จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์
“สองพระหัตถ์ที่อุ้มเรา กอดเราไว้อยู่ในอ้อมแขน พระบารมีท่านปกเกล้าปกกระหม่อมเรามาโดยตลอด เราเห็นภาพเรารู้สึกได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า ชีวิตเรา เป็นของพระเจ้าแผ่นดิน ถวายชีวิตเหนือหัวได้” บทสัมภาษณ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟของ ม.ล.สราลี กิติยากร หรือ คุณน้ำผึ้ง เล่าย้อนอดีตของตนเองเด็กน้อยในวัย 9 เดือน ได้รับพระเมตตาจากในหลวง ร.๙ รวมทั้งครอบครัวได้มีโอกาสถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทด้วยความจงรักภักดี
คุณน้ำผึ้ง เป็นธิดาคนเล็กของหม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร กับท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี กิติยากร พระขนิษฐาของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ ส่วนบิดาเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ
ทีมผู้จัดการ Lite ได้มีโอกาสเข้าไปสัมภาษณ์คุณน้ำผึ้งในวังเทเวศร์ ด้วยบรรยากาศร่มรื่นเปี่ยมด้วยเสน่ห์แห่งวันวาน และการพูดคุยอย่างเป็นกันเอง เมื่อเราไปถึงคุณน้ำผึ้ง ได้เชื้อเชิญให้นั่งและเดินไปหยิบรูปภาพที่ใส่กรอบสวยงามตั้งไว้เด่นเป็นสง่าบริเวณห้องรับแขก
ในหลวง ร.๙ ทรงพระเมตตาอุ้มคุณน้ำผึ้ง ในวัย 9 เดือน
“ภาพนี้น้ำผึ้งเอง ตอนอายุ 9 เดือน ที่พระราชวังภูพิงคราชนิเวศน์ ดูทีไรก็น้ำตาปริ่ม ในหลวง ร.๙ พระองค์ท่านทรงอุ้ม และสมเด็จพระนางเจ้าฯ สิริกิติ์ ก็ทรงอุ้มด้วย เป็นภาพที่คนในวังถ่ายให้”
ที่สุดในชีวิต! สองพระหัตถ์อุ้ม กอดแนบพระวรกาย
คุณน้ำผึ้ง เล่าว่า ตั้งแต่เด็กได้มีโอกาสติดตามคุณพ่อและท่านแม่ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยคุณพ่อ ซึ่งในขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ ครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินแปรพระราชฐานที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ จ.เชียงใหม่ คุณพ่อ และท่านแม่จึงไปถวายงานรับใช้
“ท่านแม่เป็นคนเก็บรูปนี้ไว้ และท่านก็เล่าให้ฟังว่า ตอนน้ำผึ้งอายุ 9 เดือน ด้วยความไม่รู้เรื่องก็คลานไป แล้วก็ไปเขย่าเก้าอี้พระที่นั่งแล้วก็เรียก “จู่อั๋วจ๋า” ซึ่งก็คือคำว่า “พระเจ้าอยู่หัวจ๋า” แต่เราพูดไม่เป็นไง เด็ก 9 เดือน ยังคลานอยู่เลย เดินก็ยังไม่ได้ แต่สามารถพูดได้ว่า “จู่อั๋วจ๋า” พระองค์ท่านจึงเอ็นดูทรงอุ้ม แล้วเอาน้ำผึ้งมากอด ทรงอุ้มอยู่นาน
ครอบครัวน้ำผึ้งผูกพันกับพระองค์ท่านมาก ท่านแม่น้ำผึ้งจะเอารูปพระองค์ท่านมาให้ดู เหมือนกับสอนลูก ว่านี่คือในหลวงของเรานะ นี่คือพระเจ้าแผ่นดินของเรา พระเจ้าอยู่หัว ตอนเด็กจำแม่นไง แม่ก็จะบอก นี่ใครลูก ธุจ้า เด็กก็จะต้องบอกว่า ธุจ้า พระเจ้าอยู่หัว พระเจ้าอยู่หัว แต่เราลิ้นอ่อนไง เราก็จะจำได้ว่า แม่พูดว่าพระเจ้าอยู่หัว พอเจอพระองค์ท่านจริงๆ ก็เลยพูดว่า “จู่อั๋วจ๋า” พระองค์ท่านก็ทรงอุ้มด้วยความพระเมตตา
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงอุ้มคุณน้ำผึ้ง
