สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ถุงศพ...ไม่มีเงิน

จากประชาชาติธุรกิจ

คอลัมน์ คุยฟุ้งเรื่องการเงิน โดย ทอมมี่ แอคชัวร์ www.facebook.com/thaiactuary

ช่วงนี้หุ้นผันผวนเหลือเกิน บางคนเครียดถึงขั้นนอนไม่หลับ วันนี้ผมจึงขออนุญาตมาในแนวแฟนตาซีเชิงปรัชญานิดหน่อย ด้วยนิทานที่น่าสนใจ ใหม่แกะกล่องเลยอยากนำมาฝากกัน...

เรื่องมีอยู่ว่า..."มีสุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่ง โชคดีได้ไปพบไร่องุ่นที่เต็มไปด้วยของโปรดของมัน เห็นแล้วก็อดใจไม่ได้ ได้แต่อยากจะเข้าไปในไร่เพื่อกินองุ่นให้เต็มที่...แต่มันก็อ้วนเกินไป เลยมุดผ่านรั้วไปไม่ได้ ดังนั้น มันจึงยอมที่จะอดอาหาร ไม่กินไม่ดื่มอยู่สามวัน เพื่อทำให้ตัวมันผอมลง และด้วยความมุ่งมั่นเพื่อจะทำให้ได้ในสิ่งที่มันปรารถนา ในที่สุดมันก็มุดผ่านรั้วเข้าไปได้ !

เมื่อมันกินอิ่มเป็นที่พอใจแล้ว แต่...ตอนที่จะกลับออกไป กลับออกไม่ได้ ทำอย่างไรก็ไม่ได้...ในหัวมันจึงเริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรต่อ มันสามารถเลือกที่จะอยู่ในไร่องุ่นที่อยู่ในรั้วนั้นต่อไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีใครจับได้ แต่ท้ายที่สุดแล้วมันก็คงต้องตายอย่างอนาถแบบไร้ความหมายในไร่องุ่นนี้...เมื่อไม่มีทางเลือก มันก็เลยต้องอดน้ำอดอาหาร อีกสามวันสามคืน...สุดท้ายแล้วท้องของมันตอนที่ออกมาก็เหมือนกับตอนที่มันเข้าไป"

ถ้าเปรียบเทียบนิทานเรื่องนี้กับชีวิตจริง สุนัขจิ้งจอกตัวนี้ก็เหมือนชีวิตของมนุษย์เรา ที่เกิดมาก็พยายามดิ้นรนขวนขวาย และมองหาสิ่งที่ตัวเองอยากได้ โดยการไล่ตามหาไร่องุ่นที่อยู่ในรูปแบบของวังวนที่เราเรียกกันว่า "ระบบทุนนิยม" เพื่อที่จะกินให้อิ่มจนเป็นที่พอใจ หรือเข้าสู่สิ่งที่กระแสในสมัยนี้ใช้คำโก้เก๋ที่เรียกกันว่า...อิสรภาพทางการเงิน


ประเด็นคือ...ถ้าพยายามอย่างหนักหน่วง เสียสุขภาพ เสียเวลาไปเกือบทั้งชีวิต เพื่อให้ได้มันมาถึงจุด ๆ นั้นแล้ว เราจะทำอย่างไรต่อไป...เพราะหลายคนเลือกที่จะยังคงอยู่ในรั้วต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ปล่อยวาง จนกว่านาฬิกาชีวิตจะหมดลง แต่จะมีใครสักกี่คนที่ฉุกคิดขึ้นมาได้ และพยายามหาทางมุดออกจากรั้วแบบสุนัขจิ้งจอกตัวนั้นไหม

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ เพราะผมอยากแนะนำให้รู้จักกับคนคนหนึ่ง โดยนิตยสาร Forbes ได้กล่าวถึงคนคนนี้ว่าเป็นคนที่ค่อย ๆ ทยอยบริจาคเงินตลอดระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา ซึ่งเมื่อเอามารวมกันแล้วก็มีมูลค่าประมาณ 2 แสนล้านบาท (มีมูลค่าเท่ากับเลี้ยงโต๊ะจีนได้มากถึง 50,000 ปีเลยทีเดียว) และที่พิเศษกว่านั้นก็คือ คนคนนี้ไม่ยอมประกาศตัวและแอบบริจาคเงินอย่างเงียบ ๆ มาตลอด จนเมื่อเวลาได้ล่วงผ่านไป 30 ปี ถึงค่อยมีคนไปรู้เข้า

ประโยคกินใจของเขา คือ "I had one idea that never changed in my mind-that you should use your wealth to help people." หมายความว่า "ความคิดหนึ่งที่ไม่เคยคิดจะเปลี่ยนไปจากใจของเขาเลยก็คือ...คนเราควรใช้ความมั่งคั่งเพื่อช่วยเหลือผู้คน"

คนคนนี้ชื่อ Chuck Feeney และมีอายุ 77 ปีแล้ว โดยเขาเป็นเจ้าของ DFS บริษัท Duty Free อันดับ 1 ของโลก ได้บริจาคเงินคืนกลับไปสู่สังคมทั้งหมดคิดเป็น 99 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ทั้งหมด โดยมันทำให้เขามีความสุขมากกว่าการกอดเงินไว้มากมายมหาศาลเสียอีก

เคยมีคนถามเขาว่า ทำไมถึงคิดบริจาคเงินออกไปเกือบหมด ซึ่งคำตอบของเขาก็ง่ายมาก ชนิดที่เข็มขัดสั้น (คาดไม่ถึง) ว่า "เพราะถุงศพไม่มีกระเป๋าใส่เงิน"

เมื่อย้อนกลับมาวิเคราะห์จะเห็นว่า เขาได้มองข้ามชอตและออกมาจากวังวนของระบบทุนนิยมด้วยสัจธรรมที่ว่า "บนสวรรค์นั้นไม่มีธนาคาร ทุกคนเกิดมากับความว่างเปล่า ในที่สุดก็จากไปมือเปล่า ไม่มีใครสามารถนำความมั่งคั่งกลับไปได้" ซึ่งประโยคนี้ก็เหมาะเจาะกับนิทานนี้โดยแท้

เทศกาลวันวาเลนไทน์ก็เพิ่งผ่านไปหมาด ๆ พร้อมกลิ่นความรักสีชมพูที่อบอวล แต่เมื่อลองกลับมานึกดูถึงความหมายของวันแห่งความรักที่ว่านี้แล้ว มันก็คือวันแห่งการแบ่งปันความสุขให้กับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะในรูปแบบไหนก็ตาม ผมจึงขอถือโอกาสนี้ถามตัวเราเองว่า...ถึงเวลาหรือยังที่เราเริ่มคิดที่จะแบ่งปันความมั่งคั่งให้กับผู้อื่น ใครมั่งคั่งด้านความรู้ก็แบ่งปันความรู้ ใครมั่งคั่งด้านการเงินก็แบ่งปันผ่านการบริจาค

ส่วนใครที่มั่งคั่งด้านความรักจนล้นเหลือ...ก็เผื่อแผ่ให้คนรอบข้างกันแต่พองามนะครับ หรือจะเอาคติพจน์ประจำใจของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยอย่างผมไปใช้ก็ได้ว่า..."เพราะผมชอบคิดเลขในใจ...เลยคิดนอกใจใครไม่เป็น"


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ถุงศพ ไม่มีเงิน

view