สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

สรรพากรเล็งเป้า อี-คอมเมิร์ซ เสนอแก้กฎหมาย-ดูเงินบัญชีธนาคารได้

สรรพากรเล็งเป้า"อี-คอมเมิร์ซ" เสนอแก้กฎหมาย-ดูเงินบัญชีธนาคารได้

จากประชาชาติธุรกิจ

สรรพากรแก้กฎหมายสามารถสุ่มตรวจสอบ บัญชีผู้เสียภาษี การทำธุรกรรมต่างๆ พุ่งเป้าอีคอมเมิร์ซ ดันถอนขนห่านเพิ่มอีกแสนล้านบาท ส่วนทะเบียนเอสเอ็มอีบัญชีเดียวมั่นใจวันสุดท้ายยอดพุ่ง หลังเข้าระบบแล้ว 4.3 แสนราย จากเป้าหมาย 3.5 แสนราย

 

 นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า จะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแก้ไขกฎหมายประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการเรียกดูข้อมูลบุคคลที่ 3 ภายในเดือน มิ.ย.นี้ ซึ่งจะมีผลทำให้กรมเชื่อมโยงข้อมูลผู้เสียภาษีผ่านบัญชีธนาคารได้ทันที สามารถสุ่มตรวจรายได้ ตรวจสอบการทำธุรกรรม และเรียกข้อมูลเสียภาษีของผู้เสียภาษีได้ทุกราย


 คาดว่าการเสนอแก้ไขกฎหมายจะผ่านการพิจารณา ครม. และเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้เร็ว และจะมีผลให้กรมสอบภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพได้ตั้งแต่ปี 2560


 “การเชื่อมข้อมูลกับระบบของธนาคารพาณิชย์ จะทำให้การจัดเก็บภาษีรั่วไหลลดลง เห็นผลชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มประกอบการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อีคอมเมิร์ซ) ที่โอนเงินรายได้ผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งในส่วนที่เป็นผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและภาษีเงินได้นิติบุคคล กรมจะตรวจสอบภาษีได้ครอบคลุมมากขึ้น ซึ่งยืนยันว่าไม่ส่งผลกระทบกับผู้เสียภาษี เพราะคนไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์”


 การเชื่อมข้อมูลกับระบบธนาคารจะทำให้กรมสามารถจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น ในส่วนภาษีทางตรงคงไม่มาก จะเห็นชัดเจนจากภาษีทางอ้อม ซึ่งคาดว่าในปี 2560 รายได้กรมจะเพิ่มขึ้นอีก 30% ของรายได้ภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ภายในประเทศที่เก็บได้ 3.5 แสนล้านบาทต่อปี หรือเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1 แสนล้านบาท
 

 อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ในวันที่ 15 มี.ค. ซึ่งเป็นวันสุดท้าย สำหรับการเปิดยื่นให้จดแจ้งเป็นผู้ประกอบการบัญชีชุดเดียว ซึ่งล่าสุดมีผู้มายื่นจดแล้ว 4.7 แสนราย เมื่อตัดรายที่ยื่นจดซ้ำออก จะเหลือ 4.3 แสนราย โดยมั่นใจว่าจะมีผู้มายื่นจดแจ้งในวันสุดท้ายอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งภาพรวมการยื่นขอจดแจ้งสูงกว่าที่คาดไว้ว่าจะอยู่ที่ 3.5 แสนราย เนื่องจากผู้เสียภาษีเห็นว่าการยื่นขอจดบัญชีเดียวจะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย


 นอกจากนี้กรมอยู่ระหว่างออกมาตรการภาษีให้เกิดการซื้อสินค้าจากกลุ่ม วิสาหกิจชุมชน (โอท็อป) ตามนโยบายของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี โดยขั้นแรกกลุ่มวิสาหกิจ ต้องมาจดทะเบียนอยู่ในฐานภาษีทั้งหมด จากปัจจุบันมีผู้ประกอบการโอท็อปรายใหญ่แค่ 20% ที่อยู่ในฐานภาษีเท่านั้น


“สรรพากร” เตรียมเช็กข้อมูลลูกค้าแบงก์ ลดภาษีรั่วไหล คาดดึงรายได้เข้ารัฐแสนล้าน

โดย MGR Online

       เผยผู้ประกอบการแห่เข้าโครงการทำบัญชีเดียว จำนวนกว่า 4 แสนราย “สรรพากร” เร่งแก้กฎหมายขอเช็กข้อมูลธุรกรรมการเงินลูกค้าแบงก์ ลดการรั่วไหลของภาษี เตรียมชง ครม.เดือนมิถุนายน 2559 นี้ คาดโกยรายได้เข้ารัฐเพิ่มกว่าแสนล้าน
       
       นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยหลังเป็นประธานในการเปิดการสัมมนาโค้งสุดท้ายมาตรการบัญชีชุดเดียว เรื่อง “การแก้ไขข้อผิดพลาดทางการบัญชีเพื่อรองรับการปฏิบัติตามมาตรการบัญชีชุด เดียว รุ่นที่ 3” ร่วมกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาวิชาชีพบัญชี โดยระบุว่า ยอดจดแจ้งผู้ประกอบการทำบัญชีเดียวที่เปิดตั้งแต่ 15 มกราคม-15 มีนาคม 2559 หลังหักรายได้ที่ซ้ำซ้อนแล้วมี 4.3 แสนราย สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3.5 แสนราย คาดว่าเมื่อปิดให้จดแจ้งแล้วจะมีผู้ประกอบการเข้ามาทำบัญชีเดียวครบ 100% ซึ่งจะทำให้กรมสรรพากรมีรายได้เพิ่มมากขึ้น
       
       สำหรับการสัมมนาในครั้งนี้เพื่อเป็นการสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ ผู้ประกอบธุรกิจ และผู้ประกอบวิชาชีพบัญชี ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจจะต้องปรับปรุงงบการเงินรอบบัญชีปี 2558 ที่จะยื่นในวันที่ 29 พฤษภาคม 2559 ให้ถูกต้อง เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับการจัดทำบัญชีเดียวหลังจากนี้ ในวันที่ 28 มีนาคม 2559 จะให้ความรู้แก่ผู้ประกอบการเกี่ยวกับลงรายจ่ายอย่างไรให้ถูกต้องครบถ้วน มีการทำคู่มือรายจ่าย เอกสารประกอบการทำบัญชี ร่วมกับสภาวิชาชีพบัญชี และกรมพัฒนาธุรกิจการค้า โดยมีกรมสรรพากรเป็นพี่เลี้ยง
       
       “ถ้าผู้ประกอบการไม่เข้าระบบ เวลาที่ปรับมาใช้ระบบการชำระเงินผ่านอิเล็กทรอนิกส์ หรืออีเพย์เมนต์ เราจะทราบความเคลื่อนไหวทางการเงินทั้งหมด ทั้งการชำระเงินต่างๆ ข้อมูลจะเข้ามายังกรม ซึ่งจะสามารถตรวจสอบการเสียภาษีได้ทันที”
       
       นอกจากนี้ กรมสรรพากรอยู่ระหว่างดำเนินการแก้ไขปรับปรุงกฎหมายการเรียกดูข้อมูลบุคคล ที่ 3 จากสถาบันการเงิน ซึ่งจะเป็นการส่งข้อมูลมายังกรมสรรพากรโดยอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตรวจสอบธุรกรรมทางการเงิน ตลอดจนรายได้เพื่อมาตรวจสอบการเสียภาษีได้ในทันที โดยคาดว่าจะเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาได้ภายในเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งจะส่งผลให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) ในประเทศเพิ่มขึ้น 30% หรือประมาณ 1 แสนล้านบาท จากปัจจุบันเก็บได้ 3.5 แสนล้านบาทต่อปี
       
       การเชื่อมข้อมูลกับระบบของธนาคารพาณิชย์จะทำให้การจัดเก็บภาษีรั่ว ไหลลดลง จะเห็นผลชัดเจนโดยเฉพาะในกลุ่มประกอบการค้าพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (อีคอมเมิร์ซ) ที่มีการโอนเงินรายได้ผ่านบัญชีธนาคาร ทั้งในส่วนที่เป็นผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล กรมก็จะตรวจสอบภาษีได้ครอบคลุมมากขึ้น
       
       “ยืนยันว่ากรณีดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อผู้เสียภาษี เพราะคนไทยทุกคนมีหน้าที่ต้องเสียภาษีเมื่อรายได้ถึงเกณฑ์ และการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวก็เป็นการปรับปรุงให้ทันสมัย ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บภาษีมีความโปร่งใสมากขึ้น”
       
       นายประสงค์ กล่าวว่า ตนเองได้หารือกับ นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ขยายเวลายื่นเสียภาษีย้อนหลังได้ถึง 30 มิถุนายน 2559 จากกรณีที่ผู้ประกอบการบางรายมีรอบบัญชีเกินวันที่ 31 ธันวาคม มาถึงประมาณเดือนกุมภาพันธ์ รวมถึงเตรียมเสนอมาตรการนี้ให้แก่ธุรกิจเฉพาะด้วย โดยไม่เสียค่าเบี้ยปรับเงินเพิ่มใดๆ ทั้งสิ้น
       
       ขณะเดียวกัน สรรพากรก็กำลังอยู่ระหว่างศึกษาให้ผู้ประกอบการโอทอปเข้าสู่ระบบจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม เพื่อให้นักท่องเที่ยวขอภาษีคืน (Tax Refund) ได้ โดยจะปรับเงื่อนไขลดทุนจดทะเบียน 5 แสนล้านบาท จากปกติ 2 ล้านบาท คาดว่าจะมีเข้าระบบประมาณ 20% ที่เป็นนิติบุคคลรายใหญ่ เพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว และกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศภายในเดือนมีนาคมนี้ กรมสรรพากรจะเสนอ ครม.เห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยขณะนี้ได้มีแนวทางเดียวแล้ว ซึ่งจะปรับปรุงให้ผู้ที่เสียภาษีได้ประโยชน์ ทั้งในส่วนของค่าลดหย่อน ค่าใช้จ่าย และอัตราภาษี


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : สรรพากรเล็งเป้า อี-คอมเมิร์ซ เสนอแก้กฎหมาย เงินบัญชีธนาคาร

view