ายเสร็จสิ้นเมื่อวันที่ 8 ก.ค.58 รวมระยะเวลาประมาณ 1 ปี 9 เดือน ซึ่งได้ใช้เวลาไต่สวนพยานทั้ง 2 ฝ่าย รวม 32 นัด ขณะที่คดีดังกล่าวฝ่ายอัยการ ยื่นบัญชีพยานไต่สวน 22 ปาก ส่วนจำเลยที่ 2-27 เตรียมพยานไต่สวนรวม 32 ปาก ซึ่งจะเป็นตัวจำเลย 19 ปาก รวมพยานโจทก์-จำเลยที่จะไต่สวนคดีนี้ทั้งสิ้น 54 ปาก  

สำหรับพฤติการณ์คดีนี้ ได้เริ่มทำสำนวนตั้งแต่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) และเมื่อ คตส.หมดวาระก็ได้โอนเรื่องส่งให้ ป.ป.ช.พิจารณาต่อ และได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเมื่อวันที่ 16 มิ.ย.2551 ซึ่งคดีนี้ตามสำนวนได้มีการกล่าวหา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับพวกร่วมกันกระทำความผิด กรณีธนาคารกรุงไทยฯ อนุมัติสินเชื่อจำนวนมากโดยไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ระบบเศรษฐกิจของรัฐ โดยข้อเท็จจริงพบว่า ผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ให้สินเชื่อกลุ่ม บมจ.กฤษดามหานคร ที่มีสถานะอยู่ในกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของธนาคาร เนื่องจาก ผอ.ฝ่ายกลั่นกรองสินเชื่อธุรกิจนครหลวง เคยจัดอันดับความเสี่ยงของกลุ่มกฤษดามหานครในอันดับ 5 คือไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อให้ได้  

ต่อมามีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ และในสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้มีเงื่อนไขระบุว่า บมจ.กฤษดามหานครฯ ไม่สามารถที่จะขอสินเชื่อได้อีก เนื่องจากมียอดขาดทุนสะสมสูง คือมียอดสะสมสูงมาก แต่ได้มีการอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทในกลุ่มกฤษดามหานคร 3 กรณี คือ 1. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทอาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด จำนวนเงิน 500ล้านบาท 2. การอนุมัติสินเชื่อให้บริษัทโกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเทรียล พาร์ค จำกัด วงเงิน 9,900 ล้านบาท (วงเงินไฟแนนซ์ 8,000 ล้านบาท วงเงินซื้อที่ดินเพิ่ม 500 ล้านบาท และวงเงินพัฒนาโครงการ1,400 ล้านบาท) และ 3. การอนุมัติขายหุ้นบุริมสิทธิแปลงสภาพของ บมจ.กฤษดามหานคร ให้กับบริษัท แกรนด์ คอมพิวเตอร์คอมมูนิเคชั่น จำกัด จำนวนเงิน 1,185,735,380 บาท ถือว่าผู้เกี่ยวข้องมีพฤติการณ์ ร่วมกันหรือสนับสนุนการกระทำความผิดกรณีธนาคารกรุงไทย ซึ่งเป็นองค์กรของรัฐ เป็นการกระทำโดยทุจริต เพื่อฟื้นฟูกิจการของ บมจ.กฤษดามหานคร ประโยชน์ส่วนตนกับพวก โดยบริษัทเอกชนผู้ขอกู้ 3 ราย ประกอบด้วย บริษัท อาร์เค โปรเฟสชั่นนัล จำกัด,บริษัท โกลเด้น เทคโนโลยี อินดัสเตรียล พาร์จ จำกัด และ บริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) และกลุ่มบุคคลที่ได้รับประโยชน์จากบริษัทเอกชนดังกล่าว



สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : เปิดคำพิพากษา จำคุก บิ๊กกรุงไทย ทุจริตปล่อยกู้ ยุคทักษิณ

view