สร้างเว็บEngine by iGetWeb.com
Cart รายการสินค้า (0)

ลูกท่านหลานเธอ ใน สหรัฐฯ ก็หากำไรจากเส้นสายทางการเมืองแบบเดียวกับที่ จีน

จาก ASTVผู้จัดการออนไลน์

โดย โจฮัน ไนลันเดอร์

‘ลูกท่านหลานเธอ’ใน‘สหรัฐฯ’ก็หากำไรจากเส้นสายทางการเมืองแบบเดียวกับที่‘จีน’
โดนัลด์ ทรัมป์ จับมือกับ จาเรด คุชเนอร์ ผู้บุตรเขย บนเวทีหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยที่มี อิวองกา บุตรสาวของทรัมป์และภรรยาของคุชเนอร์ เฝ้ามอง

        (เก็บความจากเอเชียไทมส์ www.atimes.com)
       
       ‘US princelings profit from political links just like China’ 
        By Johan Nylander 
       10/01/2017
       
       จาเรด คุชเนอร์ บุตรเขยของโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเพิ่งได้รับการประกาศว่าจะเข้าดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของทำเนียบขาวในยุคประธานาธิบดีสหรัฐฯคนใหม่ ถูกแฉว่ากำลังเจรจาทำดีลทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อยู่กับ อันปัง อินชัวรันซ์ กลุ่มลงทุนยักษ์ใหญ่ของจีนซึ่งโปรไฟล์ออกจะลึกลับซับซ้อน 
       
       เรื่องที่ชนชั้นนำทางธุรกิจชาวจีนมีสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพวกผู้นำระดับท็อปของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น เป็นความลับที่รู้กันไปทั่วอยู่แล้ว มาถึงตอนนี้ หรือว่าทำเนียบขาวก็กำลังหันมาเล่นเกมทุนนิยมแบบพวกพ้อง (crony capitalism) อย่างเดียวกันนี้ด้วย ?
       
       จาเรด คุชเนอร์ (Jared Kushner) บุตรเขยของโดนัลด์ ทรัมป์ เพิ่งได้รับแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสของประธานาธิบดีผู้กำลังจะสาบานตัวเข้าทำเนียบขาวในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ในขณะเดียวกันกันนี้เขาก็กำลังสาละวนอยู่ในการทำข้อตกลงทางธุรกิจกับหนึ่งในประดานักธุรกิจผู้ชอบเก็บเนื้อเก็บตัวมากที่สุดของจีน
       
       สามีวัย 36 ปีของอิวองกา (Ivanka) บุตรสาวคนโตของโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นี้ เป็นทายาทผู้สืบทอด คุชเนอร์ คอมพานีส์ (Kushner Companies) เครือกิจการด้านอสังหาริมทรัพย์มูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ ซึ่งถือครองโดยครอบครัวของเขาในลักษณะเป็นกิจการเอกชนไม่ได้เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ มีรายงานว่าเขากำลังทำงานมาเป็นเวลาหลายเดือนแล้วในการทำดีลอสังหาริมทรัพย์แถวๆ เขตแมนฮัตตัน, นครนิวยอร์ก ดีลหนึ่ง กับ อันปัง อินชัวรันซ์ (Anbang Insurance) ยักษ์ใหญ่ด้านการลงทุนของจีน ทั้งนี้ ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีในสหรัฐฯแล้ว คุชเนอร์ได้พบหารือกับ อู๋ เสี่ยวหุย (Wu Xiaohui) ประธานของอันปัง หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เปิดเผยในช่วงสุดสัปดาห์ที่แล้ว[1]
       
       อันปัง กลายเป็นที่รู้จักโด่งดังไปในระดับโลกครั้งแรกสุด ตอนที่บริษัทเข้าซื้อโรงแรมวอลดอร์ฟ เอสโทเรีย (Waldorf Astoria) โรงแรมระดับตำนานในนครนิวยอร์กเมื่อปี 2014 ในราคาเกือบๆ 2,000 ล้านดอลลาร์ ทว่าในอีกด้านหนึ่ง อู๋ ยังคงเก็บเนื้อเก็บตัวเงียบกริบและไม่เคยจัดการเปิดตัวแถลงข่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว[2] อันปังซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2004 และทุกวันนี้กลายเป็นหนึ่งในบรรดาบริษัททรงอิทธิพลที่สุดของแดนมังกร ยังกำลังได้รับการกล่าวขานกันว่ามีสายสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน และมีคณะกรรมการบริหารที่ประกอบด้วยบุคคลต่างๆ ผู้มีเส้นสายทางการเมืองอันน่าตื่นตาตื่นใจ [3]
       
       การเจรจาที่กระทำกันอยู่ระหว่าง คุชเนอร์ กับ อู๋ นั้นมีรายงานว่าเป็นดีลเกี่ยวกับที่อันปังจะเข้าลงทุนในการปรับปรุงพัฒนาอาคาร 666 ฟิฟธ์ แอเวนิว (666 Fifth Avenue) ซึ่งนิวยอร์กไทมส์เรียกว่า เป็น “เพชรประดับมงกุฎที่กำลังเสื่อมรัศมีลงเรื่อยๆ ของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลคุชเนอร์” รายงานข่าวของนิวยอร์กไทมส์เขียนเอาไว้ดังนี้:
       
       “ ณ คืนวันที่ 16 พฤศจิกายน พวกผู้บริหารกลุ่มหนึ่งไปรวมตัวกันในห้องรับประทานอาหารส่วนตัวห้องหนึ่งของภัตตาคาร ลา ชีน (La Chine) โรงแรมวอลดอร์ฟ เอสโตเรีย ในย่านใจกลางแมนฮัตตัน โต๊ะอาหารเรียงรายไปด้วยอาหารจีนรสชาติยอดเยี่ยมและไวน์ของ Château Lafite Rothschild ราคาขวดละ 1,200 ดอลลาร์ ผู้ซึ่งนั่งอยู่ตรงปลายสุดด้านหนึ่งได้แก่ อู๋ เสี่ยวหุย ประธานของ อันปัง อินชัวรันซ์ กรุ๊ป ที่เป็นเจ้าของโรงแรมวอล์ลดอร์ฟแห่งนี้ ประมาณกันว่าเครือบริษัททางการเงินจีนรายนี้มีสินทรัพย์เป็นมูลค่าราว 285,000 ล้านดอลลาร์ ทว่าโครงสร้างเจ้าของผู้ถือหุ้นในบริษัทถูกปกปิดเอาไว้ในความลี้ลับ ส่วนคนที่นั่งอยู่ติดกันกับเขา คือ จาเรด คุชเนอร์ นักลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในนิวยอร์กคนสำคัญคนหนึ่ง ผู้ซึ่งพ่อตาก็คือ โดนัลด์ เจ ทรัมป์ ที่เพิ่งได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา” 
       
       ระหว่างการพบปะกันคราวนั้น อู๋ได้แสดงความปรารถนาที่จะเข้าพบว่าที่ประธานาธิบดี ขณะที่รายงานข่าวชิ้นนี้ยังบรรยายให้เห็นถึงการที่คุชเนอร์ก้าวผงาดขึ้นเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่ง ในเรื่องความสัมพันธ์ทางการทูตอันสลับซับซ้อนที่สุดซึ่งอเมริกามีอยู่กับบางประเทศ โดยในจำนวนนี้ก็รวมถึงประเทศจีนด้วย
       
       และแล้วในต้นสัปดาห์นี้ก็ปรากฏออกมาว่า คุชเนอร์จะได้รับตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาอาวุโสคนหนึ่งของทำเนียบขาว โดยทำงานในด้านการค้าและภูมิภาคตะวันออกกลาง[4]
       
       ในสหรัฐฯนั้น มีน้อยกรณีนักที่สมาชิกใกล้ชิดในครอบครัวของประธานาธิบดี ได้รับแต่งตั้งเข้าดำรงตำแหน่งใหญ่ๆ โดยที่ นอร์แมน ไอเสน (Norman Eisen) ทนายความด้านจริยธรรมรัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา พูดถึงกรณีการแต่งตั้งเช่นนั้นว่าเป็น “ภูมิทัศน์ทางกฎหมายที่เคลือบคลุมไม่ชัดเจน” [5] เมื่อพิจารณาจากบริบทของกฎหมายต่อต้านการเล่นพวกมุ่งส่งเสริมญาติมิตร (anti-nepotism law)

       ทางด้าน บิลล์ บิช็อป (Bill Bishop) ผู้เชี่ยวชาญที่มีฐานอยู่ในกรุงวอชิงตัน ซึ่งชำนาญเรื่องของธุรกิจจีนและเป็นผู้เขียน จดหมายข่าว “ซิโนซิซึม ไชน่า” (Sinocism China Newsletter) อันทรงอิทธิพล กล่าวให้ความเห็นเชิงเหน็บแนมว่า “คณะบริหารโดนัลด์ ทรัมป์ อาจจะแสดงให้โลกได้มองเห็นว่า อเมริกาก็สามารถใช้ฐานะความเป็นลูกท่านหลานเธอ (princeling) มาหาผลประโยชน์โดยผ่านเส้นสายทางการเมืองได้ อย่างน้อยที่สุดก็พอๆ กับที่สามารถทำกันได้ในจีน”
       
       “ปักกิ่งต้องรู้สึกสับสนแน่ๆ จากสัญญาณอันสับสนมั่วกันไปหมดซึ่งกำลังออกมาจากโลกของทรัมป์ เพราะขณะที่ด้านหนึ่งมีการข่มขู่ว่าจะใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรและกระทั่งการทำสงครามการค้า รวมทั้งการแต่งตั้งบุคลากรหลายๆ คนในทีมงานของเขาก็ทำให้การข่มขู่เหล่านี้ดูเป็นจริงเป็นจังมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น บุตรเขยผู้เป็นที่ปรึกษาระดับท็อปคนหนึ่งของทรัมป์ กลับกำลังต้องพึ่งพาอาศัยพวกนักลงทุนชาวจีน และยังหลังจากการเลือกตั้งแล้วก็คงกำลังเจรจาทำดีลกับคนเหล่านี้อยู่”
       
       ตามรายงานของสำนักข่าวรอยเตอร์ระบุว่า จากการได้รับแต่งตั้งเป็นที่ปรึกษาระดับท็อปเช่นนี้ คุชเนอร์จึงกำลังจะลาออกจากตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของคุชเนอร์ คอมพานีส์ และจากตำแหน่งผู้พิมพ์ผู้โฆษณาของหนังสือพิมพ์ “นิวยอร์กอ็อปเซอร์เวอร์” (New York Observer) รวมทั้งกำลังถอนตัวจากการถือหุ้นมีผลประโยชน์ใดๆ ไม่ว่าใน นิวยอร์คอ็อปเซอร์เวอร์, ทริฟแคปิตอล (Thrive Capital) บริษัทลงทุนแบบเวนเจอร์แคปิตอล (venture capital) ที่มุ่งเน้นการลงทุนด้านอินเทอร์เน็ตและซอฟต์แวร์, อาคารสำนักงาน 666 ฟิฟธ์ แอเวนิว, และการลงทุนในต่างประเทศทั้งหลาย [6]
       
       อย่างไรก็ตาม รายงานชิ้นที่กล่าวถึงข้างต้นของนิวยอร์กไทมส์กลับเน้นย้ำให้เห็น “พุ่มไม้แห่งจริยธรรมที่เขาจะต้องเดินทางฟันฝ่าผ่านไป ในขณะที่กำลังให้คำแนะนำพ่อตาของเขาในเรื่องนโยบายซึ่งสามารถส่งผลกระทบกระเทือนต่อผลกำไรขาดทุนของเขาได้”
       
       สำหรับ อันปัง อินชัวรันซ์ กรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นในปี 2004 แล้วก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จนเวลานี้มีสินทรัพย์ทั้งสิ้นเกินระดับ 800,000 ล้านหยวน (ราว 115,000 ล้านดอลลาร์) ทั้งนี้ตามข้อมูลในเว็บไซต์ของบริษัทแห่งนี้เอง อย่างไรก็ตาม โครงสร้างเจ้าของผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นอย่างไรนั้นแสนจะคลุมเครือ[7] กระทั่งชื่อของ อู๋ ยังไม่ปรากฏอยู่ในเอกสารทางการของอันปังว่าเขามีฐานะเป็นเจ้าของ ทว่านิวยอร์กไทมส์เคยรายงานเอาไว้ในเดือนกันยายนที่ผ่านมาว่า พวกผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งของบริษัทคือเครือญาติและผู้คุ้นเคยสนิท สนมของประธานบริษัทผู้นี้
       
       อู๋ เสี่ยวหุย ยังได้รับการจับตามองว่ามีสายสัมพันธ์ทางการเมืองอันแน่นหนา รวมทั้งได้แต่งงานกับหลานปู่คนหนึ่งของ เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำในทางพฤตินัยของประเทศจีน เขายังมีความเกี่ยวโยงอันใกล้ชิดกับ เฉิน เสี่ยวลู่ (Chen Xiaolu) บุตรชายของเฉิน อี้ (Chen Yi) ผู้บังคับบัญชาทหารคนสำคัญคนหนึ่งในยุคเหมา เจ๋อตง
       
       “ในหลายๆ แง่มุมแล้ว อันปัง และมิสเตอร์อู๋ ดูเหมือนจะเป็นผลผลิตต้นแบบของการผสมผสานกันระหว่างลัทธิทุนนิยมแบบทำอะไรได้ตามใจชอบของจีนกับฐานะการครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างของพรรคคอมมิวนิสต์จีน อันเป็นสูตรสำคัญที่เป็นเชื้อเพลิงหล่อเลี้ยงการเติบโตอย่างอิสระไร้ข้อขีดกั้นมาเกือบๆ 4 ทศวรรษของประเทศนี้” รายงานของนิวยอร์กไทมส์ระบุ
       
       ถ้าหากไม่เป็นที่ทราบกันว่าใครคือเจ้าของที่แท้จริงของอันปังแล้ว ใครกันแน่ที่บุตรเขยและที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์ผู้นี้ กำลังพยายามเจรจาทำดีลด้วยอยู่ในขณะนี้?
       
       หมายเหตุ 
       
       [1] ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.nytimes.com/2017/01/07/us/politics/jared-kushner-trump-business.html?ref=asia&utm_source=The+Sinocism+China+Newsletter&utm_campaign=f2e340f9f9-EMAIL_CAMPAIGN_2017_01_09&utm_medium=email&utm_term=0_171f237867-f2e340f9f9-29631177&mc_cid=f2e340f9f9&mc_eid=e1a09eac23
       
       [2] ดูรายละเอียดได้ที่ http://supchina.com/2017/01/09/china-news-roundup-20170109/
       
       [3] ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.nytimes.com/2016/09/02/business/dealbook/anbang-global-shopping-spree-china-mystery-ownership.html
       
       [4] ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.nbcmiami.com/news/national-international/Trump-Son-in-Law-Jared-Kushner-Tapped-as-Senior-Advisor-Source-410130995.html?utm_source=SupChina&utm_campaign=5daffa5a7e-20170109-205newsletterTrumpSonChineseShadow&utm_medium=email&utm_term=0_caef3ab334-5daffa5a7e-164723561
       
       [5] ดูรายละเอียดได้ที่ http://abcnews.go.com/Politics/wireStory/consensus-anti-nepotism-law-kushner-appointment-44663410
       
       [6] ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.reuters.com/article/us-usa-trump-kushner-idUSKBN14T251
       
       [7] ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.nytimes.com/2016/09/02/business/dealbook/anbang-global-shopping-spree-china-mystery-ownership.html?_r=1
       
       โจฮัน นีลันเดอร์ เป็นผู้สื่อข่าวอิสระชาวสวีเดนที่ตั้งฐานอยู่ในฮ่องกง โดยมุ่งทำข่าวเกี่ยวกับจีนและเอเชีย ผลงานของเขาได้รับการเผยแพร่อยู่บ่อยครั้งทาง ซีเอ็นเอ็น, ฟอร์บส์, เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์, นิกเกอิเอเชียนรีวิว, อัลจาซีรา, เอเชียไทมส์, และ ดาเกนส์ อินดัสตรี (Dagens Industri) หนังสือพิมพ์รายวันทางธุรกิจชั้นนำของสวีเดน เขาจบการศึกษาปริญญาโทเอ็มบีเอจากมหาวิทยาลัยโกเธนเบิร์ก และเป็นผู้เขียนหนังสือด้านการบริหารที่ได้รับรางวัลมาแล้ว 


สำนักงานสอบบัญชี,#สอบบัญชี,สำนักงานบัญชี,#ทำบัญชี,#ที่ปรึกษา,การจัดการ,เศรษฐกิจการลงทุน

Tags : ลูกท่านหลานเธอ สหรัฐฯ หากำไรจาก เส้นสายทางการเมือง แบบเดียวกับที่จีน

view