สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ไฉนโบราณถึงห้าม เจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี? และทำไมรัชกาลที่5 จึงเสด็จเมืองสุพรรณฯ

จากประชาชาติธุรกิจ

ที่มา หนังสือ วาทะเจ้านาย เล่าประวัติศาสตร์ โดยสำนักพิมพ์มติชน

    
"---ฉันก็นึกอยากไป(สุพรรณบุรี)อยู่แล้ว แต่ว่าไม่เป็นบ้านะ---"

เป็น พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอบคำกราบบังคมทูลเชิญเสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรีของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ เหตุที่ทรงตอบเช่นนั้นสืบเนื่องมาจากคติความเชื่อที่ว่า "---ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณ---"

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ว่า เมื่อครั้งทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย มีหน้าที่จัดการปกครองหัวเมือง จึงต้องเสด็จไปตรวจหัวเมืองต่าง ๆ ด้วยพระองค์เองในปี พ.ศ. 2435 ได้เสด็จตรวจเมืองพิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย เมืองตาก แล้วเสด็จกลับทางเมืองกำแพงเพชร เมื่อเสด็จมาถึงเมืองอ่างทอง ทรงหยุดพัก 2 วัน โปรดสั่งเจ้าเมืองและกรมการเมืองให้เตรียมหาม้าพาหนะกับคนหาบหามสิ่งของ สัมภาระเพื่อเดินทางบกไปสุพรรณบุรี

ครั้งนั้นพระยาอินทรวิชิต เจ้าเมืองอ่างทองซึ่งสนิทสนมคุ้นเคยกับสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ได้พยายามขัดขวางมิให้เสด็จ โดยอ้างว่าการเดินทางจากอ่างทองไปสุพรรณบุรีนั้นยากลำบาก หนทางไกลไม่มีที่พักแรม ท้องทุ่งที่จะเดินทางไปบางส่วนแห้งแล้งร้อนจัด บางแห่งยังเต็มไปด้วยโคลนตมเฉอะแฉะ แต่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ไม่ทรงเลิกล้มความตั้งพระทัย เพราะทรงเคยผ่านความยากลำบากในการเดินทางมามาก จึงมีพระดำริว่าน่าจะสามารถเดินทางไปถึงสุพรรณบุรีได้โดยไม่ยากนัก

ใน ที่สุดพระยาอินทรวิชิตก็สารภาพว่าที่พยายามขัดขวางไม่ให้เสด็จไปเมือง สุพรรณบุรี เพราะเกรงอันตรายอันเนื่องจากคติความเชื่อมาแต่โบราณว่า "ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี" เมื่อทรงซักถามถึงสาเหตุ พระยาอินทรวิชิตก็ไม่สามารถทูลตอบได้ เพียงแต่ทูลย้ำว่าเป็นคติความเชื่อกันมาแต่โบราณว่า เพราะเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณไม่ชอบเจ้านาย แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จึงทรงอธิบายถึงพระดำริของพระองค์ว่า

"---ฉัน คิดว่าเทพารักษ์ที่มีฤทธิเดชถึงสามารถจะให้ร้ายดีแก่ผู้อื่นได้ จะต้องได้สร้างบารมีมาแต่ชาติปางก่อน ผลบุญจึงบันดาลให้มาเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ถึงปานนั้น ก็การสร้างบารมีนั้นจำต้องประกอบด้วยศีลธรรมความดี ถ้าปราศจากศีลธรรมก็หาอาจจะเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ เพราะฉะนั้นฉันเห็นว่าเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรีคงอยู่ในศีลธรรม รู้ว่าฉันไปเมืองสุพรรณเพื่อจะทำนุบำรุงบ้านเมืองให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข ยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน คงจะกลับยินดีอนุโมทนาด้วยเสียอีก---"


การ เดินทางจากอ่างทองไปยังสุพรรณบุรีในสมัยนั้นค่อนข้างลำบากต้องนั่งเรือข้าม ลำน้ำน้อยมาขึ้นที่เมืองวิเศษชัยชาญ แล้วจึงขี่ม้าต่อ ท้องที่ระหว่างเมืองอ่างทองกับเมืองสุพรรณบุรีส่วนมากเป็นท้องทุ่ง บางแห่งก็แห้งแล้ง อย่างที่เรียกกันว่าย่านสาวร้องไห้ หมายความว่าในฤดูแล้งผืนแผ่นดินแห้งผาก คนเดินทางหาน้ำกินไม่ได้  หาที่ร่มพักไม่ได้ บางแห่งก็เป็นที่ลุ่มเฉอะแฉะม้าต้องลุยเลนลุยโคลน สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ทรงเล่าถึงการเดินทางครั้งนั้นว่า

"---ทาง จากเมืองอ่างทองไปเมืองสุพรรณเป็นทางไกล และในเวลานั้นยังไปลำบากสมดังพระยาอ่างทองว่า ขี่ม้าไปตั้งแต่เช้าจนเย็น รู้สึกเพลีย ถึงออกปากถามคนขี่ม้านำทางว่าเมื่อไรจะถึงหลายหนจนจวบพลบค่ำจึงไปถึงทำเนียบ ที่พัก ณ เมืองสุพรรณบุรี---"

และที่เมืองสุพรรณบุรีนี้เอง ทรงต้องพบกับเรื่องแปลก ๆ 2 เรื่อง เรื่องแรกคือ พระยาสุนทรสงครามเจ้าเมืองสุพรรณบุรีเก็บทรัพย์สมบัติหนีออกจากเมือง สุพรรณบุรีไปก่อนที่จะเสด็จถึง ซึ่งทรงทราบถึงสาเหตุภายหลังว่า พระยาสุนทรสงครามประพฤติผิดคิดมิชอบด้วยการรีดไถ กดขี่ฉ้อราษฎร์บังหลวงทำความเดือดร้อนให้แก่ราษฎร เพราะราษฎรมายื่นเรื่องราวกล่าวโทษพระยาสุนทรฯ มากมายหลายราย

เรื่องที่ทรงแปลกพระทัยอีกเรื่องหนึ่งคือ เรื่องที่เมืองสุพรรณบุรีมีศาลเจ้าเป็นจำนวนมาก ดังที่ทรงเล่าว่า

"----ที่ ในบริเวณเมืองจะไปทางไหนแลเห็นศาลเจ้าไม่ขาดสายตา เป็นศาลขนาดย่อม ๆ ทำด้วยไม้แก่น มุงกระเบื้องก็มี ทำแต่ตัวไม้ไผ่มุงจากก็มี --- สังเกตเพียงที่จวนเจ้าเมืองมีศาลเจ้ารายรอบถึง 4 ศาล---"

จาก ข้อสังเกตดังกล่าว ทรงสันนิษฐานว่าชาวเมืองสุพรรณบุรีส่วนใหญ่น่าจะนับถือและกลัวเกรงเจ้าผี เป็นนิสัยสืบกันมาช้านาน ถ้าเชื่อว่าแห่งใดเป็นที่มีผีสิงอยู่ก็จะต้องมีการทำพิธีเอาใจผี เช่น ปลูกศาลให้ผีสิงสถิต และเซ่นไหว้ด้วยของที่เชื่อว่าผีชอบ เพื่อผีจะได้พอใจไม่ทำร้ายหรือทำความเดือดร้อนให้
   
นอกจากเรื่อง แปลกดังกล่าวแล้ว ยังมีเรื่องที่ทรงพอพระทัย นั่นคือการได้ความรู้เกี่ยวกับโบราณคดีและวรรณคดี โดยเฉพาะสถานที่ในเมืองนี้ เป็นสถานที่ที่ปรากฏในวรรณคดีสำคัญของไทยเรื่องหนึ่งคือเรื่องขุนช้างขุนแผน ไม่ว่าจะตำบลท่าสิบเบี้ยบ้านพ่อแม่ของขุนช้าง ตำบลท่าพี่เลี้ยงบ้านพ่อแม่ของขุนแผน เป็นต้น ดังที่ทรงเล่าว่า "---ตำบล บ้าน และวัดเหล่านั้นยังอยู่จนทุกวันนี้ ฉันได้เคยไปถึงทุกแห่ง---"
   
การ เสด็จตรวจเมืองสุพรรณบุรีของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯครั้งนั้นนอกจากจะทำให้ทรงรู้เรื่องราวความเป็นไปของทั้งเจ้า เมืองและราษฎรในสุพรรณบุรีแล้ว ยังเป็นการลบล้างคติความเชื่อเก่าแก่ที่ว่าห้ามมิให้เจ้านายเสด็จไปเมือง สุพรรณบุรีโดยสิ้นเชิง เพราะหลังจากที่เสด็จกลับอย่างปลอดภัยไม่มีสิ่งร้ายเกิดขึ้น ก็มีเจ้านายเริ่มเสด็จไปเที่ยวเมืองสุพรรณบุรีบ้าง
   
พระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้ความสนพระทัยเรื่องการตั้งมณฑลเทศาภิบาลอัน เป็นงานหลักของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ เสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เพราะนับเป็นการปรับเปลี่ยนการปกครองส่วนภูมิภาคครั้งสำคัญ เพื่อให้ศูนย์อำนาจกลางปกครองภูมิภาคได้สะดวกและเป็นเอกภาพ โดยแบ่ง 71 จังหวัดเป็นมณฑลได้ 8 มณฑล แต่ละมณฑลขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์โดยผ่านกระทรวงมหาดไทย จึงมีพระราชประสงค์จะเสด็จทอดพระเนตรผลงานการปกครองหัวเมืองที่จัดใหม่ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ ต้องทรงคิดหาสถานที่เสด็จประพาสถวายทุกปี ในปีหนึ่งทรงกราบบังคมทูลเชิญเสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรี จึงมีพระราชดำรัสว่า
   
"---ฉันก็นึกอยากไปอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เป็นบ้านะ---"
   

สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงฯ จึงทรงกราบทูลว่า
   
"----ข้าพระพุทธเจ้าไปเมืองสุพรรณหลายปีแล้ว ก็ยังรับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ได้---"
   
จึงทรงพระสรวลและตรัสว่า "ไปซิ"
   
เป็น อันว่าคติความเชื่อโบราณที่ว่า ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี เหตุผลเพราะเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรีไม่ชอบเจ้านาย อันเป็นเหตุให้เมืองสุพรรณบุรีกลายเป็นเมืองที่ห่างพระเนตรพระกรรณ เจ้าเมืองทุกคนพยายามรักษาคติความเชื่อนี้ไว้และถือเป็นโอกาสประพฤติผิดคิด มิชอบฉ้อราษฎร์บังหลวง
   
คติความเชื่อดังกล่าวถูกลบล้างด้วยความ กล้าหาญและความตั้งพระทัยแน่วแน่ในการที่จะทำนุบำรุงเมืองสุพรรณบุรีให้ เจริญรุ่งเรืองของเจ้านาย 2 พระองค์ คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ


[จาก ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 32 ฉบับที่ 9 (กรกฎาคม 2554)]


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ไฉนโบราณ ห้าม เจ้านาย มิให้เสด็จ เมืองสุพรรณบุรี รัชกาลที่5 เสด็จเมืองสุพรรณฯ

view