สองพระหัตถ์ของพระองค์ที่อุ้มเรา พระเมตตาเราตั้งแต่เล็ก ทั้งสองพระหัตถ์ที่ทรงอุ้มเรา ทรงกอดเราไว้อยู่ในอ้อมแขน พระบารมีของพระองค์ปกเกล้าปกกระหม่อมเรามาโดยตลอด เราเห็นภาพมาเราจะรู้สึกได้ตั้งแต่ตอนนั้นเลยว่า ชีวิตเรา คือคนของพระเจ้าแผ่นดิน ถวายชีวิตเหนือหัวได้ สามารถทำอะไรถวายท่านได้ทุกอย่าง คิดไว้อย่างนั้นเลยนะ ในชีวิตตัวเอง ทำจนลืมตาย บางคนนี่ยังบอกเลยว่า น้ำผึ้งไปในที่อันตราย ไปในจุดที่เสี่ยงต่อการเดินทาง แต่เราก็มีความรู้สึกว่า ทำไมพระองค์ท่านถึงเสด็จฯได้ เราทำงานเหมือนเป็นข้ารองบาทท่าน เราทำถวายพระองค์ท่าน เห็นพระองค์ท่านทรงทำมามาก ที่เราทำตรงนี้มันน้อยมากเลยกับสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำ”
ปลื้มปีติ ครอบครัวถวายงานรับใช้งานใกล้ชิด
ความประทับใจและรอยยิ้มของคุณน้ำผึ้งฉายชัดขึ้นเมื่อเล่าถึงครอบครัวที่ได้ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างใกล้ชิด ตั้งแต่สมัยเสด็จตา พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล
พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล (เสด็จตาคุณน้ำผึ้ง)
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช กับทางครอบครัวน้ำผึ้ง ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาตั้งแต่สมัยรุ่นเสด็จตา คุณยาย เลย เสด็จตาน้ำผึ้งคือ พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ท่านเป็นเจ้านายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงไว้วางพระราชหฤทัย มีอะไรท่านก็จะปรึกษา ตั้งแต่ทรงครองราชย์ใหม่ๆ เลย ส่วนท่านแม่ของน้ำผึ้ง ซึ่งเป็นพระธิดาองค์โตของเสด็จตาใหญ่ ท่านแม่น้ำผึ้งมาแต่งงานกับคุณพ่อ ซึ่งเป็นพระเชษฐาในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทั้งท่านแม่และคุณพ่อ ก็เลยได้ถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท ตั้งแต่สมัยที่ท่านยังหนุ่มสาวเลย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงฉายพระรูปกับครอบครัวกิติยากร ที่สวิตเซอร์แลนด์ แถวบนจากซ้าย: ม.ล.บัว กิติยากร, พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว,สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ(ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร), ม.จ.นักขัตรมงคล กิติยากร แถวล่าง: ม.ร.ว.อดุลกิติ์ กิติยากร (คุณพ่อคุณน้ำผึ้ง), ม.ร.ว.บุษบา กิติยากร, ม.ร.ว.กัลยาณกิติ์ กิติยากร
ครอบครัวคุณน้ำผึ้ง : ภาพจากซ้าย คุณพ่อ(ม.ร.ว.อดุลกิติ์ อุ้มคุณน้ำผึ้ง) ,ท่านแม่ ท่านผู้หญิงพันธุ์สวลี และพระองค์โสมฯ (วัยเด็ก)
ฉะนั้นเวลาพระองค์ท่านเสด็จไปแปรพระราชฐานที่ไหน หรือแม้ในช่วง 14 ตุลาคม 16 ครอบครัวน้ำผึ้งจะไปอยู่กับพระองค์ท่านตลอด พระองค์ท่านเสด็จไหนครอบครัวเราไป พระองค์ท่านเสด็จแปรพระราชฐาน เหนือ ใต้ ออก ตก พวกเราต้องไปหมด ยกเว้นว่าถ้าน้ำผึ้งติดเรียน ก็จะไม่ได้ไป จะได้ไปช่วงวันหยุดเสาร์ -อาทิตย์ หรือปิดเทอม น้ำผึ้งก็จะมีโอกาสเข้าเฝ้าพระองค์ท่านอยู่เรื่อยๆ เพราะคุณพ่อกับท่านแม่ทำงานถวายใต้เบื้องพระยุคลบาท เราจะเห็นการทรงงานของพระองค์ท่านมาตั้งแต่เราเล็กๆเลย ว่าท่านทรงงานยังไง ทรงเหนื่อยยังไง”
ลูกหลับ…พ่อตื่น ทรงงานเกินร้อย
ห้องทรงงานของในหลวง ร.๙
“ตอนที่น้ำผึ้งยังเด็ก เราก็ไปวิ่งเล่นในวังของท่าน เราก็ไม่รู้อะไรหรอก ผู้ใหญ่พามา ดีใจเจอเพื่อน ที่เป็นลูกของข้าราชบริพารในพระองค์ เพื่อนฝูงอายุไล่เลี่ยกันมาเล่นกัน ซน สนุกสนาน ไม่ได้รู้เรื่องหรอกว่าผู้ใหญ่คุยกันเรื่องงาน มีเรื่องซีเรียสที่จะต้องคุยปรึกษา ต้องถวายงาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านก็ประทับอยู่ เราก็เห็นว่าผู้ใหญ่เขาอยู่กันทั้งวันทั้งคืน คุยเรื่องงานกัน ไม่ได้คุยเรื่องสนุกเลยนะ เป็นเรื่องงาน เรื่องแผ่นดินทั้งนั้นเลย
มีบ้างทีพระองค์ท่านขอเวลาส่วนพระองค์อาจจะสัก 1-2 ชั่วโมง พระองค์ท่านจะไปทรงออกพระกำลัง จากนั้นพระองค์ท่านก็เสด็จฯ มาเสวย และพระองค์ท่านก็ทรงงานต่อ จนดึก ขนาดเราไปนอนแล้ว พระองค์ท่านก็ยังทรงงานต่อ แต่พอเราตื่นมาในตอนเช้า เช้ามาก กลับพบว่าพระองค์ท่านตื่นบรรทมก่อนแล้ว ทั้งๆที่เราก็ตื่นเช้าแล้วนะ เรียกได้เลยว่า ลูกหลับพ่อตื่น ลูกตื่นพ่อก็ตื่นก่อน
นั่นหมายถึงว่าพระองค์ท่านทรงงานเกินร้อย มีเวลาพักแค่นิดเดียว พระองค์ทรงพักนี่ก็คือไปขอออกกำลังกายเพื่อทรงผ่อนพระอิริยาบถ จากนั้นพระองค์ทรงงานต่อ แม้แต่จะทรงเล่นดนตรีก็อยู่ในช่วง 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น พระองค์ท่านบริหารแผ่นดิน ลูก 70 ล้านคน ไม่ใช่เรื่องง่ายนะ
แต่ไม่ว่าพระองค์ท่านจะทรงงานอะไรเพื่อประเทศชาติก็ตาม พระองค์ท่านจะต้องขอความคิดเห็นหารือกับทุกฝ่ายเสมอ ทั้งฝ่ายพลเรือน ข้าราชบริพาร ทหาร ตำรวจ นายกรัฐมนตรี เข้าเฝ้าถวายงาน
พระองค์ท่านทรงรักประชาชนถึงขนาดนี้ แล้วมีเหตุผลอะไรที่เราจะไม่รักพระองค์ท่าน พระองค์ท่านทรงทำเพื่อประชาชน พระองค์ท่านทรงรักประชาชน พระองค์ท่านทรงรักลูกของพระองค์ท่านทุกๆ คน เรารักพระองค์ท่านมากๆ เทิดทูนไว้เหนือชีวิต”
สุดซาบซึ้ง พระมหากรุณาธิคุณ พระราชทานอาหาร เรียนฟรี
บ้านคุณน้ำผึ้งในวังเทเวศร์ที่เคยถูกปั้นจั่นล้มทับ ปัจจุบันเป็นบริษัท ฮันนี่ แอนด์ เฟรนด์ เอ็นเทอร์เทนเมนต์ จำกัด
“บ้านน้ำผึ้งก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณตั้งแต่สมัยที่บ้านพัง จากปั้นจั่นล้มทับ ตอนที่น้ำผึ้งอายุ 9 ขวบ ก็ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณ พระเมตตาของพระองค์ท่าน รู้ว่าเราลำบาก รู้ว่าเราเป็นทุกข์ ตอนนั้นบ้านพังทั้งหลังพระองค์ ท่านพระราชทานอาหารมาให้ที่บ้านทุกมื้อจนถึงปัจจุบันนี้เราก็ยังได้รับประทานอาหารของพระองค์ท่านอยู่ ได้เรียนที่โรงเรียนจิตรลดา จำได้ว่าจ่ายแค่ค่าหนังสือเรียน ข้าวที่โรงเรียนก็ไม่เคยไปหาซื้อ กินข้าววังมาตลอด ข้าวหลวงมาตลอด ตั้งแต่วันที่พระองค์ท่านทรงอุ้มจนมาถึงทุกวันนี้เพราะพระองค์ท่านทุกอย่าง พระบารมีของพระองค์ท่านทุกอย่าง
ข้าวแดงแกงร้อนทุกมื้อทุกเม็ด อาหารทุกจาน ก็ของพระองค์ท่านที่พระองค์ท่านทรงพระเมตตาให้พวกเราได้ทาน นอกจากนี้ อาหารทุกเม็ดที่เราทาน เราจะเก็บไว้ในส่วนที่เราทานพออิ่ม และแบ่งอีกส่วนให้ชาวบ้านที่อยู่แถวเทเวศร์ คนจนๆ เขาก็รับไปทานต่อ เท่ากับว่าอาหารของพระองค์ท่าน ที่พระองค์ท่านให้เรา เราก็แบ่งปันให้คนอื่นต่ออีก แล้วคนที่เขามารับคือเป็นคนจนๆทั้งนั้น เขาไม่มีเงินไปซื้อข้าวกิน พระบารมีแผ่ไปตลอดเวลา ทั้งอาหาร การเรียน ทุกอย่าง ชีวิตเราได้จากพระองค์ท่านมาทุกอย่าง”
ทรงอบรม สอนเด็กซน!
