จากประชาชาติธุรกิจ
ตลอดช่วง 2-3 สัปดาห์มานี้ ข่าวคราวความเคลื่อนไหวของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรืออีอีซี (Eastern Economic Corridor Development) ที่ประกอบด้วย ฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง ได้รับความสนใจจากนักธุรกิจ นักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศมากเป็นพิเศษ
จากนี้ไป ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่ดูแลงานทางด้านเศรษฐกิจ คงจะต้องทำงานอย่างหนักเพื่อไล่บี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ ให้ทำรายละเอียดโครงการให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน ตามข้อสั่งการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
กับอภิมหาโปรเจ็กต์นี้ รัฐบาลตั้งเป้าจะปั้นระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ให้เป็นเขตเศรษฐกิจชั้นนำของอาเซียน เพื่อส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายให้เป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ในอนาคต
เบื้องต้นรัฐบาลตั้งความหวังว่า ภายใน 5 ปีทั้งรัฐ-เอกชนจะระดมเงินลงทุนอย่างน้อย 1.5 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย 5 แสนล้านบาท, การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 4 แสนล้านบาท, การลงทุนเมืองใหม่ โรงพยาบาล โรงเรียน ที่อยู่อาศัย 4 แสนล้านบาท และการลงทุนด้านการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพประมาณ 2 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ เพื่อจูงใจเอกชนให้เข้ามาลงทุนใน 3 จังหวัดภาคตะวันออก รัฐบาลจะแก้ไขพระราชบัญญัติส่งเสริมการลงทุน ด้วยการยกเว้นภาษีนิติบุคคลจากเดิม 8 ปี เป็นไม่เกิน 13 ปี และอนุมัติระยะเวลาการทำงานของต่างชาติและสิทธิการซื้อที่ดิน
รวมทั้งจะมีการปรับสิทธิพิเศษต่างๆ อีกมากมาย อาทิ การอำนวยความสะดวก การอนุมัติเรื่องสิ่งแวดล้อม ผังเมือง การออกใบอนุญาตต่าง ๆ การประกาศเป็นเขตปลอดภาษี การอนุญาตให้จัดหาที่ดินและเช่าที่ดินเพื่อลงทุนได้ 50 ปี ต่ออายุได้อีก 49 ปี การอนุญาตการเข้า-ออกประเทศของนักลงทุนและผู้เชี่ยวชาญได้ไม่เกิน 5 ปี เป็นต้น
เรียกว่าให้อย่างมากมายชนิดไม่เคยมีใครทำมาก่อน
งานนี้ภาคเอกชนออกโรงมาขานรับกันอย่างเนืองแน่น
ต้องชื่นชมและเอาใจช่วยกับความพยายามของรัฐบาลที่ต้องการจะวางรากฐานทางเศรษฐกิจของประเทศในวันข้างหน้าให้เติบโตอย่างยั่งยืน
แต่อีกด้านหนึ่งจะพบว่าการปลุกปั้นโปรเจ็กต์นี้ซึ่งต่อยอดจากโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ดเดิม ในระยะต่อไปจะเป็นการรวมเอาอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากระจุกตัวอยู่ในภาคตะวันออกมากเกินไป และทำให้ขาดการกระจายพื้นที่ ขาดการกระจายโอกาส รวมทั้งเศรษฐกิจจะไม่ไหลไปทั่วประเทศ และพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ก็อาจจะเกิดปัญหาหลาย ๆ อย่างเกิดขึ้นตามมา เช่น ปัญหาสังคม สิ่งแวดล้อม ฯลฯ
คงต้องยอมรับความจริงว่า ความยากจนและความเหลื่อมล้ำยังคงเป็นปัญหาสำคัญของประเทศไทย จากข้อมูลของสภาพัฒน์ระบุว่า เมื่อปี 2556 มีคนจนและคนเกือบจนอยู่ประมาณ 14-15 ล้านคน หรือร้อยละ 21.0 ของประชากรทั้งหมด
ที่สำคัญคนจนส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีคนจนประมาณ 3.3 ล้านคน ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 44.8 ของคนจนทั้งประเทศ ส่วนในภาคเหนือมีคนจนประมาณ 1.9 ล้านคน หรือร้อยละ 26.5 ของคนจนทั้งประเทศ
ขณะที่ 3 จังหวัดในระเบียงภาคตะวันออก คือ ระยอง ชลบุรี และฉะเชิงเทรา ปัจจุบันมีตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัด หรือจีพีพี ติดอยู่ในอันดับท็อปไฟฟ์ของประเทศ คือ ระยอง ที่เป็นอันดับ 1 ของประเทศ ด้วยตัวเลข 1,008,615 บาท/คน/ปี ชลบุรี 439,975 บาท/คน/ปี และฉะเชิงเทรา 423,965 บาท/คน/ปี
นี่เป็นอีกด้านหนึ่งของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก
สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน