สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

แก้ทุจริตต้องไม่มีพวกพ้อง

จาก โพสต์ทูเดย์

โดย...ธนพล บางยี่ขัน

กลายเป็นมือปราบทุจริตที่มีผลงานชัดเจน สืบเนื่องจากเมื่อครั้งรับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร แม้วันนี้บ้านเมืองจะปรับเข้าสู่โหมดรัฐประหาร แต่ วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ยังทำหน้าที่ขุดคุ้ยเรื่องทุจริตอย่างต่อเนื่อง

ในวันที่ไม่มีตำแหน่งแห่งหนใดๆ การทำงานขุดคุ้ยเรื่องทุจริตยิ่งเป็นไปด้วยความยากลำบาก วิลาศ เปิดใจให้สัมภาษณ์พิเศษ “โพสต์ทูเดย์” ถึงภารกิจล่าสุด กับการเกาะติดเรื่องความไม่โปร่งใสในสภาผู้แทนราษฎรที่ยิ่งสาวลึกยิ่งพบเงื่อนงำมากมาย รวมแล้วนับ 20 เรื่อง มูลค่าความเสียหาย
ร่วม 500 ล้านบาท ทั้งหมดส่งให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เร่งดำเนินการ ยังไม่รวมกับเรื่องใหม่ๆ ที่มีข้อมูลเข้ามาเรื่อยๆ

วิลาศ เริ่มต้นอธิบายถึงจุดเริ่มต้นจับเรื่องทุจริตในสภา ว่า มาจากการคุยกันเล่นๆ ของข้าราชการที่ถามว่านาฬิกาเรือนนี้เป็นอย่างไร เดินดีไหม รู้ไหมราคาเท่าไร พอรู้ว่า 7.5 หมื่นบาท ก็เริ่มสอบ ถ้าเขาไม่บอกก็ไม่รู้ ทั้งที่นาฬิกาติดมาเป็นเดือนแล้ว สุดท้ายนำมาสู่การไล่สอบ

“เป็น สส.มา 27 ปี เพิ่งมารู้ตอนปีที่ 25 ว่ามีการโกงบ้าเลือด ก่อนหน้านั้นก็คิดว่าโกง แต่เราไม่รู้ ตรวจหมดทั้งประเทศไทย ไม่มีกระทรวง ทบวง กรมไหนไม่ตรวจ แต่ใกล้ตัวไม่เคยคิด แต่ที่ไหนได้ยิ่งตรวจยิ่งแสบกว่าที่อื่น พอเริ่มแถลงข่าว ข้อมูลก็ไหลมาเป็นสายน้ำจนสอบแทบไม่ทัน”

เวลานี้มี 2 เรื่องที่ชัดเจนแล้ว คือ เรื่อง “นาฬิกา” ซึ่งตั้งคณะกรรมการสอบเสร็จ ลงโทษทางวินัยเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ปรับเงินเรียบร้อย บทสรุปเรื่องนี้อยู่ที่บริษัทดังกล่าวยกนาฬิกาดังกล่าวให้สภาโดยไม่คิดเงิน ไม่เก็บคืน ซึ่งเวลานี้เสียเกินครึ่ง

ขณะที่ในส่วนของสภาไม่ต้องจ่ายค่านาฬิกา เนื่องจากพบว่าบริษัทดังกล่าวไม่เคยรับงานราชการตามที่ระบุในทีโออาร์ เป็นผลจากการตรวจสอบบริษัทดังกล่าวที่อ้างว่าเคยรับงานจากสนามบินสุวรรณภูมิ แต่เมื่อ กมธ.ไปตรวจ กลับพบว่าไม่จริง เข้าข่ายยื่นเอกสารเท็จ

เรื่องถัดมา คือ การปรับปรุงลานพระบรมรูป เดิมนั้นเป็นหินอ่อนแต่ปี 2551 เปลี่ยนไปเป็นหินแกรนิตวงเงิน 2 ล้านบาท แต่หินอ่อนของเดิมนั้นไม่รู้ไปอยู่บ้านใคร เพราะเป็นหินอ่อนชั้นดี แต่ต่อมามีการทำเรื่องเปลี่ยนจากหินแกรนิตกลับไปเป็นหินอ่อนอิตาลี วงเงิน  14 ล้านบาท แต่จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญบอกว่ามาจากสุโขทัย

เวลานี้ผู้ที่เกี่ยวข้องโดนลงโทษ ขณะที่อีกหลายเรื่องยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของ ป.ป.ช. ทั้งเรื่องเครื่องทำน้ำเย็น ห้องยุทธศาสตร์ 24 ล้านบาท ห้องสื่อมวลชน 5 ล้านบาท การปรับปรุงห้องน้ำ ห้องออกกำลังกาย ที่โรงกษาปณ์ มูลค่าหลายสิบล้านบาท แต่ยังสร้างไม่เสร็จ

วิลาศ เล่าว่า จากการเข้าไปตรวจสอบในช่วงปี 2556-2557 พบว่ามีหลายเรื่องไม่โปร่งใส รวมแล้ว 20 กว่าเรื่อง ส่งไปให้ คสช. ซึ่งประกาศว่าเอาจริงกับเรื่องทุจริตและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ครั้งนั้นเสนอให้ปลดอดีตเลขาฯ สภาผู้แทนราษฎร สุวิจักขณ์ นาควัชระชัย พอแถลงข่าวเสร็จ คืนนั้น คสช.ก็มีคำสั่งปลดทันที แต่ปลดแล้วก็ยังมีเครือข่ายที่เป็นมือทำงานตัวหลักๆ อยู่ครบ

“หลังจากยื่น 4-5 วัน คสช.โทรมาบอก เขาจะส่งเรื่องกลับมาให้สภาสอบ ผมบอกว่าถ้าให้สภาสอบคงไม่สำเร็จ ควรให้ คสช.ตั้งกรรมการสอบเอง แต่อีกสัปดาห์ คสช.ตอบมาว่ากำลังคนไม่พอ จะส่งให้สภา หากมีอะไรให้ผมช่วยแนะนำ ผมก็ตามมาเป็นระยะ 6 เดือน

...ตั้งกรรมการสอบชุดเดียว 20 เรื่อง ชาติไหนจะเสร็จ เดือนหนึ่งประชุมครั้งหนึ่ง พอ 8 เดือน ผมเลยไปร้องประธาน สนช. คุณพรเพชร วิชิตชลชัย ก็เรียกคุณจเร พันธุ์เปรื่อง ไปพบและสั่งให้รายงานความคืบหน้าทุกเดือน ทุกอย่างก็เร็วขึ้นมาหน่อย หลังจากตั้งกรรมการสอบแยกเรื่อง”

วิลาศ กล่าวเสริมว่า หลังจากนั้นมีเรื่องร้องเรียนกรณี เจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร จัดสัมมนา ใช้งบเผยแพร่ประชาธิปไตยแต่ไม่ได้จัดจริง แต่มีการเบิกเงิน เราก็ไปขอเอกสารว่ามีการพาเด็กเข้าสัมมนาหรือไม่ แต่สภาไม่ยอมให้ เหมือนจะปกป้อง ให้มาบางส่วนซึ่งไม่เกี่ยวข้อง ที่สำคัญเราต้องการรายชื่อที่เขาพามาสัมมนาจะได้ไปถามว่ามาจริงหรือเปล่า

“เรารู้แล้วมีคนเอาข้อมูลมาให้ เราก็ไปตรวจดูตารางการเยี่ยมชมรัฐสภา แต่ไม่มีชุดนี้มา พอผมเรียกเอกสารหนักเข้า เขาก็เอาเงินไปคืน ผมก็ร้องต่อประธานพรเพชร เขาบอกว่าเอาเงินคืนแล้วสภาไม่เสียหายเป็นอันยุติ แต่ไม่ใช่ ถ้าผมไม่ท้วงก็เบิกเงินกินฟรีไปแล้วสิ เถียงกันหลายรอบจนเรียกกฤษฎีกามาชี้แจง ก็บอกว่าผิด”

นอกจากนี้ ยังมีอีกกรณีเป็นเรื่องภรรยาของจเร ที่มีรายชื่อเป็นผู้เข้ารับการอบรมในช่วงปี 2556-2557 ในเอกสารลงชื่อจาก 60 ครั้ง รวมแล้วไม่เข้าอบรม 36 ครั้ง ไม่ถึงเกินกึ่งหนึ่ง ตามหลักต้องไม่มีสิทธิไปญี่ปุ่น รวมถึงการประเมินขั้นเงินเดือนที่ประเมินให้ภรรยาตัวเองได้เต็ม 4 ซึ่งทั้งสภามีคนที่ได้คะแนน 4 เต็ม เพียง 3 คน และยังมี พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง ห้ามออกคำสั่งทางปกครองให้คู่หมั้น คู่สมรสตัวเอง ซึ่งการขึ้นเงินเดือนเป็นคำสั่งทางปกครอง จึงส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.

ยกตัวอย่างอีกกรณี อดีตประธานสภาไปตั้งคณะกรรมการรับเรื่องร้องทุกข์ ทั้งที่มีคณะกรรมาธิการพืชผลการเกษตรอยู่แล้ว แต่ไปตั้งขึ้นเพื่อให้ สส.ในพรรคที่สอบตกมานั่งเป็นกรรมการ ซ้ำร้ายกว่านั้นคณะกรรมการข้าราชการฝ่ายรัฐสภา (ก.ร.) ยังไปออกระเบียบว่ากรรมการในกรณีที่ประธานแต่งตั้ง จะได้เบี้ยประชุมในตำแหน่ง ประธานกรรมการ 2,000 บาท รองประธาน 1,800 บาท กรรมการ 1,600 บาท มากกว่า กมธ.ของ สส.ที่ได้เท่ากันคือ 1,500 บาท ส่วนการตั้งอนุกรรมการได้เบี้ยประชุม ประธาน 1,500 บาท รองประธาน 1,200 บาท อนุกรรมการ 1,000 บาท จากอนุกรรมาธิการปกติของ สส.ได้เพียง 800 บาท

สมมติตั้งอนุกรรมการรับร้องทุกข์ จ.กาญจนบุรี  เชียงราย 10 คณะ กรรมการก็มาอยู่ในอนุกรรมการ 7-8 คณะ เบี้ยประชุมสัปดาห์หนึ่ง 2-3 หมื่นบาท เบิกเบี้ยประชุมกันสนุกสนาน กรรมการบางคนตัวใหญ่ได้เบี้ยประชุม เดือนละ 3 แสนบาท คนหนึ่งเป็นสิบคณะ อนุกรรมการประชุมอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ตอนนั้นห้องประชุมต้องเข้าคิวกันยาว

วิลาศ วิเคราะห์ว่า สาเหตุที่ทำให้สภาไม่ถูกตรวจสอบ เพราะสภาเป็นหน่วยงานที่จัดสรรงบประมาณให้ทุกองค์กรในประเทศไทย เพราะฉะนั้นปกติหน่วยงานที่มีหน้าที่ตรวจสอบก็ไม่อยากมายุ่ง วันนี้ ป.ป.ช.จะได้งบเท่าไรก็มาจากสภาตั้งให้เขา เขาจะมาตรวจสภาเดี๋ยวก็จะเดือดร้อน เขาก็ไม่อยากยุ่งเพราะที่ตรงนี้เป็นที่รวมของนักการเมือง สตง., ป.ป.ช. เขาก็มีงานเยอะไปทำตรงอื่นดีกว่ามาทะเลาะกับนักการเมือง 

“เข้าใจว่าฝ่ายการเมืองกับฝ่ายข้าราชการประจำ มันไปด้วยกัน ร่วมมือร่วมใจกันทุจริตพอฝ่ายการเมืองทุจริต ฝ่ายข้าราชการก็ไม่ว่า พอฝ่ายข้าราชการเอาบ้าง ฝ่ายการเมืองก็เอาเหมือนกัน มันก็เหมือนผีกับโลงไปด้วยกัน”

วิลาศ มองว่า วันนี้บรรยากาศในสภาดีขึ้น เมื่อหัวเรือใหญ่ถูกทลายไปหมดแล้ว แต่เครือข่ายที่เหลือก็ต้องจัดการ ทุกวันนี้ยังมีหลายคนที่เกี่ยวข้องแต่ยังลอยหน้าลอยตัวไม่ถูกลงโทษ ส่วนตัวเวลานี้ไม่มีอำนาจเข้าไปสอบอะไรได้ เรียกเอกสารก็ลำบาก จะเชิญใครมาชี้แจงก็ไม่ได้ แค่เรื่องสัมมนาเรื่องเดียวก็ตรวจเหนื่อยแล้ว เพราะสภาเป็นหน่วยงานที่จัดสัมมนามากที่สุด บางคนมีชื่อร่วมสัมมนาเวลาเดียวกัน 5 ที่ มั่วไปหมด

สำหรับกลไกที่จะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ต้องเริ่มจากยกเลิกระบบลูกท่านหลานเธอ คนที่จะเข้ามาทำงานต้องไม่มีการใช้เส้นสาย วันนี้มีจำนวนมากแล้ว และต้องไม่มีการโยกย้ายข้ามสายงาน การประเมินเงินเดือนต้องไม่ถูกแทรกแซงจากคนที่มีระดับใหญ่กว่า ต้องเขียนกติกาให้เคร่งครัด ทำอย่างนี้เพื่อป้องกันไม่ให้หาช่องมุดกัน

“ผมว่าข้าราชการดีๆ มีเยอะ พร้อมส่งข้อมูลให้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาไม่รู้จะส่งไปที่ไหน ผมสังเกตหลังจากเปิดฉากไปเรื่องเดียว ทุกวันนี้ข้าราชการในสภาเกิน 10% ที่รู้ว่าบ้านผมอยู่ไหน เอาจดหมาย เอกสาร หนังสือร้องเรียนส่งมาเยอะ ไม่งั้นเราก็ไม่รู้หรอกว่าจะเลือกสอบโครงการไหน เอกสารพวกนี้ทำให้เรารู้ว่า ถ้าเข้าแก้ไขเปลี่ยนแปลงก็เช็กได้ หรือส่งมาไม่ครบก็ทวงได้”

แม้ คสช.จะประกาศเอาจริงกับการปราบทุจริตคอร์รัปชั่น แต่ว่าผลลัพธ์ที่ออกมายังไม่ได้ดีขึ้น แถมบางแห่งยังจัดว่าแย่กว่าเดิม วิลาศ ประเมินว่า เป็นเพราะเรื่องระบบพวกพ้อง กรณีที่ไปเกี่ยวกับพรรคพวกเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง ก็จะกลายเป็นเรื่องที่ไม่ผิดหมด วันนี้ คสช.ก็ใช้นิสัยเดียวกัน ซึ่งต้องแก้ไขตรงนี้

จำได้ไหม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) จำนวน 2 คน ที่ คสช.ตั้งมาจากอดีตผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยใช้มาตรา 44 ไปไล่ผู้ว่าฯ บึงกาฬ เพราะใช้งบ 97 ล้านบาท ในการจัดซื้อจัดจ้าง แต่กรณีเดียวกันกับผู้ว่าฯ 2 คน ที่ใช้งบเหมือนกันแถมมากกว่าด้วย กลับไม่ถูกไล่ พอไม่ไล่ก็ทำให้อีก 18 คน ที่เกี่ยวข้อง ไม่ถูกเช็กบิลไปด้วย

“ผมถามว่า ถ้าจะปราบจริงๆ น่าจะไปตรวจเรื่องรถถัง 3 สัญชาติ จีที 200 เรือเหาะ ชัดเจนมาก ผมแถลงข่าวก็ถามเรื่องนี้ตลอด เพราะเรื่องนี้เกิดก่อน สมควรดึงมาทำด้วย ถ้าจะเอาจริงเอาจังกับการปราบทุจริต หรือเอาง่ายๆ เรื่องที่เกิดสมัยนี้อย่างไมโครโฟนทำเนียบฯ ผลสอบออกมาไม่ได้บอกว่าไม่ผิด เพียงแต่บอกว่าสอบแล้วไม่มีการทุจริต เพียงแต่ตั้งราคากลางสูงกว่าความเป็นจริง ตกลงตั้งราคากลางสูงกว่าความเป็นจริงไม่ผิดหรือวันนี้ไม่มีบทลงโทษอะไร”

นอกจากนี้ ยังมีกรณี พล.ต.เจนรณรงค์ เดชวรรณ หรือ “เสธ.เจมส์” เรียกเงินแม่ค้าพัฒนพงษ์ วันนั้นถ่ายรูปกันเอิกเกริก แต่วันนี้กลับยังไปไม่ถึงไหน ทั้งที่มีแถลงข่าวจะปราบมาเฟีย ไม่ใช่เพราะพวกหรือ สอบถามไปหลายรอบ รู้ว่าเรื่องเหล่านี้ไปถึงหูนายกฯ หมด

“วันนี้ทุจริตเยอะกว่าสมัยก่อนอีก เกิดอย่างกับดอกเห็ด ไปดูสนามบินเวลาเดินออกมา เรียกค้นกระเป๋าถี่ยิบ ร้านอาหารสนับสนุนให้ปิดในเวลา แต่เดิมเสียตำรวจสองแสน ต้องมาเสียทหารสามแสน มากกว่าตำรวจอีก ผมพูดแบบนี้พรรคเพื่อไทยมาขอหลวงพ่อลาศบอกพูดแบบนี้ กระทุ้งเรื่องปฏิรูปทหารรับใช้ ทำไมไม่เคยโดนเรียกไปปรับทัศนคติ”

วิลาศ อธิบายว่า พล.อ.ประยุทธ์ มีความตั้งใจที่ปราบการทุจริตดี แต่เป็นคนรักพวกพ้อง พวกพ้องบอกทำอย่างนี้เชื่อหมด เคยขัดเพื่อนที่ไหน ดังนั้นแม้จะไปดำเนินการเรื่องนั้นเรื่องนี้ไปเปิดศูนย์ทุจริตอะไรก็เท่านั้น หรือการใช้เรื่องอำนาจตามมาตรา 44 ดำเนินการก็ดีนิดเดียว จะเห็นว่าทำแต่ละเรื่องจะไม่โดนพวกพ้อง ลองสังเกต วปอ.รุ่นเดียวกัน เพื่อนกันได้ดิบได้ดีหมด วปอ.รุ่นเดียวนายกฯ ไม่โกงเลย

“ถ้าจะแก้ต่อไปนี้ต้องไม่มีพวกพ้อง ฟันหมดทุกเรื่อง แค่นี้จบ ตัวแกแน่วแน่อยู่แล้วว่าจะทำ เพียงแต่ว่าวันนี้ดันไปไว้ใจเพื่อน เพื่อนโกงมองไม่เห็น”

อดีตประธาน กมธ.ป.ป.ช. มองว่า มาตรการการแก้ปัญหาทุจริตแบบเร่งด่วน คือ ต้องใช้มาตรา 44 สั่งให้ทุกองค์กรอิสระออกระเบียบวิธีปฏิบัติงาน กำหนดระเบียบของตัวเองว่าแต่ละเรื่องจะต้องทำให้เสร็จกี่วัน เพราะหากปล่อยให้กระบวนการยาวออกไป นานเท่าไรคนก็ยิ่งไม่กลัว หลักฐานเอกสารโดนทำลายหมด

“ผมเคยทำเรื่องให้สอบอธิบดีอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ตั้งแต่ปี 2541 เพิ่งจะมาเรียกพยานสอบเดือน ส.ค. 2558 แล้วอย่างนี้จะหาพยานจากไหนไปชี้แจง ป.ป.ช. เขาก็บอกจำไม่ได้แล้ว แต่ผมร้องเขากลับไม่เรียกผมไปสอบ พยานเขาบอกไม่เอกสารแล้ว ระเบียบราชการต้องเก็บรักษาไว้ 10 ปี ผมไปร้องตั้งแต่สมัยเขายังเป็นซี 8 พอโตขึ้นมา ไม่ทำลายเอกสารหมดแล้วหรือ ไม่มีเอกสารแล้ว คนที่ผมร้อง 2 ใน 11 เป็นอธิบดี ปลดเกษียณหมด อย่างนี้ยกฟ้องแหงๆ”

วิลาศ มองว่า อนาคตเรื่องการปราบปรามทุจริตน่าจะดีขึ้น เห็นได้จากมีคนกล้าให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเรื่องทุจริตมากขึ้น พอไปร้องเรียนเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็มีคนมาให้ข้อมูล คนเริ่มรู้ว่าตัวฉุดความเจริญของประเทศคือการทุจริต วันนี้จะเห็นว่าไปขอความร่วมมือง่ายขึ้น

“ตอนร้องรองผู้ว่าฯ กทม. มีคนโทรมาให้กำลังใจ บอกทำให้เต็มที่พร้อมให้ข้อมูล ข้าราชการ กทม.ให้ข้อมูลเกิน 20 คน ก่อนหน้านี้ บรรยากาศไม่ใช่อย่างนี้”

วิลาศ อธิบายเพิ่มว่า กลไกที่ทำงานการปราบทุจริตเวลานี้มีเยอะอยู่แล้ว แต่ขอให้ทำจริง อย่างล็อบบี้กัน ยกตัวอ่าง ป.ป.ช.เปิดหลักสูตรการป้องกันและปราบปรามการทุจริต จะเห็นว่ามีบางกลุ่มส่งคนไปล็อบบี้ 9 เสือ ขอเป็นอนุฯ อย่างนี้จะไปสอบอะไรได้

ถ้าเห็น ปชป.โกงต้องเอาก่อน

"ผม ถือมาตลอดที่เราปราบทุจริตไม่สำเร็จก็เพราะว่าวันนี้พวกพ้องเราไม่ทำ แต่สำหรับนโยบายผม ผมบอกว่าถ้าเห็นพรรคประชาธิปัตย์โกง ผมต้องเอาก่อน การสอบของผมไม่ผูกพันพรรคทั้งสิ้น พรรคจะมาสั่งไม่ได้ ผมทำตามอำนาจหน้าที่ ไม่มีอคติกับใครทั้งสิ้น ถ้าวันนี้พอพรรคตัวเองไม่ผิด แต่พรรคอื่นผิดหมด ผมว่าสังคมรับไม่ได้"

วิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต สส.กทม.ประชาธิปัตย์ ออกตัวเมื่อถามถึงเบื้องหน้าเบื้องหลังการเข้าไปขุดคุ้ยปัญหาทุจริตในกรุงเทพมหานคร ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทำนองคนกันเองเล่นกันเอง หรือวิเคราะห์ไปถึงแผนการเขย่าเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. ของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร

ด้วยการกระทบชิ่งผ่าน จุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าฯ กทม. ที่วิลาศยื่นให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สอบในประเด็นทุจริตและร่ำรวยผิดปกติหรือไม่ ผ่าน 6 ประเด็น ได้แก่ 1.จัดซื้อเครื่องจักรราคาเกินจริง 2.เรียกรับเงินซื้อขายตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายโยธา

3.พาทีมงานไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น โดยซื้อสินค้าครั้งเดียวมูลค่า 5 ล้านบาท เพื่อให้เข้าเงื่อนไขได้บัตรโดยสารฟรี 100 ใบ 4.จ้างเหมาก่อสร้างสวนสาธารณะและลานกีฬาเฉลิมพระเกียรติ วงเงิน 71 ล้านบาท ไม่โปร่งใส 5.ให้บริษัทขายเครื่องจักรนำหัวหน้าเขตทั้ง 50 เขต ไปดูงานรถดูดไขมันที่ประเทศเยอรมนี และ 6.จุมพลเดินทางไปต่างประเทศโดยให้บริษัทออกค่าใช้จ่ายให้

วิลาศ ชี้แจงว่าเรื่องนี้ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง เมื่อเห็นว่าผิดก็ว่าไปตามผิด หากติดตามการทำงานก่อนหน้านี้จะเห็นว่าเขาสอบเรื่องทุจริตที่เกี่ยวข้องกับคนของพรรคประชาธิปัตย์มาหลายเรื่อง

ตั้งแต่เรื่อง สก.วังทองหลาง จัดซื้อเครื่องเล่นเด็กกระดานลื่นราคา 1.4 ล้านบาท ที่นำเข้าจากประเทศจีน ครั้งนั้นเขาเรียกศุลกากรมาให้ข้อมูล พบว่าในใบอินวอยซ์แสดงราคานำเข้า 2.7 แสนบาท ภาษีอีกหมื่นกว่าบาท รวมแล้วประมาณ 2.9 แสนบาท เวลานี้เรื่องอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.)

ถัดมาที่เรื่อง สก.-สข.ไปดูงานยุโรป 600 คน ที่ใช้วิธีซิกแซ็กไม่ใช้บริการสายการบินไทยเดินทางไปอิตาลี แต่ไปใช้สายการบินศรีลังกาที่ระเบียบกรมบัญชีกลางระบุให้ในกรณีที่ไม่ใช้สายการบินไทยให้บริษัททัวร์เขียนบิลเบิก จากราคา 1.8 หมื่นบาท เป็น 2.8 หมื่นบาท ทั้งหมด 600 คน ตัวเลขกลมๆ 6 ล้านบาท ค่าตั๋วฟรีๆ เรื่องนี้อยู่ที่ ป.ป.ช.

วิลาศ เริ่มต้นเล่าถึงการขุดคุ้ยเงื่อนงำใน กทม.รอบล่าสุด เริ่มจากการจัดซื้อ “รถดูดไขมัน” ที่ได้รับการร้องเรียนจากเขตต่างๆ โดยสุดท้ายซื้อมาก็ไม่ได้ใช้จอดเกะกะให้เขาดูแล เพราะต้องเข้าใจว่า กทม.ไม่มีบ้านที่มีบ่อดักไขมันเยอะขนาดต้องซื้อรถดูดไขมันไปดูด

“แต่นี่ไปซื้อมาคันละ 14.9 ล้านบาท ขนาด 2 คิว ทุกเขต 50 เขต เขตที่ใช้มากที่สุดใช้ไม่เกิน 2 ครั้ง ส่วนใหญ่จอดนิ่ง ส่วนเขตใหญ่มีซื้อเพิ่มขนาด 14 คิว 26 คัน คนละ 27 ล้านบาท สองรายการรวมกัน 1,427 ล้านบาท เดือนหนึ่งรวมกันทั้งหมดออกไปดูดไม่เกิน 50 ครั้ง”

วิลาศ อธิบายว่า หากตั้งเรื่องจากส่วนกลางจะถูกสอบได้ เขาจึงใช้วิธีโทรศัพท์อ้างถึงรองผู้ว่าฯ ไปยังแต่ละเขตให้ทำเรื่องว่าต้องการจัดซื้อรถดูดไขมัน มีแบบฟอร์มให้เขาเสร็จ ในนั้นจะแนบรายละเอียดใบเสนอราคาเสร็จ ทุกอย่างล็อกไว้หมดแล้ว

“จะเห็นว่าบางคนใน กทม.ไปเยอรมนีแทบทุกเดือน ถ้าเถียงว่าไม่จริงก็ให้เอาพาสปอร์ตมาโชว์ ที่บอกว่าปีละครั้ง ผมไปยื่นกับ ป.ป.ช. ล่าสุดผมบอกชัดเลยว่าไปครั้งก่อนเมื่อวันที่ 15-21 ก.ย. จะตอบว่าไง ไหนบอกว่าไม่ได้ไปมาสิบกว่าเดือน ให้ตอบมาว่าไม่จริง เรื่องนี้ ป.ป.ช.น่าจะเอาจริง เพราะทุกทีไปยื่นก็ยื่นกับฝ่ายธุรการ แต่ครั้งนี้หลังแถลงข่าวเจ้าหน้าที่โทรมาสอบถามว่าจะไปยื่นกี่โมง มีการประสานล่วงหน้าและมีรองเลขาฯ มารับด้วยตัวเอง”

ในฐานะที่ขุดคุ้ยเรื่องทุจริตมายาวนาน วิลาศ เห็นว่าสายงานโยธา และการก่อสร้างใน กทม.นั้นมีบรรยากาศขมุกขมัว มีหลักฐานหมดว่าคุณไปประเทศอะไร ใครเป็นสปอนเซอร์ให้ อย่างน้อยๆ ก็ผิดเรื่องรับเงินเกิน 3,000 บาท อย่างไปเยอรมนีก็โยงกับการจัดซื้อรถพวกนั้นที่มาจากเยอรมนีทั้งสิ้น 

“จะไปทำไมกันนักหนา เอาว่าเดือนเว้นเดือนหรือส่วนใหญ่ไปทุกเดือน ไม่ว่าจะไปไหนต้องเริ่มต้นและจบที่เยอรมนี หากไปตรวจรายละเอียดในบริษัทจะต้องเห็นว่าบริษัทลงบัญชีว่าไง ค่าตั๋วใคร เดินทางไปไหน เมื่อไหร่ ผมมีหมดในมือ ไม่งั้นไม่กล้าออกมาทิ่ม”

วิลาศ เล่าต่อว่า ตอนนี้รองผู้ว่าฯ กทม. ก็ไม่ตอบเรื่องเดินทางแล้ว เปลี่ยนไปตอบเรื่องกรณีโยกย้ายข้าราชการ เลิกตอบเรื่องเดินทางแล้วเข้ามุมแล้ว ไม่พูดถึงเรื่องพาเจ้าหน้าที่ฝ่ายรักษา 50 เขตไปดูงานที่เยอรมนี ยังไม่รวมหัวหน้าฝ่าย รองผู้ว่าฯ อีกเท่าไหร่ หากไปตรวจเส้นทางการเงินรับรองสนุก

“แนะนำให้ไปตรวจกับข้าราชการซี 7 ผู้หญิงคนหนึ่งในเอกสารแนบยื่น ป.ป.ช. ผมบอกไปแล้ว แล้วก็ไปดูงบดุลของบริษัท ริเวอร์ เอนจิเนียริ่ง ซึ่งเป็นเอเยนต์ขายรถดูดไขมันของเยอรมนีในเมืองไทย ต้องไปดูค่าใช้จ่ายทีละรายการ เพราะต้องมีบิลมาเบิกว่าใช้จ่ายอะไร”

สำหรับประเด็นการโยกย้ายข้าราชการที่มีการปฏิเสธว่าไม่มีเรื่องเงินเข้ามาเกี่ยวข้องนั้น วิลาศ อธิบายว่า มีพยานหมดว่าใครเป็นคนโทรไปหาพูดชัดเจนว่า ต้องจ่ายเงิน โอนเงินเข้าใคร คนที่เป็นคนโทรศัพท์นี้เขารู้กันทั้ง กทม.ว่าเป็นใคร เรียกบัญชีมาตรวจเจอแน่ หากมีเงินเข้าทีละ 1-2 ล้านบาท ติดคุกแน่

“วันนี้เรายังไม่รู้ว่าโอนยังไง แต่ตัวคนโทรศัพท์เป็นคนเจรจา เรามีพยานยืนยัน จากการแต่งตั้งจะเห็นว่าบางคนคุณวุฒิไม่ถึงแต่ได้รับการแต่งตั้ง เรื่องนี้มีข้อมูลโยงถึง 12 คน หากตรวจตรงนี้รับรองเจอแน่”

ส่วนข้อสังเกตที่ว่าการออกมาจับเรื่องทุจริตใน กทม.รอบนี้เป็นแผนแซะเก้าอี้ผู้ว่าฯ กทม. แต่วิลาศยืนยันว่า “ไม่เกี่ยวถ้าจะเล่นผมต้องเล่นผู้ว่าฯ ตรงๆ แต่นี่ไม่เคยพูดถึงผู้ว่าฯ เลยด้วยซ้ำ แค่บอกให้ผู้ว่าฯ ต้องเปลี่ยนตัวรองผู้ว่าฯ

ถามว่าเรื่องทุจริตเหล่านี้สืบสาวไปถึงตัว ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ หรือไม่ วิลาศ ตอบว่า “ไม่ถึงผู้ว่าฯ เพราะผู้ว่าฯ ไม่ได้อยู่เซ็นแล้ว จะถึงได้ไง”

วิลาศ เล่าว่า “หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่เคยได้คุยกับผู้ว่าฯ แกไม่เคยเข้าพรรคเลย แล้วแกอยู่ดอย ผมอยู่พื้น เลยไม่ได้เจอกัน แล้วผมไม่รู้เลยว่าแกอยู่เมืองไทยหรือเมืองนอก” 

“ที่ผ่านมาผมไม่เคยอาศัยอะไรแก ไม่เคยไปขอให้แกทำอะไรเลยนะ ไม่เคยของบอะไรทั้งสิ้น ไม่มีความแค้นส่วนตัว ไม่เคยทำงานร่วมกัน แม้จะเป็น สส.กทม. ไม่เคยสนใจ มีแต่ผมไปช่วยเขา เลือกตั้งผมก็ไปช่วยเขา ไม่เคยให้เขามาช่วยผม ไม่รู้ว่าถ้าให้แกมาช่วยผมจะสอบตกหรือเปล่าก็ไม่รู้”  

นอกจากนี้ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่รอยร้าวในพรรค เพราะการตรวจสอบทุจริตจะเป็นรอยร้าวได้อย่างไร ถ้ามีใครมาด่าว่าไปตรวจสอบคนในพรรคไม่ได้ ให้มาพูดตรงๆ เลย เดี๋ยวจะด่าให้ว่า คนประชาธิปัตย์โกงแล้วแตะไม่ได้หรือเพราะอะไร

“ถ้าโกงต้องเจอหมด ตรวจก่อนตรวจพรรคอื่นด้วย สมัยก่อนพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งเรื่องฝายแม้ว สมาร์ทการ์ด รถเมล์เอ็นจีวี ผมตรวจหมดคนที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลดีนักแหละ รู้ว่าโกงแล้วเอามาร่วมทำไม ผมก็บอกมาตลอด”

ถามย้ำว่าการออกมาเปิดเรื่องนี้จะทำให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ตัดสินใจเปลี่ยนตัวรองผู้ว่าฯ หรือไม่ วิลาศ กล่าวว่า ไม่แน่ใจ แค่ตัวผู้ว่าฯ ยังไม่รู้เลยว่าแกอยู่ประเทศไทยหรือเปล่า ไม่รู้เป็นผู้ว่าฯ เมืองไหน แกบอกการไปดูงานเมืองนอกเป็นประโยชน์ เลยคิดว่าแกคงไม่อยากอยู่เมืองไทยแล้วล่ะ

“ผมก็ดูจากคำพูดของแก ไม่เคยไปสอบถามอะไรทั้งสิ้น ขนาดตัวหัวหน้าพรรคยังตามตัวไม่เจอ แล้วผมจะไปเจอได้ไง ใครจะไปตามตัวเจอ”

เสียงวิเคราะห์ว่าทั้งผลงานที่ไม่เข้าตาของผู้ว่าฯ กทม. ยิ่งมาเจอเรื่องทุจริตด้วย จะยิ่งทำให้คะแนนนิยมตกหรือไม่นั้น วิลาศ ชี้แจงว่า คนกรุงเทพฯ เขาพอรู้ว่าที่แย่เพราะอะไร วันนี้ตัวพรรคเองอาจคะแนนตกบ้าง แต่เชื่อว่าตัวพรรคทำความเข้าใจได้ว่าเหตุผลมาจากใคร เพราะนโยบายพรรคหรือตัวบุคคลที่เข้าไป

“แต่พรรคก็ต้องรับผิดชอบส่วนหนึ่ง แต่ต้องทำความเข้าใจกับคนในพื้นที่ ผมเชื่อว่าหากเลือกตั้งครั้งหน้าไม่ใช่สุขุมพันธุ์ ผมก็ทำความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่เขตรับผิดชอบผมได้”

วิลาศ วิเคราะห์ว่า เสี่ยงตั้งแต่รอบที่แล้ว เขาเป็นคนหนึ่งที่ไม่ต้องการให้ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ลงแข่งอีกสมัย แต่ระบบการเมืองในระบอบประชาธิปไตยเคารพเสียงส่วนใหญ่ สุดท้ายก็จำใจไปช่วยหาเสียง แล้วโพลออกมาก็แพ้มาตลอด จนมาสองสัปดาห์สุดท้ายที่ขยับขึ้นมา

“เวลานี้ กทม.ต้องรีบเร่งสร้างผลงานไม่ให้สถานการณ์แย่กว่านี้ แต่พอคนทำมัวแต่อยู่เมืองนอกก็ไม่รู้จะรีบยังไง อย่างทุกวันนี้ ส่วนตัวลงพื้นที่ พฤหัสบดี-อาทิตย์ ตลอด วันนี้อยากเรียกร้องให้ผู้ว่าฯ ต้องตั้งจิตให้มั่นว่าจะพัฒนากรุงเทพฯ กลับมาดูผลงานว่าคนที่ท่านแต่งตั้งนั้นทำงานเพื่อพี่น้อง กทม.จริงหรือเปล่า หากไม่ทำอย่างนั้นก็ไปอยู่เมืองนอกเถอะ” วิลาศ กล่าว


สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : แก้ทุจริต ต้องไม่มีพวกพ้อง

view