เหตุการณ์ที่คุณน้ำผึ้งจำฝังใจไม่เคยลืม เมื่อครั้งยังเด็ก วัยกำลังซนถึงขนาด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมาจากห้องทรงงานพร้อมตรัสสั่งสอนอบรมเด็กๆ ที่แสนซน “จำได้แม่นเลยว่า สมัยเด็กๆ อายุประมาณ 8 ขวบ กำลังซนเลย ยิ่งอยู่ในแก๊งก๊วนของลูกข้าราชบริพารจะยิ่งซนกันมาก จำได้เลยว่า พระองค์ท่านทรงงานอยู่ห้องหนึ่ง ตรงนั้นก็จะมีระเบียง เด็กๆก็ไปเล่นกันอยู่อีกห้องหนึ่ง แล้วก็เบื่อ เลยเปิดหน้าต่างออกดูก็เห็นว่าปีนเล่นได้ ตอนนั้นอยู่ประมาณ ชั้น 3 เราก็จะเห็นทางที่เป็นปูนยื่นออกมาคล้ายกันสาดแล้วสามารถเดินได้ ความกว้างประมาณฟุตกว่าๆ แล้วคิดดูอยู่ชั้น 3 เด็กทั้งกลุ่ม 6 - 7 คน ปีนออกไปแล้วก็ไถๆ แล้วก็ปีนระเบียงเข้าไปอยู่ในระเบียงบริเวณห้องประทับพระองค์ท่าน เมื่อพระองค์ท่านทรงทอดพระเนตรเห็นก็ตกใจว่าเด็กมาได้ทั้งกลุ่ม ตัวเล็กๆ ทั้งนั้น เด็กอายุ 7-8 ขวบ หมดเลย มาได้ยังไง พระองค์ท่านก็รีบเสด็จออกมาเลย พร้อมผู้ใหญ่ที่กำลังหารือเรื่องงานอยู่ ทุกคนตกใจว่าเด็กๆออกมาได้ยังไง
พระองค์ท่านทรงนิ่งๆ แต่พระสุรเสียงจะมีพลังและน้ำหนัก พระองค์ทรงรับสั่งและชี้มาทางพวกเราว่า “ซนไม่เข้าเรื่อง นี่ถ้าเผื่อตกลงไปจะเป็นยังไง แล้วพ่อแม่จะเป็นอย่างไรเมื่อเราตกลงไป ทำอะไรต้องรู้จักคิด ไม่ใช่นึกแต่สนุกอย่างเดียว”
ทรงรับสั่งสั้น กระชับ เข้าใจง่าย กลัว ที่กลัวนี่ไม่ได้กลัวพระสุรเสียงพระองค์ท่าน แต่เกรงในพระบารมีของพระองค์ท่าน พระองค์ท่านทรงพระเมตตามากไม่ได้ทำให้กลัว เหมือนกับพระองค์ท่านสอนเราว่าเราทำไม่ถูกต้องจริงๆนะ แม้ว่าตอนนั้นเราจะยังเด็กแต่เราก็รู้เรื่องนะ ฟังรู้เรื่องเพราะเป็นความจริงทั้งหมด พระองค์ท่านรับสั่งมาเป็นอะไรที่เข้าใจได้ ว่าถ้าเราตกลงไปจะเป็นยังไง ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต จากนั้นก็โดนพ่อแม่ตีกันถ้วนหน้า”
กราบแนบพื้นแผ่นดินพ่อ...ส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยกับประชาชน
ในวันเคลื่อนพระบรมศพ คุณน้ำผึ้งปฏิเสธการเข้าร่วมพระราชพิธี แต่ขอไปรวมอยู่กับประชาชนกราบพระองค์เป็นครั้งสุดท้ายส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย เรื่องราวต่อจากบรรทัดนี้คุณน้ำผึ้งเล่าให้เราฟังทั้งน้ำตา
“ย้อนไป 13 ตุลาคม วันที่พระองค์ทรงสวรรคต น้ำผึ้งทำงานอยู่ถ่ายรายการตามรอยพระบาทที่ท่าเสด็จ จ.หนองคาย คือจริงๆก็ทราบข่าวมาก่อนวันที่ 13 ว่าพระอาการของพระองค์ท่านทรงไม่ค่อยดี แต่น้ำผึ้งคิดอยู่อย่างเดียวว่า พระบารมีพระองค์ท่านมากมายนัก คิดอยู่ในใจ เข้าข้างตัวเองตลอด ว่าปาฏิหาริย์ต้องเกิด คิดอยู่ในใจ จนทราบว่าพระองค์ท่านไม่ไหวแล้ว เราก็ยังคิดอยู่อีกว่าตราบใดที่พระหทัยพระองค์ท่านยังเต้น ปาฏิหาริย์ต้องเกิด กระทั่งทราบว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคต ตอนนั้นช็อก ทุกอย่างหยุดไปหมดเลย เหมือนกับลมหายใจเราจะหยุดไปพร้อมกับพระองค์ท่านด้วย
