ศาลสั่งริบทรัพย์'สุพจน์' เพิ่ม รวมกว่า 64 ล้าน
จาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ สั่งริบทรัพย์"สุพจน์ ทรัพย์ล้อม"เพิ่มจากยอด 46 ล้านเศษ เพิ่มเงินฝาก–รถโฟล์ค รวมกว่า 64 ล้าน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีริบทรัพย์ หมายเลขดำ ปช.1/2555 ที่อัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องเมื่อเดือน ก.พ.55 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ , นางนฤมล หรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม ภรรยา , น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม บุตรสาว , น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อมหรือปราบใหญ่ บุตรสาว , นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรเขย และผู้ใกล้ชิดรวม 7 ราย ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 และมาตรา 80 (2) ซึ่งทรัพย์สินมีทั้งสิ้น 19 รายการ
ประกอบด้วย เงินสด 17,553,000 บาทซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของสน.วังทองหลาง , เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ9 บัญชี , ทองคำรูปพรรณ น้ำหนัก 10 บาท มูลค่า 260,000 บาท ซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของสน.วังทองหลาง ,โฉนดที่ดินในกทม. พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และในจ.นครนายก รวม 6 แปลง , ห้องชุดคอนโดมิเนียม ใน กทม. มูลค่า 1.5 ล้านบาทและรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์รุ่น E 230 และรุ่น C 220 มูลค่า 5.2 ล้านบาท โดยการยื่นคำร้องดังกล่าว สืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบทรัพย์สินแล้วนายสุพจน์ หลังจากเกิดที่เหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย.54 ซึ่งผู้ต้องหาที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้น ได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์ นับร้อยล้าน ซึ่งนายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆได้จึงชี้มูลความผิดว่า นายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
โดยนายสุพจน์ได้ยื่นคัดค้านคำร้อง อ้างว่า ทรัพย์สินนั้นผู้คัดค้าน ได้มีมาแต่เดิมและได้มา กว่า 10 ปี การขอให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดินเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้คดค้านเคยยื่นบัญชีแสดงต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้ว ป.ป.ช.ไม่แสดงความเห็นคัดค้านแต่อย่างใด
ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา วันที่ 31 ม.ค.57 เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของนายสุพจน์ เลื่อนลอย รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่า เข้ารับราชการตั้งแต่ เมื่อ พ.ศ.2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์ จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าทีรัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่า ร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี พ.ศ.2545 มีมูลค่าสูงถึงที่ศาลนำมาวินิจฉัยจำนวน 46 ล้านบาทเศษ
ศาลจึงพิพากษา ให้ทรัพย์สินตามคำร้องของอัยการสูงสุด 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 46,141,038 .83 บาท ของนายสุพจน์ และที่มีชื่อของภรรยา , บุตรสาว และบุตรเขยของนายสุพจน์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 โดยให้นายสุพจน์ ส่งมอบทรัพย์สิน ต่อกระทรวงการคลัง
ต่อมานายสุพจน์และครอบครัวได้ยื่นอุทธรณ์ โดยนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ ฝ่ายของนายสุพจน์ มีเพียง นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความผู้รับมอบอำนาจ เดินทางมาศาล ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าทรัพย์ตามคำร้องได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าและเกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จึงต้องสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน
แต่ที่ศาลชั้นต้น พิพากษาให้ทรัพย์สินรวม 46,141,038 .83 บาท ตกเป็นของแผ่นดินโดยนำบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี ที่ปิดแล้วจำนวน 15,857,548.69 บาท หักออกจากมูลค่าทรัพย์สิน ที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เมื่อฟังได้ว่านายสุพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ แม้ภายหลังมีการปิดดังกล่าวแล้วก็ต้องนำเงิน 15,857,548.69 บาท มารวมอยู่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติด้วยส่วนรถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาทแม้ไม่มีชื่อของนายสุพจน์เป็นเจ้าของ แต่ฟังได้ว่ามีการมอบรถให้นายสุพจน์ใช้อย่างถาวรจึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัด ค้านที่ 1 ซึ่งเกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ เมื่อนำทรัพย์สินดังกล่าว กับมูลค่าทรัพย์สินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จะรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท
ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาท รวมกับทรัพย์สินอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ภายหลังนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของนายสุพจน์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้มีการพิจารณาเพิ่มทรัพย์สิน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ได้ขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม เพื่อตรวจดูรายละเอียดที่จะพิจารณาประเด็นยื่นฎีกาต่อสู้ตามขั้นตอนของ กฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.55 ว่านายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินซึ่งไม่สามารถชี้แจงที่มาได้จำนวน 64,998,587.52บาท จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่น ดิน
สำหรับคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ อ.347/2555 นั้น ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.56 ให้จำคุก 12 ปีและปรับ 60 บาทนายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ ใจชมชื่น จำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธและยานพาหนะ
ส่วนนายเสาร์แก้ว นามวงค์ กับนายสมบูรณ์หรือบูรณ์ ริยะเทน จำเลยที่ 2–3 จำคุก 9 ปีและปรับ 45 บาท
สำหรับนายบุญสืบ หรือสืบ โจมกันและนายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหาจำเลยที่ 4 และ 6 ให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันรับของโจร ส่วนนายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี และน.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ จำเลยที่ 5 และ 9 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน
ขณะที่นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย จำเลยที่ 8 ให้จำคุก 8 ปีฐานสนับสนุนการปล้นทรัพย์ ส่วนนายประพันธ์ เรียงเครือจำเลยที่ 7 พิพากษายกฟ้อง โดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วเป็นคดีหมายเลขแดง อ.1119/2556
ศาลอุทธรณ์สั่งริบทรัพย์ "สุพจน์" เพิ่มเป็น64ล้านบาท.
จาก โพสต์ทูเดย์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษาแก้ สั่งริบทรัพย์ "สุพจน์ ทรัพย์ล้อม" อดีตปลัดคมนาคม เพิ่มเป็นกว่า 64 ล้านบาท ทนายความเตรียมสู้ฎีกาต่อ
เมื่อวันที่ 11 พ.ย.ที่ศาลแพ่ง ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีริบทรัพย์ หมายเลขดำ ปช.1/2555 ที่อัยการสูงสุด ได้ยื่นคำร้องเมื่อเดือน ก.พ.55 ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคมสมัยรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ , นางนฤมล หรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม ภรรยา , น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม บุตรสาว , น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อมหรือปราบใหญ่ บุตรสาว , นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรเขย และผู้ใกล้ชิดรวม 7 ราย ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 4 และมาตรา 80 (2) ซึ่งทรัพย์สินมีทั้งสิ้น 19 รายการประกอบด้วย เงินสด 17,553,000 บาทซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของสน.วังทองหลาง , เงินฝากในธนาคารพาณิชย์ต่าง ๆ 9 บัญชี , ทองคำรูปพรรณ น้ำหนัก 10 บาท มูลค่า 260,000 บาท ซึ่งเป็นของกลางในคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ 2458/2544 ของสน.วังทองหลาง ,โฉนดที่ดินในกทม. พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และในจ.นครนายก รวม 6 แปลง , ห้องชุดคอนโดมิเนียม ใน กทม. มูลค่า 1.5 ล้านบาท และรถยนต์ ยี่ห้อเบนซ์ รุ่น E 230 และรุ่น C 220 มูลค่า 5.2 ล้านบาท
การยื่นคำร้องดังกล่าว สืบเนื่องจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ตรวจสอบทรัพย์สินแล้วนายสุพจน์ หลังจากเกิดที่เหตุคนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ ในซอยลาดพร้าว 64 เมื่อค่ำวันที่ 12 พ.ย.54 ซึ่งผู้ต้องหาที่ร่วมทำผิดคดีอาญานั้น ได้ให้การเกี่ยวกับทรัพย์สินว่าพบเงินสดในบ้านนายสุพจน์ นับร้อยล้าน ซึ่งนายสุพจน์ไม่สามารถชี้แจงที่มาของทรัพย์สินต่างๆได้ จึงชี้มูลความผิดว่า นายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ
โดยนายสุพจน์ได้ยื่นคัดค้านคำร้อง อ้างว่า ทรัพย์สินนั้นผู้คัดค้าน ได้มีมาแต่เดิมและได้มา กว่า 10 ปี การขอให้ทรัพย์นั้นตกเป็นของแผ่นดินเป็นการใช้อำนาจตามอำเภอใจ ทำให้ผู้คัดค้านได้รับความเสียหาย ซึ่งผู้คดค้านเคยยื่นบัญชีแสดงต่อคณะอนุกรรมการ ป.ป.ช.ไปแล้ว ป.ป.ช.ไม่แสดงความเห็นคัดค้านแต่อย่างใด
ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา วันที่ 31 ม.ค.57 เห็นว่า ข้อกล่าวอ้างของนายสุพจน์ เลื่อนลอย รวมทั้งการโต้แย้งและคัดค้านของนายสุพจน์ไม่อาจจะนำมารับฟังได้ เช่น การอ้างว่า เข้ารับราชการตั้งแต่ เมื่อ พ.ศ.2520 จนกระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.2545 มาคิดคำนวณแล้วจะเป็นเงินประมาณ 5,000,000 บาทเศษ ก็น่าเคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์ จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าทีรัฐ แล้วจะมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่า ร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี พ.ศ.2545 มีมูลค่าสูงถึงที่ศาลนำมาวินิจฉัยจำนวน 46 ล้านบาทเศษ ศาลจึงพิพากษา ให้ทรัพย์สินตามคำร้องของอัยการสูงสุด 19 รายการ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 46,141,038 .83 บาท ของนายสุพจน์ และที่มีชื่อของภรรยา , บุตรสาว และบุตรเขยของนายสุพจน์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้นนั้น ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 โดยให้นายสุพจน์ ส่งมอบทรัพย์สิน ต่อกระทรวงการคลัง
ต่อมานายสุพจน์และครอบครัวได้ยื่นอุทธรณ์ โดยนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์วันนี้ ฝ่ายของนายสุพจน์ มีเพียง นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความผู้รับมอบอำนาจ เดินทางมาศาล
ทั้งนี้ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว เห็นว่าทรัพย์ตามคำร้องได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าและเกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จึงต้องสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน
แต่ที่ศาลชั้นต้น พิพากษาให้ทรัพย์สินรวม 46,141,038 .83 บาท ตกเป็นของแผ่นดินโดยนำบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี ที่ปิดแล้วจำนวน 15,857,548.69 บาท หักออกจากมูลค่าทรัพย์สิน ที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เมื่อฟังได้ว่านายสุพจน์ ผู้คัดค้านที่ 1 ร่ำรวยผิดปกติ แม้ภายหลังมีการปิดดังกล่าวแล้วก็ต้องนำเงิน 15,857,548.69 บาท มารวมอยู่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติด้วยส่วนรถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาทแม้ไม่มีชื่อของนายสุพจน์เป็นเจ้าของ แต่ฟังได้ว่ามีการมอบรถให้นายสุพจน์ใช้อย่างถาวรจึงเป็นทรัพย์สินของผู้คัดค้านที่ 1 ซึ่งเกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ เมื่อนำทรัพย์สินดังกล่าว กับมูลค่าทรัพย์สินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จะรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท
ศาลอุทธรณ์ จึงพิพากษาแก้เป็นว่า ให้รถยนต์ยี่ห้อ VOLK SWAGEN มูลค่า 3 ล้านบาท รวมกับทรัพย์สินอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน
ภายหลัง นายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของนายสุพจน์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ได้กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ได้มีการพิจารณาเพิ่มทรัพย์สิน ให้ตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งขณะนี้ได้ขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม เพื่อตรวจดูรายละเอียดที่จะพิจารณาประเด็นยื่นฎีกาต่อสู้ตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ป.ป.ช.ได้มีมติเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.55 ว่านายสุพจน์ มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ มีทรัพย์สินซึ่งไม่สามารถชี้แจงที่มาได้จำนวน 64,998,587.52บาท จึงส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งเพื่อขอให้ศาลสั่งให้ทรัพย์สินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน
สำหรับคดีอาญาปล้นบ้านนายสุพจน์ หมายเลขดำ อ.347/2555 นั้น ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 29 มี.ค.56 ให้จำคุก 12 ปีและปรับ 60 บาทนายสิงห์ทอง หรือเสธ.ไก่ ใจชมชื่น จำเลยที่ 1 ฐานร่วมกันปล้นทรัพย์ โดยมีอาวุธและยานพาหนะ
ส่วนนายเสาร์แก้ว นามวงค์ กับนายสมบูรณ์หรือบูรณ์ ริยะเทน จำเลยที่ 2–3 จำคุก 9 ปีและปรับ 45 บาทสำหรับนายบุญสืบ หรือสืบ โจมกัน และนายวณัญกฤต หรือจ่อย บุตรกันหา จำเลยที่ 4 และ 6 ให้จำคุก 2 ปี 6 เดือน ฐานร่วมกันรับของโจร ส่วนนายวุฒิชัย หรือวุฒิ พันธวารี และน.ส.วาสนา สาเพิ่มทรัพย์ จำเลยที่ 5 และ 9 ให้จำคุก 3 ปี 4 เดือน
ขณะที่นายชยธัช หรือเอก จันนะชัย จำเลยที่ 8 ให้จำคุก 8 ปีฐานสนับสนุนการปล้นทรัพย์ ส่วนนายประพันธ์ เรียงเครือ จำเลยที่ 7 พิพากษายกฟ้อง โดยคดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้วเป็นคดีหมายเลขแดง อ.1119/2556
สำนักงานบัญชี,สำนักงานสอบบัญชี,ทำบัญชี,สอบบัญชี,ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน