จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในขณะนี้จะฝุ่นตลบอยู่กับการแต่งตั้งสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ จำนวน 200 คน และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจำนวน 21 คน แต่มีอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การดำเนินคดีที่มีความเกี่ยวข้องกับครอบครัวชินวัตร

1.เรียกค่าเสียหายในคดีจำนำข้าว เป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดทางอาญา ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ
บุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ ซึ่งคดีอาญาอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง

ส่วนการเรียกค่าเสียหาย ทาง ป.ป.ช.ได้ส่งมาให้รัฐบาลดำเนินการ จากนั้นคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงและกำหนดค่าความเสียหาย และคณะกรรมการว่าด้วยการรับผิดทางแพ่งคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว ที่มีวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน ได้มีมติให้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย มูลค่า 5.1 แสนล้านบาท และเตรียมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ลงนามรับรองภายในวันที่ 30 ก.ย.

หาก พล.อ.ประยุทธ์ ลงนามเมื่อไหร่ จะเป็นหน้าที่ของกระทรวงการคลังในการสั่งให้ผู้กระทำผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ตามมาตรา 12 ของ พ.ร.บ.ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 และข้อ 18 วรรคสอง ของระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ต่อไป

2.คดีทุจริตการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ศาลฎีกาฯ ได้พิพากษาจำคุกอดีตผู้บริหารของธนาคารไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เตรียมลงมือสอบสวนขยายผลเพิ่มเติม พุ่งเป้าไปที่บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเส้นทางการเงิน ประกอบด้วย พานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายทักษิณ ชินวัตร มานพ ทิวารี บิดา น.ต.ศิธา ทิวารี อดีต สส.พรรคเพื่อไทย วันชัย และกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขาฯ ส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร ซึ่งเบื้องต้นดีเอสไอพบว่าเงินถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ 500 ล้านบาท 9,900 ล้านบาท และหุ้นบุริมสิทธิ

พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ ผบ.สำนักคดีอาญาพิเศษ 3 ดีเอสไอ ระบุว่า ดีเอสไอได้ประสานกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า ธปท.ได้ตรวจสอบและวิเคราะห์เส้นทางการเงินจากการปล่อยกู้เกือบทั้งหมดแล้ว จึงมีข้อมูลค่อนข้างครบถ้วนว่าเงินดังกล่าวถูกโอนไปที่บุคคลใดบ้าง ส่วนเรื่องอายุความในคดีดังกล่าวมั่นใจว่าสามารถแจ้งข้อกล่าวหาแก่ผู้เกี่ยวข้องภายในกำหนดอายุความ 15 ปี โดยมูลเหตุในคดีนี้เกิดในช่วงปี 2546-2547 จึงยังเหลืออายุความจนถึงปี 2561

3.คดีสลายการชุมนุม คดีนี้มีจำเลยที่ถูกฟ้องต่อศาลฎีกาฯ ได้แก่ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีต ผบช.น. ในความผิดฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 จากกรณีมีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 โดยคดีนี้มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี

4.คดีการจ่ายเงินเยียวยาเสื้อแดง อยู่ในระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการ ป.ป.ช. ซึ่ง ป.ป.ช.ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่าคณะรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รวม 34 คน หลีกเลี่ยงละเว้นไม่ปฏิบัติให้เป็นไปตาม พ.ร.บ.วิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2502 ทำให้เกิดความเสียหายจำนวน 1,921,061,629.46 บาท จากกรณีจ่ายเงินเยียวยาแก่ผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมทางการเมือง (พ.ศ. 2548-2553) โดยไม่มีอำนาจ เนื่องจากไม่มีกฎหมายรองรับ ซึ่ง ป.ป.ช.ได้ดำเนินการให้ผู้ถูกกล่าวหามารับข้อกล่าวหาแล้ว

5.คดีการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของ สว. แม้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จะมีมติไม่ถอดถอนอดีต สส.พรรคร่วมรัฐบาลจำนวน 248 คน แต่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ดำเนินคดีอาญาควบคู่ไปด้วย โดยมีอดีต สส.พรรคเพื่อไทย จำนวน 3 คน ที่ถูกไต่สวนทางอาญา ประกอบด้วย อุดมเดช รัตนเสถียร คมเดช ไชยศิวามงคล และนริศร ทองธิราช จากกรณีที่ไม่นำเสนอร่างรัฐธรรมนูญฉบับจริงเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาและการเสียบบัตรลงคะแนนแทนกัน จนเป็นเหตุให้ร่างรัฐธรรมนูญที่รัฐสภาลงมติต้องเป็นโมฆะตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้ง 5 คดีข้างต้นน่าจะเพียงพอต่อการมีผลให้พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายของครอบครัวชินวัตรอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบากพอสมควร

สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน