สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

มองเศรษฐกิจไทยปีลิง..ไม่กล้วย เอกชนเหนื่อย..ทั่วโลกยังซึม หวั่นการเมืองกระหน่ำซ้ำ

จากประชาชาติธุรกิจ

โดย ทีมข่าวเศรษฐกิจ

ผ่านไปแค่เดือนแรกของปี 2559 ตรงกับปีวอกที่มักจะได้รับพรขอให้ปีนี้เป็นปีกล้วยๆ ซึ่งเดิมคาดการณ์กันว่าปีนี้เศรษฐกิจน่าจะกระเตื้องขึ้นจากปีก่อน เพราะเศรษฐกิจบอบช้ำมานาน เมื่อฐานต่ำทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้น แต่ยังไม่ทันไร ทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจโลก หรือจีดีพีลดลง เนื่องจากประเทศใหญ่ๆ ของโลกอย่างจีน ทำท่ามีปัญหาด้านเศรษฐกิจ ขณะที่สหรัฐอเมริกา ยุโรป ดูเหมือนจะไม่แข็งแรงขึ้นตามคาดการณ์ ส่งผลให้หน่วยงานด้านเศรษฐกิจหลักๆ ของประเทศ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ของกระทรวงการคลัง ออกมายอมรับแล้วว่าอาจจะปรับลดจีดีพีของไทยลงจากที่คาดการณ์ไว้เดิม

"วิกรม"มองบวกศก.ไทยกำลังฟื้น


ส่วนภาพจริงจะเป็นอย่างที่หน่วยงานด้านเศรษฐกิจคาดการณ์ไว้หรือไม่ลองฟังมุมมองของภาคเอกชนผู้ซึ่งจะได้รับผลกระทบโดยตรง เริ่มที่นายวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอมตะ มองเหมือนกันว่าเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ แต่เศรษฐกิจของไทยปีนี้น่าจะนิ่งแล้ว และเตรียมพร้อมสู่การเติบโตหลังจากนี้ เพราะได้ปัจจัยบวก 3 เรื่องคือ 1.การเมืองมีเสถียรภาพมากขึ้น นิ่งแล้ว 2.นโยบายการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะโครงสร้างพื้นฐานสำคัญต่างๆ ตลอดจนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ซึ่งมีนโยบายพัฒนาจำนวนมาก และ 3.ประเทศไทยมีโครงสร้างพื้นฐานที่ครอบคลุมระดับหนึ่งทำให้นักลงทุนต่างชาติแสดงความสนใจเข้ามาลงทุนมากขึ้น

ส่วนสถานการณ์การเมืองที่กำลังอยู่ระหว่างการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นายวิกรมกล่าวเพียงสั้นๆ ว่า "ไม่ขอแสดงความเห็น เพราะไม่ได้ติดตามความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นล่าสุด"

นายวิกรมกล่าวว่า ปัจจัยการลงทุนที่อมตะสัมผัสมาโดยตลอดพบว่ามีสัญญาณที่ดี นักลงทุนญี่ปุ่นยังคงเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอันดับหนึ่งทั้งจำนวนโรงงานและมูลค่าลงทุน นอกจากนี้ยังมีนักลงทุนจากจีนสนใจจะลงทุนเพิ่มขึ้นทุกปี แม้เศรษฐกิจจีนจะมีอัตราการเติบโตชะลอตัว แต่เชื่อมั่นว่าจะคงการลงทุนต่างประเทศต่อไป เพราะเศรษฐกิจจีนในปัจจุบันคล้ายกับญี่ปุ่นในอดีต ที่ต้องการออกไปลงทุนต่างประเทศหลังพบว่าการลงทุนในประเทศเริ่มอิ่มตัว



สรท.ห่วงส่งออกหดตัวกว่าเดิม

นายนพพรเทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) กล่าวว่า ทิศทางการส่งออกของไทยปีนี้ยังไม่น่าสดใสเหมือนปีที่ผ่านมา หรือมีแนวโน้มที่น่าจะหดตัวรุนแรงมากกว่าปีที่ผ่านมาด้วยซ้ำ เนื่องจากปัจจัยหลักคือภาวะเศรษฐกิจโลกเหมือนจะไม่ฟื้นตัวตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ ล่าสุด ไอเอ็มเอฟประกาศปรับลดจีดีพีโลกปีนี้ลงจาก 3.6% เหลือเพียง 3.4% ขณะที่ตลาดส่งออกหลักของไทย อย่างสหรัฐที่เริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวจากที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปี เมื่อปลายเดือนธันวาคม 2558 แต่หลังจากนั้นเฟดประกาศคงอัตราดอกเบี้ยในเดือนมกราคมที่ผ่านมา จึงเกิดความวิตกและไม่มั่นใจว่าสหรัฐฟื้นตัวได้จริง หรือเป็นเพียงภาพลวงตาที่ปัญหายังอยู่รอวันประทุ ส่วนเศรษฐกิจของสหภาพยุโรป (อียู) ดูเหมือนไม่ฟื้นตัวตามคาดเช่นกัน เพราะอียูยังประสบปัญหาเศรษฐกิจหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาภัยก่อการร้าย และปัญหาผู้อพยพทะลักเข้ามาอาจส่งผลให้ประเทศเยอรมนีมีปัญหาเศรษฐกิจแบบเดียวกับประเทศฝรั่งเศสได้

นายนพพรกล่าวว่า ส่วนเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะขยายตัวเฉลี่ย 6.5% ถือว่าต่ำกว่าปีที่ผ่านมาเติบโต 6.9% และการใช้นโยบายลดค่าเงินหยวนน่าจะส่งผลกระทบต่อสินค้าส่งออกไปจีน คือสินค้าโภคภัณฑ์ สินค้าเกษตรจากทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยประสบปัญหาหดตัวตามด้วย และน่าจะกระทบเป็นห่วงโซ่ลุกลามต่อเศรษฐกิจภายในแต่ละประเทศที่พึ่งการส่งออกมายังจีนเช่นกัน ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นมองว่าน่าจะฟื้นตัวช้ากว่าคาดการณ์ จนธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) อาจออกมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) อีกรอบ และสุดท้ายของราคาน้ำมันที่เชื่อว่าน่าจะทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่องอีกปี สรท.จึงคาดว่าการส่งออกของไทยปีนี้มีความเป็นไปได้จะโตไม่ถึง 2% ตามที่ตั้งเป้าไว้ก่อนหน้านี้ แต่ สรท.จะยังไม่ปรับเป้าจนกว่าจะเห็นสัญญาณการส่งออกในไตรมาส 1 ก่อน เพราะจะเป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่าการส่งออกไทยจะติดลบมากว่าปีที่แล้วหรือไม่

รธน.ไม่นิ่งต่างชาติไม่เคาะลงทุนไทย

"ส่วนภาคการลงทุนในปีนี้ดูเหมือนส่วนใหญ่ยังต้องฝากความหวังไว้ที่การลงทุนภาครัฐไปอีกปีเนื่องจากการลงทุนจากต่างชาติ (เอฟดีไอ) ได้รับสิทธิประโยชน์จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ไปแล้ว และที่เตรียมเข้ามาขอใหม่ อาจจะชะลอการลงทุนออกไปก่อน เพราะนักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ยังจับตารอดูทิศทางของเมืองไทยนับจากนี้ว่าจะเดินตามโรดแมปมีการเลือกตั้งภายในเดือนกรกฎาคม2560 หรือไม่ รวมทั้งยังจับตาต่อเนื่องจนถึงหลังการเลือกตั้งแล้วว่า รัฐบาลที่เข้ามาจะมีเสถียรภาพหรือไม่ การเมืองจะเกิดความวุ่นวายอีกครั้งหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีความกังวลในเรื่องการศึกษาของไทยว่าจะมีความสามารถรองรับต่อการลงทุนและเทคโนโลยีใหม่ๆ ได้หรือไม่ จึงทำให้บางส่วนตัดสินใจไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านที่การเมืองมีเสถียรภาพและความแน่นอน รวมทั้งมีแรงงานซึ่งมีการพัฒนาทักษะได้สูงกว่าแทน ทาง สรท.จึงประเมินภาพรวมจีดีพีไทยในปีนี้ว่าน่าจะอยู่ที่ระดับ 3-3.5% เท่านั้น" นายนพพรกล่าว

นายพิมล ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อุตสาหกรรมพรมไทย จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิตพรมแบรนด์ ไทปิง และรอยัลไทย กล่าวว่า ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปี 2559 จะยังคงซึมและซบเซาอยู่ จากปัจจัยเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว เศรษฐกิจจีนเติบโตลดลง ยิ่งไปกว่านั้นคือปัจจัยภายในประเทศที่มีหลายอย่างไม่แน่นอน เช่น ทางการเมืองก็รอรัฐธรรมนูญว่าจะออกมาเป็นอย่างไร จะผ่านประชามติหรือไม่ จะมีการเลือกตั้งเมื่อไหร่ มีผลทำให้การลงทุนต่างประเทศหลายแห่งที่จะมาลงทุนบ้านเรา ก็รอดูสถานการณ์ไปก่อน หากมีความแน่นอนทางการเมืองและนโยบายการลงทุนของต่างชาติที่เข้ามาไทยก่อนหน้าก็อาจจะมีมากกว่านี้ เรียกปัจจัยนี้ที่นักลงทุนต่างชาติรอดู คือ ความเสี่ยงทางด้านการเมือง

"เอกชน"ปรับตัวมุ่งค้าขายนอกปท.

นายพิมลกล่าวว่า หากมองระยะยาวมีเรื่องอื่นๆ ของไทยที่เป็นปัจจัยฉุดการเติบโตของเศรษฐกิจไทยอีก ได้แก่ ความสามารถทางการแข่งขันของไทยที่ไม่ดีเท่าที่ควร ต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์เทียบจีดีพีของไทยยังสูงไป รถไฟที่ร่วมทุนกับต่างชาติที่จะลงทุนก็ยังไม่เห็นการเริ่มก่อสร้าง ทางด้านงานวิจัยที่มีนวัตกรรมใหม่ๆ ก็น้อยเกินไป รวมทั้ง 4จี เพิ่งจะออกตัว ยังเดินไม่เต็มสูบทั้งที่หลายชาติได้ก้าวหน้าไปมากกว่าไทย เหล่านี้เป็นองค์ประกอบภายในทั้งสิ้น จะโทษนอกประเทศอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูภายในประเทศด้วยว่าเป็นอย่างไร จะแก้ไขปัญหาอย่างไร จะปรับปรุงพัฒนาอย่างไร

"วันนี้ถามว่าหากเศรษฐกิจโลกดีขึ้น เราจะดีได้สักแค่ไหน เพราะด้วยเหตุการณ์ทั้งหลายและปัจจัยในประเทศที่กล่าวมา ส่วนเศรษฐกิจไทยจะฟื้นเมื่อไหร่ ส่วนหนึ่งต้องดูปัจจัยรัฐธรรมนูญประกอบว่าจะออกมาเมื่อไหร่ การเมืองสงบเมื่อไหร่ ส่วนเศรษฐกิจโลกแม้ไม่ดีเท่าเดิมแต่ก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น สำหรับจีดีพีไทยปีนี้คาดว่าอาจจะเติบโตไม่ถึง 3% ประเมินจากบรรยากาศและปัจจัยภายในและนอกประเทศข้างต้น หากได้ 3% ก็เก่งแล้ว"

นายพิมลกล่าวว่า สำหรับการปรับตัวธุรกิจของบริษัทเพื่อให้เติบโตและอยู่รอด จะเน้นลงทุนต่างประเทศ และลงทุนในประเทศที่เป็นธุรกิจค้าขายกับต่างประเทศเป็นหลัก เช่น บริษัททำพรมแบรนด์ไทปิง เมื่อ 2 ปีที่แล้วก็ไปซื้อบริษัทของญี่ปุ่นที่ผลิตผ้าหุ้มเบาะรถยนต์ ขายให้บริษัทในไทยและส่งกลับไปญี่ปุ่นด้วย และปีที่แล้วซื้อบริษัทผลิตโซฟาของอังกฤษ วันนี้ก็มองหาการลงทุนธุรกิจในต่างประเทศอยู่ การขยายไปต่างประเทศมีผลดีเข้ามาประเทศอยู่ เมื่อมีกำไรก็ส่งกลับประเทศ ในเชิงยุทธศาสตร์ต้องเดินแบบนี้

คือเสียงสะท้อนส่วนหนึ่งของภาคธุรกิจที่รัฐบาลไม่ควรเพิกเฉย






ที่มา : นสพ.มติชน


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : มองเศรษฐกิจไทย ปีลิง..ไม่กล้วย เอกชนเหนื่อย..ทั่วโลกยังซึม หวั่นการเมืองกระหน่ำซ้ำมองเศรษฐกิจไทยปีลิง ไม่กล้วย เอกชนเหนื่อย ทั่วโลกยังซึม การเมือง กระหน่ำซ้ำ

view