เพราะเราไม่ค่อยจะเชื่อ รู้ว่าจริง แต่ทุกคนเวลาเราไม่อยากให้อะไรเกิดขึ้นเรามักจะหลอกตัวเอง พอรู้ว่าพระองค์ท่านเสด็จสวรรคตเราก็กลับวันนั้นเลย นั่งเครื่องบินกลับไฟลต์ดึกมาถึงกรุงเทพฯ ตอนประมาณตีหนึ่ง
วันรุ่งขึ้น วันที่ 14 ตุลาคม วันเคลื่อนพระบรมศพ จริงๆ จะตามพระองค์โสมฯ ไปร่วมพระราชพิธี แต่น้ำผึ้งขอท่านว่า ขอไปอยู่กับประชาชน ไปรอรับพระบรมศพอยู่กับประชาชน และขอกราบพระองค์ท่านที่พื้น รอรับพระองค์ท่านบริเวณพระบรมมหาราชวัง เห็นประชาชนนั่งกันเต็มไปหมด
เรารู้สึกว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญที่สุด จึงชวนหลานๆ ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ มีท่านผู้หญิงสุธาวัลย์ เสถียรไทย และคุณหนูสิรินา เฝ้ารับพระบรมศพอยู่รวมกับประชาชน จะไม่ไปอยู่ในพระราชพิธี อยากนั่งกราบพระองค์ท่านตรงพื้นธรณี ของแผ่นดินที่พระองค์ท่านทรงดูแลไพร่ฟ้าแผ่นดินมาตลอดรัชสมัย คือ อยากกราบบนแผ่นดิน จากใจสู่พื้น สู่พระองค์ท่าน เพราะมือของเราจรดลงบนผืนดินศรีษะกับมือจรดชิดกัน พลังความรู้สึกที่เราได้ส่งกระแสจิตไปถึงพระองค์ท่าน
วันนั้นทุกคนก็บอกว่าให้เรา 3 คน เข้าไปในพระราชพิธี เราก็บอกขออยู่ตรงนี้ ทั้งสามคนร้องไห้กราบพระองค์ท่านอยู่ที่พื้น ขอมากราบพระองค์ท่านกับพื้น กราบพระองค์ท่านครั้งสุดท้าย น้ำผึ้งว่าพระองค์ทรงรับรู้ด้วยญาณของพระองค์ท่านเอง น้ำผึ้งไม่ได้อาจเอื้อมแต่ความเป็นจริงของเราคือ เราก็เป็นหลานของพระองค์ท่านทางหนึ่ง พระองค์ท่านก็ทรงย่อมรู้ว่า ลูกหลานของพระองค์ท่านก็มาอยู่กับประชาชนตรงนี้
วินาทีที่ขบวนพระบรมศพเคลื่อนมาเราได้ยินแต่เสียงสะอื้นร้องไห้ แม้จะแดดแรงทุกคนก็สู้ ประชาชนรักพระองค์ท่านมาก ไม่มีเหตุอะไรเลยที่เราจะไม่รักพระองค์ท่าน จนตอนนี้น้ำผึ้งเห็นรูปพระองค์ท่านก็ยังรู้สึกตื้อๆอยู่เลย 70 ปีที่พระองค์ท่านทรงอยู่กับประชาชนทรงทำอะไรให้ประชาชนมากมาย แม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นพระองค์ท่านทุกวัน ไม่เหมือนคุณพ่อและท่านแม่ที่ได้รับใช้ถวายงานพระองค์ท่าน แต่สิ่งที่เห็นคือพระองค์ท่านทรงงานหนักเพื่อประชาชน”
ขอเป็นกระบอกเสียง...สืบสานพระปณิธาน
ด้วยความที่คุณน้ำผึ้งทำงานในวงการบันเทิง ทั้งเป็นนักแสดง และพิธีกร ทำรายการเกี่ยวกับโครงการพระราชดำริ มีโอกาสได้สัมผัสชาวบ้านในพื้นที่ จึงทำให้ทราบว่า พระองค์ทรงลำบากเพียงใดในการที่จะไปในเส้นทางแต่ละแห่งที่สุดทุรกันดารหลายสิบปีก่อน แต่พระองค์ทรงเข้าไปช่วยเหลือชาวบ้านให้กินดีอยู่ดีขึ้นในทุกที่ที่ยากต่อการเข้าถึง
“น้ำผึ้งทำงานในวงการบันเทิง เป็นนักแสดง ทำรายการทีวี ซึ่งเป็นความตั้งใจของน้ำผึ้งที่อยากจะเป็นสื่อกลางในการที่จะเป็นหนึ่งในกระบอกเสียงเพื่อเข้าถึงประชาชน หรือชุมชน ในเรื่องของการพัฒนาคุณภาพชีวิต และอยากให้ประชาชนซาบซึ้งในพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์ พระราชินี พระบรมวงศานุวงศ์ ที่ทรงเป็นห่วงประชาชน อยากจะให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดี บางพื้นที่พระองค์ท่านอาจจะยังไปไม่ถึง เราเป็นข้าพระบาทพระองค์ท่าน อะไรที่เราทำได้เราก็อยากจะทำเพื่อต่อยอดในสิ่งที่พระองค์ท่านทรงทำต่อชุมชนที่เป็นฐานรากในพื้นที่ที่พระองค์ท่านยังไปไม่ถึงพระองค์ ท่านเสด็จไปทุกที่ พระองค์ท่านจะเสด็จโดยเครื่องบินพระที่นั่ง รถไฟ รถพระที่นั่ง รถพังรถเสีย กว่าจะเสด็จไปถึงเชียงใหม่รถเสียกี่ครั้ง
รายการเที่ยวละไมไทยแลนด์เวิลด์ ตามรอยพระบาทไปหลายที่ ล่าสุด ไปที่ท่าเสด็จ จ.หนองคาย พระองค์ท่านเสด็จมาเพื่อเปิดส่งกระแสไฟฟ้าจากเขื่อนอุบลรัตน์ที่ จ.ขอนแก่น ให้กับประเทศลาว โดยที่ทางประเทศลาวสามารถนำกระแสไฟฟ้าของประเทศไทยได้ พระองค์ท่านไม่ได้ทรงห่วงใยแค่ประเทศไทยอย่างเดียว ประเทศเพื่อนบ้านพระองค์ท่านก็ช่วยด้วย ทำให้เรียกที่ตรงนั้นว่าท่าเสด็จ มาจากที่พระองค์ท่านได้เสด็จมานั่นเอง”
ด้วยน้ำพระทัยดุจสายธารพระเมตตาที่ทรงมีต่ออาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ คุณน้ำผึ้งเล่าว่า ได้มีโอกาสไปถ่ายรายการในพื้นที่ห้วยทราย จ.เพชรบุรี ที่เมื่อก่อนเป็นดินดานเพราะปลูกแต่สับปะรด ซึ่งหากปล่อยทิ้งไว้จะกลายเป็นทะเลทรายในที่สุด แต่เมื่อพระองค์ทรงเสด็จไปไม่นานนักพื้นที่แห่งนี้เปี่ยมไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ ทรงพัฒนาผืนดินที่ทำการเกษตรแทบไม่ได้เพราะเป็นดินดาน ด้วยการปลูก “หญ้าแฝก” นอกจากนี้พระองค์ท่านยังพระราชทานที่ทำกินให้ราษฎร และพื้นที่สร้างมัสยิด โดยเฉพาะสมัยก่อนโจรหรือเสือ ซึ่งจะมาคอยระรานชาวบ้านก็หายไปด้วย เพราะพระบารมีพระองค์ท่าน
“ ลุงยูซบ ที่บ้านห้วยทราย จะเรียกในหลวง ร.๙ ว่า พระราชา ลุงยูซบ และชาวบ้านแถวนั้น หากเราไปพูดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไม่ได้เลยนะ ร้องไห้เลย ลุงยูซบย้อนเล่าเรื่องในอดีตว่า ตอนนั้นเขาทราบว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จมายังพื้นที่ตรงนี้ เขาจึงวิ่งขวางทางรถพระที่นั่ง เจ้าหน้าที่ไล่ให้ออกไป พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รับสั่งให้ลุงยูซบมาเข้าเฝ้า ลุงยูซบก็บอกในหลวง ร.๙ ว่า ประชาชนที่นี่ลำบาก เพราะ 1.ไม่มีมัสยิด 2.ถูกเสือ(โจร)มารังควาน จนไม่มีที่ทำกิน 3.พื้นดินทำกินไม่ได้เลย เพราะเป็นดินดาน ท่านก็รับสั่งว่า อีก 3 วัน เดี๋ยวฉันจะมา ลุงยูซบพอได้ยินปุ้บก็ดีใจ ไปบอกชาวบ้านว่า พระราชาจะมาอีก 3 วัน ทุกคนบอกว่าแกฝันเฟื่องไปแล้ว พระราชาก็พูดไปอย่างนั่นแหละว่าจะมา ท่านจะมาทำไม ท่านมีงานเยอะแยะเราก็เป็นชาวบ้านตัวเล็กๆ ท่านคงไม่มาหรอก
3 วันผ่านไปพระองค์ท่านเสด็จมาจริงๆ พระองค์ทรงสร้างมัสยิด ทรงออกแบบ วางผัง วางแปลนเองด้วยนะ เชื่อไหม เมื่อเข้าไปในมัสยิดลมเย็น เข้าทุกทาง ร่มเย็นมาก นี่คือเรื่องแรกที่พระองค์ทรงแก้ปัญหาให้กับชาวบ้าน
ส่วนเรื่องเสือมารังควานทำให้ไม่มีที่ทำกิน ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องที่ 2 นั้น ลุงยูซบเล่าว่า เสือมักจะมาขู่ชาวบ้านว่า ที่ตรงที่พวกเอ็งปลูกสับปะรดอยู่เนี้ยมันเป็นที่ของข้า พวกแกไม่มีสิทธิ จากนั้นเอาปืนยิงขู่ขึ้นฟ้า ใครเข้ามา กูจะจัดการ ชาวบ้านก็กลัว ไม่มีที่ทำกิน ปรากฏพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แก้ปัญหาด้วยการพระราชทานที่ดินให้ชาวบ้านทุกคน คนละ 2 ไร่ แต่ห้ามซื้อห้ามขาย ให้อยู่และทำกินตลอดชีวิตชั่วรุ่นลูกรุ่นหลาน พระมหากษัตริย์ให้ประชาชนอยู่ และทำกินอย่างยั่งยืน พอเสือเข้ามาขู่อีก ลุงยูซบไม่กลัวเดินดุ่มๆไปพูดเลยบอกว่า กูไม่กลัวพวกมึงอีกต่อไปแล้ว เพราะที่ตรงนี้พระราชายกให้กูและชาวบ้านทุกคนอยู่และทำกินแล้ว เสือได้ยินดังนั้น ก็กลับกันไปเลยและไม่มาแตะชาวบ้านอีก พระบารมีคุ้มเกล้าคุ้มกระหม่อมชาวบ้านทุกคน
ส่วนเรื่องสุดท้าย ประชาชนบอกดินดานปลูกอะไรไม่ได้ พระองค์รับสั่งถามตอนนี้ปลูกอะไรกัน ประชาชนบอกปลูกสับปะรด พระองค์บอกสับปะรดทำให้หน้าดินเสีย ต้องพลิกหน้าดินใหม่แล้วต้องปลูกหญ้าแฝก ลุงยูซบปลูกสับปะรดอยู่เอารถมาไถสับปะรดออกหมดเลย ชาวบ้านก็ด่าว่า แกโง่ แกก็บอกว่า ผมไม่รู้หรอก รู้แต่ว่าพระราชาท่านมา ท่านให้แต่สิ่งที่ดีกับประชาชน ฉะนั้นพระราชาบอกอะไรผมทำแบบนั้น ปลูกหญ้าแฝกอย่างเดียว หลังจากนั้นดินก็ดีขึ้น สามารถปลูกพืชผสมผสาน อาจจะใช้เวลาหน่อย แต่ยั่งยืน ความเป็นอยู่ของชาวบ้านดีขึ้นเพาะปลูกอะไรก็ได้เพราะดินดีมาจนถึงทุกวันนี้"
King of Kings
“ครั้งหนึ่งน้ำผึ้งไปถ่ายทำรายการที่ภูฏาน ไปเจอราษฎรภูฏานสองคน เขาเข้ามาถามน้ำผึ้งว่าเป็นคนประเทศอะไร เราก็บอกว่า เป็นคนไทย ก็ทักทายกัน สักพักเราก็บอกเขาว่า กษัตริย์ของคุณ กษัตริย์จิกมีคนไทยรักนะ เขาพูดขึ้นมาเลย
“กษัตริย์ของคุณ ที่สุดแล้ว เหนือกษัตริย์อื่นๆ ยิ่งใหญ่ และเป็นกษัตริย์ที่ดีมาก"
ทั้งๆที่เขาก็มีกษัตริย์และเขาก็รู้ว่ากษัตริย์ของเขาดี แต่เขาก็ยังยอมรับกษัตริย์ของเรา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็น King of Kings แท้จริง เมื่อพระองค์เสด็จสวรรคต ชาวภูฏานก็ไว้อาลัยถวายพระองค์ท่าน รวมทั้งกษัตริย์จิกมี พระองค์ก็ไว้อาลัยถวายพระองค์ท่าน เราเห็นได้ชัดเลยว่า ทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ กษัตริย์ยังยอมรับกษัตริย์
นอกจากนี้ ท่านยังมีพระอัจฉริยะรอบด้าน รู้ลึก รู้จริง พระองค์ท่านทรงศึกษาทุกอย่าง แม้พระองค์ท่านจะทรงมีพระชนมายุเยอะแล้ว แต่คอมพิวเตอร์ที่พวกคุณใช้กัน พระองค์ท่านใช้เป็นหมดนะ เทคโนโลยีทุกอย่างพระองค์ท่านเป็นหมดเลย อะไรมาใหม่พระองค์ท่านศึกษาทุกอย่าง เก่งกว่าเราๆด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นพระองค์ท่านจะมองในสิ่งที่เราคิดไม่ถึงเหรอ ในเรื่องของการทำฝนเทียม โครงการแก้มลิง กังหันชัยพัฒนา หญ้าแฝก พระองค์ท่านมองการณ์ไกล พระองค์ท่านศึกษาหมด เพราะพื้นดินของประเทศไทยในแต่ละพื้นที่มันมีความแตกต่างกัน บางพื้นที่ก็คือดินเค็ม บางพื้นที่ก็ดินเปรี้ยว บางพื้นที่ก็ดินดาน พระองค์ท่านทำยังไง พระองค์ท่านก็ต้องมาศึกษาทดลองในบ้านของพระองค์ท่านเอง นั่นก็คือ “สวนจิตรลดา”
สำหรับน้ำผึ้ง จะชื่นชอบรู้สึกทึ่งในพระอัจฉริยภาพของพระองค์ คือ โครงการฝนหลวง ของพระองค์ท่านมาก พระองค์ท่านคิดได้ยังไง แล้วน้ำเป็นอะไรที่เป็นปัจจัย 4 บางพื้นที่เขาไม่มีน้ำ ชีวิตเขาจะแย่แล้วพืชสวนไร่นาเขาจะไปหมดแล้ว แต่ฝนหลวง ดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ พระองค์ท่านสร้างความร่มเย็น ไกลแค่ไหนพระองค์ท่านก็ไปถึง แผ่พระบารมีความชุ่มช่ำไปให้มีน้ำของพระราชหฤทัยไปถึงให้ชาวบ้านได้มีน้ำในการที่จะทำการเพาะปลูก มีน้ำกิน น้ำใช้ และยังเผยแผ่ไปถึงนานาประเทศที่ซื้อสิทธิบัตรไป ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่ไปถึงต่างประเทศ เขายอมรับในสิ่งที่พระองค์ท่านทำเพื่อนำไปใช้ในประเทศเขาเอง”
ดังนั้นนอกจากพระองค์ท่านจะทรงเป็น King of Kings แล้ว ตลอดระยะเวลาการครองราชย์กว่า 70 ปี พระบารมีและพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยังขจรขจายไปทั่วโลกยิ่งใหญ่สมกับเป็น “King of The Word”
โดย : ผู้จัดการ Lite
เรื่อง : สวิชญา ชมพูพัชร
ภาพ : วรวิทย์ พานิชนันท์
ขอบคุณภาพบางส่วนจาก: เพจเฟซบุ๊ก คุณน้ำผึ้ง-ม.ล.สราลี กิติยากร
สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน